อีกอย่าง หลังจากวันที่นางปฏิเสธเขาอย่างชัดเจนในวันนั้น ความภาคภูมิใจของเขาก็ถูกทำลายเสียหายไปบ้าง ความชอบที่มีต่อนางจึงจืดจางลงจิ่งโม่เยี่ยเดินพ้นออกมาจากห้องรับรองของจิ่งสือเยี่ยนแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นเรื่องที่จิ่งสือเยี่ยนมองออก เขากลับมองไม่ออกมาตลอด จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดนี้ตั้งแต่เด็กเขามักถูกชมว่าฉลาด แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่ง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุดหลังจากจิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของจิ่งสือเยี่ยน เขาก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่เขาจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ความมืดก็โรยตัวลงมา ถึงเวลาทานอาหารมื้อค่ำวันรวมญาติแล้วเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตรงไปยังจวนปู๋เยี่ยโหวแต่ตอนที่เขาไปถึงประตู ก็เจอกับปู๋เยี่ยโหวที่เพิ่งกลับมาถึงพอดีทั้งสองสบตากัน ปู๋เยี่ยโหวเป็นฝ่ายทักทายก่อน “อ๊ะ บังเอิญจัง พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาอย่างเฉยชา “เรื่องของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เรื่องแค่นั้น ต้องทำเสร็จอยู่แล้วสิ!”“ข้าไม่เพียงแต่ทำงานของข้าเสร็จแล้ว ข้ายังเรียกพ่อครัวมาทำอาหารให้เหล่าขุนนาง
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่
เฟิ่งชูอิ่งโพล่งออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่านลุงสั่งให้ท่านป้าตบหน้าตัวเองสิบทีแล้วเอ่ยขอโทษข้า จากนั้นก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดที่ฉกฉวยไปจากข้ามาคืนให้ครบถ้วนทีสิ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!!”นางกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!เขาถลึงตามองนาง “เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “รู้ตัวสิ ท่านลุงเพิ่งจะบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกข้ามิใช่หรือ แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ท่านป้าเอาแต่ตบตีด่าทอข้าตลอดเลย“เมื่อกี้นี้ท่านป้าก็เพิ่งจะด่าข้าแบบสาดเสียเทเสีย หากนางยังเหลือความจริงใจอยู่บ้างก็ควรจะกล่าวขอโทษข้ามิใช่หรือ?“ขอโทษเสร็จแล้ว ก็ช่วยเอาทรัพย์สินทั้งหมดของข้ามาคืนด้วยล่ะ ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่าข้ายังเด็กไม่รู้ความ ก็เลยจะช่วยดูแลรักษาให้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้ข้าโตแล้วก็สมควรได้คืนกระมัง!”หลินชูเจิ้ง “......”เขารู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งแตกต่างไปจากความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนขอแค่เขาพูดปลอบนางนิดเดียว เฟิ่งชูอิ่งก็จะยอมทำตามอย่างว่านอนสอนง่ายทว่าวันนี้นางกลับกล้าสั่งให้เขาคืนเงิน มันจะเป็นไปได้อย่างไรละ!หลินชูเจิ้งมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า “ชูอิ่ง ท่านป้าของเจ้าเป็นผู้ใ
