สีหน้าของเหล่าขุนนางดูไม่สู้ดีนักขุนนางคนเดิมถามต่อว่า “ที่ว่าโหดร้ายนั้น ควรจะเห็นกับตาหรือเชื่อข่าวลือกันแน่”ครั้งนี้มีคนตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเห็นกับตา”หลังจากพูดจบก็เงียบไปอีกนานเพราะการเห็นกับตาในครั้งนี้ ได้ลบล้างความคิดที่พวกเขาเคยเชื่อมั่นและยึดติดมาทั้งหมดขุนนางถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเราถูกหลอกใช้แล้ว”คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าขุนนางทุกคนที่อยู่ภายในโรงหมอขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้อาจเป็นแค่ฉากหน้า บางทีอาจมีคนเล่นละครอยู่”ขุนนางที่ถามคำถามแรกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เล่นละคร? เจ้าตาบอด หรือพวกเราทั้งหมดตาบอดกันแน่?”ฉากเมื่อครู่นี้ ใครที่ตาไม่บอดก็ต้องมองออกกันทั้งนั้นการเล่นละครตบตาไม่มีทางที่จะทำได้แบบนั้นโดยรอบเงียบลงอีกครั้งขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านมหาราชครูเป็นปราชญ์ทางวรรณกรรม มีศีลธรรมสูงส่ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมให้คนรอบข้างทำเรื่องแบบนั้น”คำพูดนี้ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคนครั้งนี้อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ แต่พวกเขายังคงเชื่อว่ามหาราชครูจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นขุนนางที่ถามเป็นแรกเอ่ยว่า “คดีของรองผู้ว่าตู้
ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่มีเวลาจะไปสนใจพวกเขาหรอก เขากำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองและทอดสายตามองไปยังกองทัพอวี๋ซานที่หลบซุ่มอยู่ไกลออกไปกองทัพอวี๋ซานอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองนัก สามารถมองเห็นพวกเขาได้ แต่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหวฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเขากำลังทำอะไรกัน?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “พวกเขากำลังรอโอกาส”ฉินจื๋อเจี้ยนถามต่อ “โอกาสอะไร?”แววตาของจิ่งโม่เยี่ยมืดมนลง “โอกาสที่จะบุกเข้ายึดเมืองหลวงในครั้งเดียว”สถานการณ์ในครั้งนี้กับตอนที่เกิดกบฏในวังแตกต่างกันตอนกบฏในวัง เขาเผชิญทั้งปัญหาภายในและภายนอก หากพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจพ่ายแพ้และเสียชีวิตได้จิ่งโม่เยี่ยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาครึ่งปีแล้ว เขามีฐานอำนาจในเมืองหลวง อำนาจทหารในมือก็มากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวกองทัพอวี๋ซานอีกแล้วแต่ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งอยู่ในเมืองหลวง กองทัพอวี๋ซานล้อมเมือง นางออกไปไม่ได้ เขาจึงมีเวลาอยู่กับนางได้นานมากขึ้นดังนั้นถ้ากองทัพอวี๋ซานอยากจะล้อมเมืองก็ปล่อยให้พวกเขาล้อมไปเถอะ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรสำหรับเขาอยู่แล้วแต่เขาก็อยากรู้ว่าจิ่งสือเยี่ยนคิดอย่างไร ตอนนี้เรื่อ
จิ่งโม่เยี่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าบีบคั้นเขามากเกินไป เขาก็เลยสังหารเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อเขา ตรรกะนี้ฟังดูตลกสิ้นดี”จิ่งสือเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย จิ่งโม่เยี่ยพูดต่อว่า “อย่ามาพูดกับข้าว่าเขาน่าสงสารอะไรทำนองนั้นเลย”“ตอนที่เขาฆ่าเสด็จพ่อและเสด็จย่าของข้า ไม่มีใครบีบคั้นเขาสักนิด สรุปแล้ว ในใจของเขาก็มีเพียงอำนาจ ไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่นิดเดียว”จิ่งสือเยี่ยนมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า “เรื่องที่ฆ่าฮ่องเต้และไทเฮา เป็นเพียงการคาดเดาของท่าน ยังไม่มีหลักฐานสักหน่อย”“ท่านจะทำเรื่องพวกนี้โดยอาศัยการคาดเดาของตัวเองไม่ได้ พี่สาม การเป็นคนต้องมีหลักฐาน”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “หลักฐานที่เจ้าพูดถึง