จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ท่านมหาราชครูพูดถูก ในเมื่อคดีนี้ไม่สามารถตัดสินลงโทษได้ ก็ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปเถอะ”มหาราชครู “......”เขาหันไปมองจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋องจะปกป้องพระชายาที่ฆ่าคนต่อหน้าธารกำนัลอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวอย่างใจเย็นว่า “คำว่าปกป้อง ข้าไม่กล้ารับ”“เพราะคนที่ลงมือทำร้ายหลินอีฉุนไม่ใช่แค่ชูอิ่งคนเดียว นางไม่ใช่คนแรกที่ลงมือ และก็ไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย”“เมื่อครู่เจ้าหน้าที่ชันสูตรก็บอกเองว่า เขาเพียงแค่คาดเดาสาเหตุการตายของหลินอีฉุนจากประสบการณ์ ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม เจาะจงตัวฆาตกรไม่ได้”“ถ้าอยากหาตัวฆาตกรที่แท้จริง ก็ต้องเปิดหนังศีรษะของหลินอีฉุนดูว่ากะโหลกศีรษะของเขามีบาดแผลอย่างที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรบอกหรือไม่”“ถ้าไม่อยากทำแบบนั้น ก็ไม่สามารถตัดสินลงโทษใครได้ ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดต้องได้รับการปล่อยตัว”“เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าที่พูด แต่เป็นกฎหมายที่พูด”ผู้ว่าราชการประจำเมืองหลวงกล่าวเสริมว่า “กฎหมายเป็นอย่างที่ท่านอ๋องกล่าวจริงๆ ”หัวหน้าศาลต้าหลี่ลูบเคราแล้วกล่าวว่า “แต่กฎหมายของราชวงศ์เราก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห
“เฟิ่งชูอิ่งเปิดโปงความผิดของรองผู้ว่าตู้ ท่านมหาราชครูเลยผูกใจเจ็บแค้นงั้นรึ?”“หรือว่ามหาราชครูต้องการใช้เรื่องนี้โจมตีท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ?”มหาราชครู “……”เขารู้มาตลอดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนที่น่าเกลียดน่าชัง แต่วันนี้อีกฝ่ายน่าชังเป็นพิเศษเสนาบดีฝ่ายซ้ายหันไปถามผู้ว่าราชการว่า “มหาราชครูบอกว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาหย่าร้างกันแล้ว ท่านได้รับเอกสารอะไรมาหรือไม่?”ผู้ว่าราชการตอบว่า “ยังไม่ได้รับ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาแค่ทะเลาะกัน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา”“ข้าคิดว่าพระชายาไม่ได้ใช้ฐานะอันสูงส่งของพระองค์เพื่อหลบหนีการลงโทษทางกฎหมาย แต่กลับให้ความร่วมมือในการสืบสวนอย่างแข็งขัน นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง”จิ่งโม่เยี่ยแอบมองเฟิ่งชูอิ่งอย่างระมัดระวัง เห็นสีหน้าของนางเป็นปกติ ดูสงบนิ่งอย่างมากนางดูสงบขนาดนี้ ทำให้เขาใจคอไม่ดี กลัวว่านางจะมาเอาคืนทีหลังเฟิ่งชูอิ่งยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายชมเกินไป ข้าเพียงแต่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าฮ่องเต้ทำผิดก็ต้องรับโทษเช่นเดียวกับสามัญชน”“ข้าไม่ได้ฆ่าคน ดังนั้นข้าจึงไม่หวั
จิ่งสือเฟิงตอบว่า “นั่นเพราะว่านางก็เป็นผู้หญิงของข้า ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่นางบอกว่ารักข้ามาก”“หลังจากข้าตาย พระมารดาทรงพระพิโรธนางมาก และขับไล่นางออกจากจวนอ๋องเฉิน”“ข้าคิดว่าในเมื่อนางรักข้ามากขนาดนั้น หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว นางก็น่าจะเป็นคนที่คิดถึงข้ามากที่สุด”เขามองนางแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าคิดผิด”“สิ่งที่นางชอบไม่ใช่ตัวข้า แต่เป็นอำนาจของข้า”หลังจากตายแล้วเขาถึงได้รู้ว่าคนที่ดีกับเขามากๆ ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นเพียงเพราะยำเกรงฐานะของเขาเท่านั้นพอคนตายจาก ความรักก็เลือนหายไปด้วยในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่านิสัยของเฟิ่งชูอิ่งนั้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิมหากเฟิ่งชูอิ่งรู้ความคิดของเขา คงจะตบหน้าเขากลับไปทันทีเฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อย่าเปลี่ยนเรื่อง บอกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าติดตามหลินอีฉุนต่อ”จิ่งสือเฟิงจึงพูดว่า “หลังจากที่หลินอีฉุนออกจากตลาด เขาก็เดินไปตามตรอกเล็กๆ ทางทิศตะวันตกที่เต็มไปด้วยต้นสน”“ตอนที่เขาเดินไปถึงทางแยกหน้าบ่อเก็
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่