เฟิ่งชูอิ่งออกมายืนหน้าเรือนแล้วส่งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ไฟไหม้! รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”ไฟลุกท่วมขนาดนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดายบ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลินวิ่งวุ่นช่วยกันดับไฟ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะเพลิงลุกไหม้หนักขนาดนี้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะลามไปไหม้เรือนอื่นๆ ในจวนได้ระหว่างที่บ่าวช่วยกันดับไฟ เฟิ่งชูอิ่งก็แสร้งยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ “ไอ้หยา ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวของพวกท่านชีวิตอาภัพยิ่งนัก!” “สมบัติที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ข้าล้วนอยู่ข้างในนั่น ต่อจากนี้ไปหากข้าคิดถึงพวกท่านขึ้นมา แค่ของจะดูต่างหน้าก็ยังไม่มีเลย!” จากตอนแรกที่บ่าวรับใช้ในเรือนแค่มาช่วยกันดับไฟตามหน้าที่เฉยๆ หลังจากได้ยินคำพูดของนางเข้าไป แต่ละคนก็เร่งดับไฟกันอย่างขยันขันแข็งทันทีพวกเขาต่างวาดหวังว่าทรัพย์สินพวกนั้นจะยังไม่ถูกไฟไหม้เสียหาย หลังดับไฟเสร็จพวกเขาจะได้หยิบฉวยติดไม้ติดมือกลับไปเพราะพวกเขาลงทุนลงแรงดับไฟกันอย่างเต็มที่ บางคนถึงขั้นได้รับแผลจากไฟไหม้เฟิ่งชูอิ่งมองพวกเขาดับไฟ ร่ำไห้ฟูมฟายว่า “กำไลที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ข้า ป้ายหยกที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ข้า! พวกมันเป็
อีกอย่าง หลังจากวันที่นางปฏิเสธเขาอย่างชัดเจนในวันนั้น ความภาคภูมิใจของเขาก็ถูกทำลายเสียหายไปบ้าง ความชอบที่มีต่อนางจึงจืดจางลงจิ่งโม่เยี่ยเดินพ้นออกมาจากห้องรับรองของจิ่งสือเยี่ยนแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นเรื่องที่จิ่งสือเยี่ยนมองออก เขากลับมองไม่ออกมาตลอด จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดนี้ตั้งแต่เด็กเขามักถูกชมว่าฉลาด แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่ง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุดหลังจากจิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของจิ่งสือเยี่ยน เขาก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่เขาจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ความมืดก็โรยตัวลงมา ถึงเวลาทานอาหารมื้อค่ำวันรวมญาติแล้วเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตรงไปยังจวนปู๋เยี่ยโหวแต่ตอนที่เขาไปถึงประตู ก็เจอกับปู๋เยี่ยโหวที่เพิ่งกลับมาถึงพอดีทั้งสองสบตากัน ปู๋เยี่ยโหวเป็นฝ่ายทักทายก่อน “อ๊ะ บังเอิญจัง พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาอย่างเฉยชา “เรื่องของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เรื่องแค่นั้น ต้องทำเสร็จอยู่แล้วสิ!”“ข้าไม่เพียงแต่ทำงานของข้าเสร็จแล้ว ข้ายังเรียกพ่อครัวมาทำอาหารให้เหล่าขุนนาง
สายตาของจิ่งสือเยี่ยนเย็นชา “งั้นพี่สามก็อยากได้ตำแหน่งนั้นเหมือนกัน?”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ข้าอยากได้ตำแหน่งนั้น แต่ตำแหน่งนั้นมันเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว”“ข้าเป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเสด็จพ่อ ข้าไม่มีพี่น้องร่วมสายโลหิต”“ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าพี่สามอีกเลย มันทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้”คิ้วของจิ่งสือเยี่ยนขมวดเข้าหากัน “ที่แท้คนที่ทะเยอทะยานก็คือเจ้า!”“เจ้าโยนความผิดเรื่องเสด็จลุงสวรรคตให้เสด็จพ่อ สุดท้ายก็แค่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “คนแบบไหนก็มักจะใช้ความคิดแบบนั้นไปคาดเดาการกระทำของคนอื่น”“จิ่งสือเยี่ยน เจ้านี่มันจอมปลอมสิ้นดีเลย”พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนเต็มไปด้วยความเย็นชา ตะโกนว่า “พี่สามรู้ไหมว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงอยากหนีจากท่านอยู่ตลอด?”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองเขาภาพลักษณ์ที่เขาแสดงออกต่อหน้าคนภายนอกมาตลอดคือร่าเริงแจ่มใส แต่ในตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้เขาดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นแบบนี้ทำให้จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