ข้ามีกองเป็นภูเขาเชียวล่ะ”“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาส่งคนมาลอบสังหารข้ากี่ครั้งกี่หน และปฏิบัติต่อข้าอย่างไรบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากเจ้าไม่ตาบอดก็คงมองเห็นได้”จิ่งสือเยี่ยนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเรื่องพวกนี้ เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดว่า “พี่สาม ยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้า”จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเยาะในลำคอ “สิ่งที่เจ้าสนใจไม่ใช่เรื่องที่ว่าเข
สายตาของจิ่งสือเยี่ยนเย็นชา “งั้นพี่สามก็อยากได้ตำแหน่งนั้นเหมือนกัน?”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ข้าอยากได้ตำแหน่งนั้น แต่ตำแหน่งนั้นมันเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว”“ข้าเป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเสด็จพ่อ ข้าไม่มีพี่น้องร่วมสายโลหิต”“ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าพี่สามอีกเลย มันทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้”คิ้วของจิ่งสือเยี่ยนขมวดเข้าหากัน “ที่แท้คนที่ทะเยอทะยานก็คือเจ้า!”“เจ้าโยนความผิดเรื่องเสด็จลุงสวรรคตให้เสด็จพ่อ สุดท้ายก็แค่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “คนแบบไหนก็มักจะใช้ความคิดแบบนั้นไปคาดเดาการกระทำของคนอื่น”“จิ่งสือเยี่ยน เจ้านี่มันจอมปลอมสิ้นดีเลย”พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนเต็มไปด้วยความเย็นชา ตะโกนว่า “พี่สามรู้ไหมว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงอยากหนีจากท่านอยู่ตลอด?”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองเขาภาพลักษณ์ที่เขาแสดงออกต่อหน้าคนภายนอกมาตลอดคือร่าเริงแจ่มใส แต่ในตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้เขาดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นแบบนี้ทำให้จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
อีกอย่าง หลังจากวันที่นางปฏิเสธเขาอย่างชัดเจนในวันนั้น ความภาคภูมิใจของเขาก็ถูกทำลายเสียหายไปบ้าง ความชอบที่มีต่อนางจึงจืดจางลงจิ่งโม่เยี่ยเดินพ้นออกมาจากห้องรับรองของจิ่งสือเยี่ยนแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นเรื่องที่จิ่งสือเยี่ยนมองออก เขากลับมองไม่ออกมาตลอด จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดนี้ตั้งแต่เด็กเขามักถูกชมว่าฉลาด แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่ง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุดหลังจากจิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของจิ่งสือเยี่ยน เขาก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่เขาจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ความมืดก็โรยตัวลงมา ถึงเวลาทานอาหารมื้อค่ำวันรวมญาติแล้วเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตรงไปยังจวนปู๋เยี่ยโหวแต่ตอนที่เขาไปถึงประตู ก็เจอกับปู๋เยี่ยโหวที่เพิ่งกลับมาถึงพอดีทั้งสองสบตากัน ปู๋เยี่ยโหวเป็นฝ่ายทักทายก่อน “อ๊ะ บังเอิญจัง พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาอย่างเฉยชา “เรื่องของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เรื่องแค่นั้น ต้องทำเสร็จอยู่แล้วสิ!”“ข้าไม่เพียงแต่ทำงานของข้าเสร็จแล้ว ข้ายังเรียกพ่อครัวมาทำอาหารให้เหล่าขุนนาง
เขารู้สึกรังเกียจจิ่งสือเฟิงมาก จึงพูดว่า "เจ้าตายไปแล้ว ไปกินที่อื่นไม่ได้หรือไง?"พอเขาพูดจบ เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนก็หันมามองเขาพร้อมกันเขารู้สึกอึดอัดจึงพูดว่า "ข้าไม่ได้พูดถึงพวกเจ้านะ ข้าพูดถึงเขาต่างหาก!"หลังจากจิ่งสือเฟิงตายไปก็หน้าด้านขึ้นไม่น้อย "จะให้ข้าไปกินที่อื่นก็ได้ แต่เจ้าช่วยแบ่งอาหารทุกจานให้ข้ากินบ้างได้ไหม?"ปู๋เยี่ยโหวจ้องเขา "อย่าได้ใจให้มากนักเลย! ยังคิดจะกินอาหารทุกอย่างอีก กลับลงนรกไปเลยนะ!"พูดจบก็ยิ้มหวานให้เหมยตงยวน "ลุงเหมย ข้าแบ่งอาหารทุกจานให้แล้วนะขอรับ ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอ ข้าจะสั่งให้พ่อครัวทำเพิ่มอีก"จิ่งสือเฟิงพูดอย่างน้อยใจ "เจ้าเลือกปฏิบัติเกินไปแล้วนะ!"ปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างหน้าด้านๆ "เจ้าเป็นศัตรูของข้า อีกอย่างก็ตายไปแล้วด้วย ข้าไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าหรอก""ถ้าข้าใจแคบกว่านี้นิดหน่อย ก็คงให้ชูชูกับลุงเหมยสลายวิญญาณเจ้าไปแล้ว"เฟิ่งชูอิ่งปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกัน ส่วนนางก็ช่วยจัดอาหารให้เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนเรียบร้อยแล้วคนในจวนแห่งนี้ปกติจะอยู่กันเงียบมาก แต่พอปู๋เยี่ยโหวกลับมา จวนแห่งนี้ก็กลับมาคึกคักนางรู้สึกว่าปู๋เยี่ยโหวบางครั้งถ
จิ่งโม่เยี่ยยืนสงบนิ่งต่อข้อกล่าวหาของปู๋เยี่ยโหวและถามว่า "เดี๋ยวจะร่วมเล่นด้วยกันไหม?"ปู๋เยี่ยโหว "...เอาสิ!"จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลนปู๋เยี่ยโหวไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขาผละออกไปหาเฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงเพื่อจุดดอกไม้ไฟด้วยกันเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย กลัวไฟมาก ได้แต่ถือไม้ยาวๆ เพื่อไปจุดไฟแต่คืนนี้ลมแรง ไม้ที่จุดไฟไว้จึงดับเพราะถูกลมพัดในไม่ช้าทุกครั้งที่ไฟบนไม้ยาวมอดดับ นางก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยจุดไฟให้ใหม่แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเฟิ่งชูอิ่งจะดีขึ้นเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิท การลุกนั่งย่อตัวบ่อยๆ ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยนางจึงบอกกับปู๋เยี่ยโหวว่า "เจ้าไปช่วยจุดไฟให้เฉี่ยวหลิงทีสิ"ปู๋เยี่ยโหวไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แม้ว่าเฉี่ยวหลิงมักจะทุบตีเขาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากที่เฟิ่งชูอิ่งย้ายมาอยู่ที่เรือนพัก ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นมากเมื่อปู๋เยี่ยโหวรู้ว่าเฉี่ยวหลิงตายอย่างน่าเวทนา เขาก็รู้สึกเห็นใจนางมากขึ้นตอนนี้นางต้องการจุดดอกไม้ไฟ การช่วยจุดไฟให้นางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรปู๋เยี่ยโหวมีฝีมือดี ตั้งแต่เด็กเขา
จิ่งโม่เยี่ยถามนาง "แล้วความรู้สึกแรกของเจ้าที่มีต่อข้าเป็นอย่างไร?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยหางตาพลางพูดว่า "อารมณ์แปรปรวน โหดร้าย ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกันอีกเลย"จิ่งโม่เยี่ย “......”เขารู้สึกว่าไม่ควรถามคำถามนี้กับนางเลย คำตอบที่ได้ยินช่างแย่เหลือเกินเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า "ตอนนั้นท่านอ๋องก็แสดงภาพลักษณ์แบบนั้นต่อหน้าผู้คนไม่ใช่หรือ? ยากที่จะเข้าใกล้จริงๆ"จิ่งโม่เยี่ยถอนหายใจยาวพลางพูดว่า "ที่แท้ตอนนั้นข้าก็น่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย "นิสัยของท่านตอนนั้นไม่น่าคบหาจริงๆ นั่นแหละ"จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เป็นที่ชื่นชอบของนาง แต่ไม่รู้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรก นางมีความประทับใจต่อเขาเช่นนี้เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างจริงจังพลางพูดว่า "ท่านอ๋อง ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับข้าหรอก""ในโลกนี้มีสตรีนับหมื่นนับแสน ท่านมีตำแหน่งฐานะและอำนาจสูงส่ง จะเลือกสตรีแบบไหนก็ย่อมได้มิใช่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยพูดเบาๆ "แต่ในโลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียว"เฟิ่งชูอิ่ง “......”คำพูดของเขาทำให้นางไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท