เขารู้สึกรังเกียจจิ่งสือเฟิงมาก จึงพูดว่า "เจ้าตายไปแล้ว ไปกินที่อื่นไม่ได้หรือไง?"พอเขาพูดจบ เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนก็หันมามองเขาพร้อมกันเขารู้สึกอึดอัดจึงพูดว่า "ข้าไม่ได้พูดถึงพวกเจ้านะ ข้าพูดถึงเขาต่างหาก!"หลังจากจิ่งสือเฟิงตายไปก็หน้าด้านขึ้นไม่น้อย "จะให้ข้าไปกินที่อื่นก็ได้ แต่เจ้าช่วยแบ่งอาหารทุกจานให้ข้ากินบ้างได้ไหม?"ปู๋เยี่ยโหวจ้องเขา "อย่าได้ใจให้มากนักเลย! ยังคิดจะกินอาหารทุกอย่างอีก กลับลงนรกไปเลยนะ!"พูดจบก็ยิ้มหวานให้เหมยตงยวน "ลุงเหมย ข้าแบ่งอาหารทุกจานให้แล้วนะขอรับ ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอ ข้าจะสั่งให้พ่อครัวทำเพิ่มอีก"จิ่งสือเฟิงพูดอย่างน้อยใจ "เจ้าเลือกปฏิบัติเกินไปแล้วนะ!"ปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างหน้าด้านๆ "เจ้าเป็นศัตรูของข้า อีกอย่างก็ตายไปแล้วด้วย ข้าไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าหรอก""ถ้าข้าใจแคบกว่านี้นิดหน่อย ก็คงให้ชูชูกับลุงเหมยสลายวิญญาณเจ้าไปแล้ว"เฟิ่งชูอิ่งปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกัน ส่วนนางก็ช่วยจัดอาหารให้เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนเรียบร้อยแล้วคนในจวนแห่งนี้ปกติจะอยู่กันเงียบมาก แต่พอปู๋เยี่ยโหวกลับมา จวนแห่งนี้ก็กลับมาคึกคักนางรู้สึกว่าปู๋เยี่ยโหวบางครั้งถ
จิ่งโม่เยี่ยยืนสงบนิ่งต่อข้อกล่าวหาของปู๋เยี่ยโหวและถามว่า "เดี๋ยวจะร่วมเล่นด้วยกันไหม?"ปู๋เยี่ยโหว "...เอาสิ!"จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลนปู๋เยี่ยโหวไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขาผละออกไปหาเฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงเพื่อจุดดอกไม้ไฟด้วยกันเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย กลัวไฟมาก ได้แต่ถือไม้ยาวๆ เพื่อไปจุดไฟแต่คืนนี้ลมแรง ไม้ที่จุดไฟไว้จึงดับเพราะถูกลมพัดในไม่ช้าทุกครั้งที่ไฟบนไม้ยาวมอดดับ นางก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยจุดไฟให้ใหม่แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเฟิ่งชูอิ่งจะดีขึ้นเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิท การลุกนั่งย่อตัวบ่อยๆ ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยนางจึงบอกกับปู๋เยี่ยโหวว่า "เจ้าไปช่วยจุดไฟให้เฉี่ยวหลิงทีสิ"ปู๋เยี่ยโหวไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แม้ว่าเฉี่ยวหลิงมักจะทุบตีเขาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากที่เฟิ่งชูอิ่งย้ายมาอยู่ที่เรือนพัก ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นมากเมื่อปู๋เยี่ยโหวรู้ว่าเฉี่ยวหลิงตายอย่างน่าเวทนา เขาก็รู้สึกเห็นใจนางมากขึ้นตอนนี้นางต้องการจุดดอกไม้ไฟ การช่วยจุดไฟให้นางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรปู๋เยี่ยโหวมีฝีมือดี ตั้งแต่เด็กเขา
จิ่งโม่เยี่ยถามนาง "แล้วความรู้สึกแรกของเจ้าที่มีต่อข้าเป็นอย่างไร?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยหางตาพลางพูดว่า "อารมณ์แปรปรวน โหดร้าย ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกันอีกเลย"จิ่งโม่เยี่ย “......”เขารู้สึกว่าไม่ควรถามคำถามนี้กับนางเลย คำตอบที่ได้ยินช่างแย่เหลือเกินเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า "ตอนนั้นท่านอ๋องก็แสดงภาพลักษณ์แบบนั้นต่อหน้าผู้คนไม่ใช่หรือ? ยากที่จะเข้าใกล้จริงๆ"จิ่งโม่เยี่ยถอนหายใจยาวพลางพูดว่า "ที่แท้ตอนนั้นข้าก็น่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย "นิสัยของท่านตอนนั้นไม่น่าคบหาจริงๆ นั่นแหละ"จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เป็นที่ชื่นชอบของนาง แต่ไม่รู้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรก นางมีความประทับใจต่อเขาเช่นนี้เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างจริงจังพลางพูดว่า "ท่านอ๋อง ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับข้าหรอก""ในโลกนี้มีสตรีนับหมื่นนับแสน ท่านมีตำแหน่งฐานะและอำนาจสูงส่ง จะเลือกสตรีแบบไหนก็ย่อมได้มิใช่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยพูดเบาๆ "แต่ในโลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียว"เฟิ่งชูอิ่ง “......”คำพูดของเขาทำให้นางไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่
เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจพลางกล่าวว่า "ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าข้าอาจจะทำอะไรผิดพลาดไป"จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยความงุนงง นางถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า "อย่าถามอะไรเลย ปล่อยให้ข้าได้อยู่เงียบๆ เถอะ"แม้จิ่งโม่เยี่ยจะไม่เข้าใจความคิดที่วกวนของนาง แต่ด้วยความฉลาดของเขา ในตอนนี้ก็พอจะเดาได้บ้างแล้วเขาถามว่า "เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าจะมีอนุภรรยาหลายคนหรอกนะ?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่พูดอะไรจิ่งโม่เยี่ยนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา "เมื่อก่อนเจ้าเคยบอกว่าเคยชอบข้า แต่ก็มีความกังวลมากมาย จิตใจไม่มั่นคง""สาเหตุที่เจ้าเลือกจะหนีจากไปตอนที่ข้าก่อกบฏในวัง คงไม่ใช่เพราะคิดว่าหลังจากข้าก่อกบฏสำเร็จแล้ว จะถูกอำนาจครอบงำ ต้องประนีประนอมกับขุนนาง และมีสนมมากมายใช่ไหม?"เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเขินเล็กน้อยที่เขาคาดเดาความคิดของนางออกนางลูบจมูกเบาๆ พูดอย่างเก้อเขิน "จริงๆ ก็มีเหตุผลนี้ส่วนหนึ่ง"อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาเคยแสดงเจตนาจะฆ่านางหลายครั้ง ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยนางคิดว่าก่อนที่จะรักเขาลึกซึ้งเกินไป ควรจบความสัมพันธ์แล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่ต้องการแต่นางไม่คิดว่ายังไม่ทันหนีออกจากจวนก็ถูกเข
ปู๋เยี่ยโหวเป็นคนฉลาดหลักแหลม เห็นสีหน้าและท่าทางของนางก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าคุยเรื่องแต่งงานกับจิ่งโม่เยี่ยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งครางฮึ่มๆ ในลำคอเบาๆ แต่ไม่ตอบอะไรปู๋เยี่ยโหวรู้ทันทีว่าตนเองเดาถูก จึงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าแต่งงานกับข้า ข้าสัญญาว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่รับอนุภรรยาอีก”“อยู่กับข้าสนุกกว่าตั้งเยอะ ผู้หญิงคนอื่นในโลกนี้เทียบกับเจ้าแล้วล้วนดูจืดชืด”เฟิ่งชูอิ่งมองเขา เขาจึงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของข้า แต่หมายถึงความคิดในตอนนี้เท่านั้น”“ส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไร ใครจะไปรู้!”เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้ว เขากล่าวต่อว่า “ข้าเดาว่าจิ่งโม่เยี่ย ถึงจะไม่พูดแบบข้า แต่ก็น่าจะคิดคล้ายๆ กัน”“แต่ในฐานะผู้ชาย ข้าจะพูดอย่างยุติธรรม”“ความรักในโลกนี้ แท้จริงแล้วพูดถึงความรู้สึก ณ เวลานั้น”“เรื่องรักนิรันดร์ อยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า รักกันอย่างไม่ระแวงสงสัย แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ทำได้ยาก ยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ยิ่งแล้วใหญ่”“เชื้อพระวงศ์มีเรื่องต้องกังวลมากมาย มีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย และมีหลายสิ่งที่ทำตามใจตนเองไม่ได้”เฟิ่งชูอิ่งถามปู๋เยี่ยโหวว่า “ท่านมีเรื่
เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าคิดอะไรออกหรือ”เฉี่ยวหลิงกุมหัวตัวเองไว้พลางพูดว่า “มันค่อนข้างสับสน...อ๊า ปวดหัวจัง!”เฟิ่งชูอิ่งรีบพูดว่า “ถ้าปวดหัวก็อย่าคิดแล้ว พักก่อนเถอะ!”นางรู้ว่าอาการของเฉี่ยวหลิงแบบนี้น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ฝึกกับเหมยตงยวน ทำให้ร่างวิญญาณฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง จึงเริ่มนึกถึงความทรงจำตอนมีชีวิตได้เพียงแต่ความทรงจำเหล่านั้นมันเจ็บปวดเกินไปสำหรับเฉี่ยวหลิง ดังนั้นเวลาคิดถึงมันขึ้นมาจึงปวดหัวก่อนหน้านี้เฉี่ยวหลิงเผลอทีไร ลูกตาและคางก็จะหลุดออกมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าตอนมีชีวิตนางถูกทรมานอย่างโหดร้ายในสถานการณ์แบบนี้ เฟิ่งชูอิ่งอยากให้นางลืมทุกอย่างไปเสียมากกว่าปู๋เยี่ยโหวเห็นท่าทางของเฉี่ยวหลิงก็พูดว่า “มันเป็นเรื่องในอดีตแล้ว อย่าไปคิดถึงมันเลย”ดวงตาของเฉี่ยวหลิงแดงก่ำ พลังอาฆาตทั่วร่างพุ่งสูง เล็บมือก็ยาวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีดำทันที “ข้าจะฆ่ามัน!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบร่ายมนต์สะกดลงบนร่างของเฉี่ยวหลิงปกติแล้ว คาถาบทนี้ของนางสามารถระงับพลังอาฆาตของเฉี่ยวหลิงได้แต่วันนี้พลังอาฆาตของเฉี่ยวหลิงกลับไม่ลดลงเลย แถมยังเพิ่มขึ้นอีก!เฟิ่งชูอิ่งจึง
เขาพูดต่อว่า "ข้าชอบที่เห็นนางเป็นแบบนี้มากกว่า ดูน่ารักดี"ตอนที่เขาเจอเฉี่ยวหลิงครั้งแรก จริงๆ แล้วเขาก็กลัวนางอยู่บ้าง เพราะนางไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่แล้วแต่พอได้อยู่ด้วยกันนานๆ เขาก็รู้สึกว่าเฉี่ยวหลิงเป็นหญิงสาวที่ดีมาก มีน้ำใจ และนิสัยก็ดีมากด้วยเฉี่ยวหลิงทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า "ใครจะต้องการให้เจ้ามาชื่นชอบกัน!"นางพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า "คุณหนู ข้านึกออกแล้วว่าข้าตายได้อย่างไร"เฟิ่งชูอิ่งพูดเสียงนุ่มว่า "ความทรงจำที่เจ็บปวดพวกนั้น ไม่ต้องคิดถึงมันก็ได้"เฉี่ยวหลิงเอียงหน้ามองจิ่งโม่เยี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางกล่าวว่า "ความทรงจำของข้ามีความเกี่ยวข้องกับเขา"เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกประหลาดใจ ปู๋เยี่ยโหวถามว่า "หรือว่าเขาจะเป็นคนฆ่าเจ้า?"เฉี่ยวหลิงส่ายหน้า "ไม่ใช่หรอก ข้าแค่นึกออกว่าข้าตายในคืนที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท"พอพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปปู๋เยี่ยโหวคิดแปลกประหลาด "นั่นมันเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วนะ""ข้ารู้ว่าคนตายแล้วจะยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตอนมีชีวิต ตอนที่นางมีชีวิตอยู่ก็หน้าตาแบบนี้ แล้วนางอายุเท่าไหร่กันแน่?"เฉี่ยวหลิงตอบ "เรื
พอนางพูดจบ ทุกคนก็เงียบกันหมด มันต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน!ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อนางนึกถึงเรื่องเหล่านี้ นางจะมีโทสะรุนแรงขนาดนั้น ความเจ็บปวดแบบนั้นไม่มีใครทนได้หรอกเฟิ่งชูอิ่งฟังนางพูดจบก็โกรธจัด “ฆ่าก็ฆ่าไปเถอะ ยังจะใช้วิธีทรมานโหดร้ายแบบนี้อีก นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!”ตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเฉี่ยวหลิงถึงเกลียดมหาราชครูตั้งแต่แรกเห็นส่วนที่มหาราชครูจำเฉี่ยวหลิงไม่ได้ ก็เพราะเฉี่ยวหลิงเป็นแค่หนึ่งในตัวละครเล็กๆ ที่มหาราชครูไม่สนใจผ่านมาหลายปีแบบนี้ มหาราชครูไม่มีทางจำเฉี่ยวหลิงได้หรอกปู๋เยี่ยโหวก็โมโหเช่นกัน “ข้าก็บอกแล้วว่ามหาราชครูมันไม่ใช่คนดีอะไรเลย!”“พวกที่วันๆ เอาแต่พร่ำเพ้อเรื่องความเมตตากรุณา คุณธรรม จริยธรรมเนี่ย ไม่มีใครดีสักคน”ก่อนหน้านี้เขายังลังเลเรื่องที่เฉี่ยวหลิงอายุมากกว่าเขาสิบกว่าปี ตอนนี้เขาก็มีแต่ความสงสารนางถึงเขาจะรู้มาก่อนว่านางถูกทรมานจนตาย แต่พอรู้ว่าใครเป็นคนทำ เขาก็ยิ่งโมโหเข้าไปอีกเฉี่ยวหลิงยื่นมือไปจับมือเฟิ่งชูอิ่ง “คุณหนู เรื่องมันผ่านไปแล้ว ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ท่านอย่าโกรธเลย”เฟิ่งชูอิ่งลูบหัวนางแล้วพูดว่า “ใช่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว
พอทหารองครักษ์คนนั้นพูดจบ หมอกขาวก็ยิ่งรวมตัวกันรวดเร็วยิ่งขึ้นจิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้ว เพราะเขารู้ว่าคำพูดของทหารองครักษ์เป็นความจริงเขาจ้องมองหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา ร่างกายนิ่งสงบเหมือนภูเขาหมอกขาวกลืนกินทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้ทุกคนหายวับไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยอยู่กับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาของพวกศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายในความคิดของเขา แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาของสำนักลี้ลับ แต่มันก็อาจจะคล้ายคลึงกันหลายส่วนเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากรอบๆ ผู้ชายทั่วไปได้ยินแล้วคงเผลอหลงใหล แต่เขาฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเฟิ่งชูอิ่งในใจของจิ่งโม่เยี่ย ผู้หญิงในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือเฟิ่งชูอิ่ง และอีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงคนอื่นเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาตอนนี้ดันมีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาเกี้ยวพาเขาแบบนี้ ถ้าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องโกรธมากแน่ๆจิ่งโม่เยี่ยมองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกหนา เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพับแล้วมัดปิดตาตัวเองพริบตา
พลังหยาง พลังมังกรและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่นางต้องการ นางต้องได้ทั้งหมดนั่นมาครอง!ตอนแรกจิ่งสือเยี่ยนโดนวิชาของเฟิ่งชูอิ่งเล่นงานจนอาการย่ำแย่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงสูบพลังอีก ทำให้โชคชะตาของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็วพลังมังกรสามารถคุ้มครองป้องกันร่างกาย ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้ได้แต่ตราบใดที่ปีศาจไม่มีจิตสังหาร พลังมังกรก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปจิ่งสือเยี่ยนโดนจิ้งจอกสือซานเหนียงเล่นงานจนเกือบหมดแรงนอนเหี่ยวแห้งตายแต่จิ้งจอกสือซานเหนียงเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ "เจ้าดูเหมือนจะร้ายกาจ แต่กลับได้แค่นี้เอง?"จิ่งสือเยี่ยน “......”จิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!”เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกผู้หญิงดูถูกเรื่องความสามารถทางด้านนั้น!เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ตอนนี้เจ้าคงสาสมใจแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?"เขาร้อนใจอย่างมาก หากยังไม่รีบไปตอนนี้อีก เกรงว่าจะถูกจิ่งโม่เยี่ยตามมาทันจิ้งจอกสือซานเหนียงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ข้าเคยบอกตอนไหนว่าทำครั้งเดียวแล้วจะปล่อยเจ้าไป?"จิ่งสือเยี่ยนเบิกตากว้างจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่จิ้งจอกสือซานเหนียงพลาดท่าเสียทีในการยั่วยวนผู้ชายตลอดหลายปีมานี้ ก็คงเป็นตอนที่นางได้เจอกับปู๋เยี่ยโหว และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทันทีที่สบตากับจิ่งสือเยี่ยน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่า ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พวกหื่นกามจนขึ้นสมอง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนเจ้าชู้อยู่บ้างไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเขาก็รู้แล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะคิกคัก นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขา “ค่ำคืนนี้ช่างวิเศษจริงๆ”จิ่งสือเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็แทงกระบี่เข้าใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงแบบไม่บอกกล่าวแต่การโจมตีของเขากลับพลาดเป้า สาวงามในอ้อมแขนก็หายวับไปในทันทีสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลาดการโจมตีครั้งแรก การจะลงมือครั้งต่อไปย่อมยากขึ้นจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ชายที่ยิ้มหน้าระรื่นได้แบบเจ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย”“ปากก็พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโหดเหี้ยมสิ้นดี!”“กับผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”ทันทีที่นางพูดจบ จิ่งสือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันอยู่ที่ขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง สิ่งนั้นก็ลากเขาลงไปกองกับพื
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้สึกได้ว่าการหนีออกจากเมืองหลวงในวันนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยจิ่งสือเยี่ยนมีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ขาดแคลนทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์แต่ในขณะนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งเกาะ มีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมจิ่งสือเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “ใครกำลังเล่นตลกอยู่?”ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่หลังจากได้รู้จักกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่มีวิชาอาคมสูงส่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเห็นมาปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนที่ซุ่มโจมตีเขาในวันนี้ อาจเป็นเฟิ่งชูอิ่งก็ได้ แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งเพราะถ้าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจริง นางจะให้วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างกายนางจัดการโดยตรง จะไม่ปิดบังอำพรางเช่นนี้จิ่งสือเยี่ยนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะถูกสิ่งสกปรกบางอย่างตามรังควานจิ่งสือเยี่ยนพูดเสียงดังว่า “เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้”เสียงที่ตอบกล
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ
“ข้าไม่ใช้วิชาชั่วร้ายแบบที่เทียนซือใช้กับเจ้าก่อนหน้านี้หรอก ข้าใช้แต่คาถาสายธรรมมะเท่านั้น”“วิธีนี้ไม่สร้างอันตรายถึงชีวิต แต่จะทำให้โชควาสนาของเขาน้อยลง”“จากนี้ไป เขาจะไม่ใช่จิ่งสือเยี่ยนที่ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นอีกต่อไป แต่จะเป็นจิ่งสือเยี่ยนคนธรรมดา”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าวิชาศาลตร์ลี้ลับของนางสูงส่งมาก นางแค่พูดแบบถ่อมตัวนั่นหมายความว่าจิ่งสือเยี่ยนอาจจะต้องประสบโชคร้ายสักหน่อยเขาถามว่า “วิชาของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ประมาณเจ็ดวัน แต่ถ้าโชคชะตาของเขาแข็งแกร่งเกินไป