จิ่งโม่เยี่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าบีบคั้นเขามากเกินไป เขาก็เลยสังหารเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อเขา ตรรกะนี้ฟังดูตลกสิ้นดี”จิ่งสือเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย จิ่งโม่เยี่ยพูดต่อว่า “อย่ามาพูดกับข้าว่าเขาน่าสงสารอะไรทำนองนั้นเลย”“ตอนที่เขาฆ่าเสด็จพ่อและเสด็จย่าของข้า ไม่มีใครบีบคั้นเขาสักนิด สรุปแล้ว ในใจของเขาก็มีเพียงอำนาจ ไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่นิดเดียว”จิ่งสือเยี่ยนมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า “เรื่องที่ฆ่าฮ่องเต้และไทเฮา เป็นเพียงการคาดเดาของท่าน ยังไม่มีหลักฐานสักหน่อย”“ท่านจะทำเรื่องพวกนี้โดยอาศัยการคาดเดาของตัวเองไม่ได้ พี่สาม การเป็นคนต้องมีหลักฐาน”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “หลักฐานที่เจ้าพูดถึง ข้ามีกองเป็นภูเขาเชียวล่ะ”“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาส่งคนมาลอบสังหารข้ากี่ครั้งกี่หน และปฏิบัติต่อข้าอย่างไรบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากเจ้าไม่ตาบอดก็คงมองเห็นได้”จิ่งสือเยี่ยนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเรื่องพวกนี้ เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดว่า “พี่สาม ยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้า”จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเยาะในลำคอ “สิ่งที่เจ้าสนใจไม่ใช่เรื่องที่ว่าเข
ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่มีเวลาจะไปสนใจพวกเขาหรอก เขากำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองและทอดสายตามองไปยังกองทัพอวี๋ซานที่หลบซุ่มอยู่ไกลออกไปกองทัพอวี๋ซานอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองนัก สามารถมองเห็นพวกเขาได้ แต่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหวฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเขากำลังทำอะไรกัน?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “พวกเขากำลังรอโอกาส”ฉินจื๋อเจี้ยนถามต่อ “โอกาสอะไร?”แววตาของจิ่งโม่เยี่ยมืดมนลง “โอกาสที่จะบุกเข้ายึดเมืองหลวงในครั้งเดียว”สถานการณ์ในครั้งนี้กับตอนที่เกิดกบฏในวังแตกต่างกันตอนกบฏในวัง เขาเผชิญทั้งปัญหาภายในและภายนอก หากพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจพ่ายแพ้และเสียชีวิตได้จิ่งโม่เยี่ยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาครึ่งปีแล้ว เขามีฐานอำนาจในเมืองหลวง อำนาจทหารในมือก็มากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวกองทัพอวี๋ซานอีกแล้วแต่ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งอยู่ในเมืองหลวง กองทัพอวี๋ซานล้อมเมือง นางออกไปไม่ได้ เขาจึงมีเวลาอยู่กับนางได้นานมากขึ้นดังนั้นถ้ากองทัพอวี๋ซานอยากจะล้อมเมืองก็ปล่อยให้พวกเขาล้อมไปเถอะ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรสำหรับเขาอยู่แล้วแต่เขาก็อยากรู้ว่าจิ่งสือเยี่ยนคิดอย่างไร ตอนนี้เรื่อ
สีหน้าของเหล่าขุนนางดูไม่สู้ดีนักขุนนางคนเดิมถามต่อว่า “ที่ว่าโหดร้ายนั้น ควรจะเห็นกับตาหรือเชื่อข่าวลือกันแน่”ครั้งนี้มีคนตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเห็นกับตา”หลังจากพูดจบก็เงียบไปอีกนานเพราะการเห็นกับตาในครั้งนี้ ได้ลบล้างความคิดที่พวกเขาเคยเชื่อมั่นและยึดติดมาทั้งหมดขุนนางถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเราถูกหลอกใช้แล้ว”คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าขุนนางทุกคนที่อยู่ภายในโรงหมอขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้อาจเป็นแค่ฉากหน้า บางทีอาจมีคนเล่นละครอยู่”ขุนนางที่ถามคำถามแรกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เล่นละคร? เจ้าตาบอด หรือพวกเราทั้งหมดตาบอดกันแน่?”ฉากเมื่อครู่นี้ ใครที่ตาไม่บอดก็ต้องมองออกกันทั้งนั้นการเล่นละครตบตาไม่มีทางที่จะทำได้แบบนั้นโดยรอบเงียบลงอีกครั้งขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านมหาราชครูเป็นปราชญ์ทางวรรณกรรม มีศีลธรรมสูงส่ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมให้คนรอบข้างทำเรื่องแบบนั้น”คำพูดนี้ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคนครั้งนี้อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ แต่พวกเขายังคงเชื่อว่ามหาราชครูจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นขุนนางที่ถามเป็นแรกเอ่ยว่า “คดีของรองผู้ว่าตู้
หลังจากสบตากันแล้ว พวกเขาก็หยุดต่อสู้กันเองและหันไปฟาดฟันใส่ทหารของจิ่งโม่เยี่ยด้วยความบ้าคลั่งโดยรวมแล้ว ฝีมือของทหารกลุ่มนี้ด้อยกว่าฝีมือของเหล่าจอมยุทธ์ในวังหลวงเมื่อปะทะกันเช่นนี้ พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดหัวหน้าทหารตะโกนว่า “คุ้มกันขุนนางทุกท่านแล้วถอยทัพออกไป!”พูดจบ เขาก็หันไปบอกเหล่าขุนนางว่า “ไปเร็วเข้า!”แค่ช่วงเวลาที่พูดคุยกัน ก็มีทหารหลายนายได้รับบาดเจ็บ เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นทุกหนแห่งเหล่าขุนนางเห็นทหารเหล่านี้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา ความรู้สึกของพวกเขาก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นคนที่พวกเขาคิดว่าเป็นคนชั้นต่ำ กลับยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ยากที่จะอธิบายในตอนนี้ พวกเขาพอจะตั้งสติได้บ้างแล้ว จึงพยุงกันเดินหนีออกไปได้บ้างมีขุนนางคนหนึ่งด่าว่า “พวกคนชั่วช้าสามานย์ คนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าต้องมีอันเป็นไป!”เมื่อขุนนางคนนี้เริ่มด่า ก็มีขุนนางคนอื่นๆ ร่วมกันด่าด้วยเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นนี้ ความสามารถในการต่อสู้อาจจะธรรมดา แต่ความสามารถในการด่าทอนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้พวกเขาด่าโดยไม่ใช้คำหยาบ แต่กลับสาปแช่งบรรพบุรุษไปถึงสิบแป
สถานการณ์ดูแปลกประหลาด คนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างงุนงง ต่างฝ่ายต่างก็เดาว่าอีกฝ่ายเป็นคนของใครแถมการต่อสู้ก็แปลกพิลึก ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาชีวิตเข้าแลก ทำให้ไม่มีใครหยุดการต่อสู้ได้ ต้องพยายามฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้นเหล่าขุนนางที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาอยากจะหนี แต่ขาที่ชาอยู่ก็ทำให้หนีไม่ได้ดั่งใจต้องการเหล่าขุนนางพยายามอย่างหนักที่จะหนี แต่ด้วยความกลัวทำให้ขาของพวกเขาสั่น และเพราะการสั่นนั้นเอง พวกเขาจึงขยับไปไหนไม่ได้ตอนนี้พวกเขาลืมกิริยามารยาทของบัณฑิตไปหมดสิ้นแล้ว ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่า “ช่วยด้วย!”ถึงแม้ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ได้สนใจเหล่าขุนนางที่ก่อเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่เขาก็ยังคงจัดคนมาเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทหารที่เฝ้าดูเหล่าขุนนางอยู่ก็รีบไปแจ้งจิ่งโม่เยี่ยทันทีตอนนี้ทหารของจิ่งโม่เยี่ยก็งุนงงเช่นกัน พวกเขาไม่แน่ใจในสถานการณ์ ไม่รู้ว่าควรจะลงมือหรือไม่ทหารคนหนึ่งถามหัวหน้าทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ว่า “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”หัวหน้าทหารเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน ในความคิดของเขา เหล่าขุนนางเหล่านี้น่าจะตายไปเสีย
เมื่อพวกเขาไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ก็ยากที่จะก่อเรื่องได้เมื่อเทียบกับความใจเย็นและสุขุมของฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว ทางด้านฮองเฮากลับไม่ได้สงบนิ่งขนาดนั้นเพราะเรื่องที่มหาราชครูถูกจิ่งโม่เยี่ยกักบริเวณในจวนนั้น ต้นเหตุเกิดจากนางฮองเฮาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้นางโมโหขว้างปาข้าวของแตกกระจาย สบถด่าว่า “จิ่งโม่เยี่ย นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”“แล้วก็เฟิงเอ๋อร์ด้วย ตายไปแล้วก็ยังโง่อยู่ได้ ยังจะไปเข้าข้างจิ่งโม่เยี่ยอีก”เหล่านางข้าหลวงในห้องของนางไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรงฮองเฮาเดินวนไปวนมาในห้อง รู้สึกหงุดหงิดใจมาก แต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ตำแหน่งของนางฟังดูสูงส่ง แต่เมื่อบัลลังก์ของฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะไม่มั่นคง ตำแหน่งฮองเฮาของนางก็กลายเป็นเรื่องตลกโดยแท้จริงหลังจากเดินวนไปวนมาในห้องสิบกว่ารอบ ฮองเฮาก็หยุดแล้วพูดว่า “ไม่ได้ ข้าจะมานั่งรอความตายอยู่แบบนี้ไม่ได้”นางเรียกขันทีคนหนึ่งมาแล้วพูดว่า “เจ้าเข้ามา”ขันทีรีบเดินเข้ามา ฮองเฮากระซิบสั่งอะไรบางอย่าง ขันทีอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “แบบนี้จะไม่เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาพูดเสียงเย็นชาว่า “มีอะไรไม่เหมาะสม
ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลย แต่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าใครจะเป็นผู้แบกรับภาระหนัก ในสายตาของฮ่องเต้เจาหยวน คนนั้นก็คือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่เหมาะสมที่สุดบัลลังก์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามอย่างมาก เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่ได้มาด้วยความยากลำบากต้องตกไปอยู่ในมือของจิ่งโม่เยี่ยแม้เขาจะมีความเชื่อมั่นในตัวจิ่งสือเยี่ยนมากแค่ไหน ก็ไม่คิดว่าจิ่งสือเยี่ยนจะเป็นคู่ต่อสู้ของจิ่งโม่เยี่ยได้ขันทีกล่าวเบาๆ "ในใจของพวกเขา ฝ่าบาทคือผู้สืบทอดที่ถูกต้อง จิ่งโม่เยี่ยเป็นโจรชิงบัลลังก์"ฮ่องเต้เจาหยวนได้ยินคำนั้นก็หัวเราะเบาๆ "เรื่องนี้พูดยากนะ"ถึงอย่างไรจิ่งโม่เยี่ยก็เป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้ เขาเคยเป็นองค์ชายที่ถูกต้องตามครรลองมาก่อนหากไม่ใช่เพราะเขาสับเปลี่ยนพระราชโองการ แผ่นดินนี้ก็คงตกเป็นของจิ่งโม่เยี่ยไปแล้วเรื่องเช่นนี้เขาพูดได้ แต่ขันทีไม่กล้าพูดขันทีถาม "ฝ่าบาท สถานการณ์เช่นนี้พวกเราควรจะทำอะไรบ้างหรือไม่?"ฮ่องเต้เจาหยวนหลับตาลง หลังจากครุ่นคิดสักครู่จึงกล่าวว่า "จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถแสดงให้ผู้คนเห็นความโหดร้ายของจิ่งโม่เยี่ยได้"