เวลาก็จะสั้นลงอีกหน่อย”“ดังนั้น เจ้าต้องตามหาเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด แล้วจัดการเขาให้เรียบร้อย”“เพราะเจ็ดวันหลังจากนี้ เท่าที่ดูจากกระดานคำนวณครั้งก่อน เขาอาจจะพากองทัพกลับมาเอาคืนได้”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้าแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนอาชาเฟิ่งชูอิ่พูดกับแผ่นหลังของเขาว่า “ตอนที่เจ้าสู้กับเขา ต้องระวังตัวให้มากนะ”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองนาง นางกัดริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้!”“เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว พวกเราจะแต่งงานกัน”จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตาเป็นประกาย ในขณะนั้
แต่เพื่อความสะดวกในการสะกดรอยตามจิ่งสือเยี่ยน เฟิ่งชูอิ่งจึงใช้ศาสตร์ลี้ลับกับเขาเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงสามารถเก็บของบางอย่างไว้กับตัวได้ อย่างเช่นกางเกงในสองสามตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตอนนี้เขาถูกกระจกปราบปีศาจกดทับจนขยับไม่ได้ เฟิ่งชูอิ่งจึงร่ายคาถาช่วยเขาป้องกันการโจมตีของกระจกปราบปีศาจชั่วคราว ทันใดนั้นเขาก็หายวับไปอยู่ด้านหลัง ตรงจุดที่กระจกปราบปีศาจโจมตีไม่ถึงเมื่อจิ่งสือเฟิงเป็นอิสระ เขาก็เริ่มบิดตัวไปมา “เกือบจะถูกทับตายอยู่แล้วเชียว!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย ทำไมต้องโจมตีกันด้วย?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็ลอบกลอกตาไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาของออกมา”จิ่งสือเฟิงกลัวจะถูกนางทุบตี จึงรีบหยิบกางเกงในออกมาให้นางจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่มีของอย่างอื่นให้หยิบมาหรือไง?”เขามองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาช่างกล้าหาญนัก กล้าให้เฟิ่งชูอิ่งดูกางเกงในของผู้ชายคนอื่นจิ่งสือเฟิงหดคอแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หยิบติดมือมาส่งเดช”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ช่างเถอะ ใช้งานได้ก็พอ ตอนนี้ไม่ใช่เ
นางจ้องเขม็งไปทางจิ่งสือเฟิงด้วยความขุ่นเคือง พับเก็บแผนการที่จะกระทืบเขาไว้ชั่วคราวจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกประหลาดใจที่เห็นนางอยู่ที่นี่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้นางคืนนี้หิมะตก อากาศหนาวมาก เฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบเสื้อคลุมตอนนี้เสื้อคลุมของเขากำลังห่มคลุมร่างของนาง ความอบอุ่นและกลิ่นอายของเขากำลังโอบล้อมนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมากนางตอบ “ข้ามาหาจิ่งสือเฟิง เขาติดตามจิ่งสือเยี่ยนมาที่นี่ แต่โดนกระจกปราบปีศาจที่หน้าประตูเมืองสะกดเอาไว้”จิ่งโม่เยี่ยมองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม เจ้าบ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ แค่ตามคนยังตามได้ไม่ดี ต้องเดือดร้อนให้เฟิ่งชูอิ่งมาช่วยเหลือกลางดึกจิ่งสือเฟิงรีบหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ พยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุดเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะมีกระจกปราบปีศาจบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่สำคัญคือเขาเพิ่งเป็นผีได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่จิ่งโม่เยี่ยพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “อากาศหนาว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปตามจิ่งสือเยี่ยนเอง”เฟิ่งชูอิ่งถ
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที