เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเกือบลืมไปแล้วว่าคนในราชวงศ์แต่งงานกันเร็วมากเรื่องระหว่างชายหญิงก็มีนางกำนัลวัยสาวสะพรั่งมาช่วยสั่งสอนพวกเขาก่อนหน้านี้นางคิดว่าจิ่งสือเฟิงค่อนข้างโง่ ไม่น่าจะเสียเวลาและพลังงานไปสนใจเรื่องในจวนของเขาก็เลยไม่รู้เรื่องภรรยาและอนุภรรยาในจวนของเขาเนื่องจากเรือนหลังของจิ่งโม่เยี่ยเงียบสงบเกินไป นอกจากนางแล้วก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่น นางจึงคิดว่าองค์ชายคนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทันใดนั้นนางก็เข้าใจว่าทำไมหลังจากจิ่งสือเฟิงตายแล้ว คนของมหาราชครูยังไม่กระจัดกระจายไปไหน ก็เพราะเขามีทายาทอยู่ในโลกนี้นี่เองเฟิ่งชูอิ่งถามว่า "แล้วเจ้ามีลูกกี่คน?"จิ่งสือเฟิงคิดอยู่สักพัก "ไม่รู้เหมือนกัน ประมาณสามสี่คนมั้ง!"เฟิ่งชูอิ่งตกใจ "ลูกของเจ้าเอง เจ้ายังไม่รู้ว่ามีกี่คน?"จิ่งสือเฟิงพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย "ข้าทำงานราชการยุ่งจะตายไป จะมีเวลาไปสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร""เมื่อลูกเกิดมา ก็มีแม่ของพวกเขาคอยดูแล ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจ"เฟิ่งชูอิ่งเบ้ปาก มองเขาแล้วยกนิ้วโป้งให้ "เจ้าเป็นผู้ชายสารเลวจริงๆ"เอาเถอะ ตัวเขาเองยังไม่สนใจว่าเขามีลูกกี่คน นางจะไปยุ่งอะไ
คำตอบของจิ่งสือเฟิงทำให้เฟิ่งชูอิ่งพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้างตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเดินมาถึงข้างๆ นาง ก็ได้ยินนางสบถอย่างเจ็บใจว่า “ไอ้ผู้ชายสารเลว”จิ่งโม่เยี่ย “...…”นางคงไม่ได้กำลังด่าเขาอยู่หรอกนะ? เขานึกทบทวนการกระทำของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรเขากระแอมไอเบาๆ แล้วพูดว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เจ้าไม่มาฉลองปีใหม่ที่วังกับข้าหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “เรื่องหนังสือหย่า เราค่อยมาคิดบัญชีกันทีหลัง”จิ่งโม่เยี่ยเอื้อมมือลูบจมูก พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ถึงขั้นให้ปู๋เยี่ยโหวไปเตือนเจ้าแล้วด้วย”“ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าทำตามความต้องการของเจ้า ไม่ได้ทำอะไรเลย”เฟิ่งชูอิ่ง “...…”ก็เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนี่แหละ นางถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้!เรื่องพวกนี้เขาต้องรู้แน่ๆ ตอนนี้เขากำลังแสร้งทำเป็นใสซื่อต่อหน้านาง ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!แต่เรื่องนี้นางก็หาความผิดของเขาไม่ได้จริงๆ เพราะวันนั้นตอนที่ปู๋เยี่ยโหวมาหานาง นางยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพวกเขาหย่ากันแล้วส่วนปู๋เยี่ยโหวยังไม่ได้แต่งงาน เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการแต่งงานและการห
ถึงแม้นางจะรู้ว่าเขากำลังแกล้งทำเป็นแบบนี้ แต่นางก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเขาจริงๆนางใจอ่อนกับคนอ่อนหวาน แต่ไม่ใช่คนแข็งกร้าวจิ่งโม่เยี่ยเห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่าแผนการของเขาได้ผลนางเคยบอกว่านางชอบเขาแบบนี้ และเคยบอกว่าเกลียดความเผด็จการของเขาดังนั้นเขาจึงแสดงข้อดีของตัวเองออกมา และหลีกเลี่ยงข้อเสีย เพื่อไม่ให้นางรู้สึกเกลียดเขาเขาต้องหาทางรั้งนางไว้ โดยไม่ทำให้นางรู้สึกต่อต้านถ้าหากการใช้มารยาชายงามและการอ้อนวอนได้ผล เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้มันกับนางเฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ!”“เรื่องที่เราหย่าขาด ข้ายอมรับก็แล้ว ส่วนนายจะยอมรับหรือไม่ ข้าไม่สน”จะเล่นบทอ้อนวอนงั้นเหรอ?นางก็ทำเป็น!รอยยิ้มของจิ่งโม่เยี่ยแข็งค้างอยู่บนใบหน้าเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่านางไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับเรื่องที่นางและจิ่งโม่เยี่ยหย่าขาดสำเร็จหรือไม่ ยังไงนางก็มีหนังสือหย่าแล้วนางคิดว่าแค่พวกเขาหย่ากันก็พอแล้วนางยิ้มบางๆ ให้จิ่งโม่เยี่ย “เรื่องขั้นตอนหลังจากหย่าขาด ก็รบกวนท่านอ๋องไปจัดการด้วยทีนะคะ”“ปีนี้ข้าจะไม่ฉลองปีใหม่กับท่านอ๋องแล้ว ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ”นางกลัว
ฮ่องเต้เจาหยวนยังคงทรงประชวรและนอนอยู่บนพระแท่นบรรทม ไม่สามารถลุกขึ้นได้ พระวรกายซูบผอมลงอย่างมาก ราชกิจแทบทั้งหมดก็ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองกิจการในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนถูกตัดสินใจโดยจิ่งโม่เยี่ยด้วยเหตุนี้เอง ฮองเฮาจึงคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยต้องแอบใส่ยาพิษในอาหารให้ฮ่องเต้เจาหยวน ทำให้อาการของพระองค์ไม่ดีขึ้นสักทีเรื่องนี้ฮองเฮาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหลายครั้ง ขันทีและนางกำนัลที่รับใช้ฮ่องเต้เจาหยวนก็เปลี่ยนไปหลายชุดแล้ว แต่อาการของพระองค์ก็ยังไม่ดีขึ้นฮองเฮาร้อนใจแต่ก็ไม่มีทางออกต่อมาการตายของจิ่งสือเฟิงยิ่งทำให้ฮองเฮารู้สึกว่าสถานการณ์ของนางอับจนหนทางมากเข้าไปใหญ่จิ่งสือเฟิงมีทายาทหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ แต่พวกเขายังเด็กเกินไป ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของจิ่งโม่เยี่ยได้หลังจากปรึกษาหารือกับมหาราชครู ฮองเฮาจึงตัดสินใจว่าจะยืนหยัดไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามตอนนี้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความคิดของขุนนางในเมืองหลวงที่อยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้เจาหยวน รวบรวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อต้านจิ่งโม่เยี่ยและวันนี้ นางจะหาวิธีสั่นคลอนรากฐานอำนาจของจิ่งโม่เยี่ยในเมืองหลวง
“ท่านมหาราชครูไม่ใช่หรือที่พูดอยู่เสมอว่า โอรสสวรรค์ทำผิดต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับราษฎร พระนางหักล้างคำพูดของข้าไม่ได้ก็จะลงมือทำร้ายกัน เป็นพระนางที่ทำผิดก่อน ข้าตบสั่งสอนพระนางเล็กน้อยแค่นี้ จะเรียกว่าบังอาจได้อย่างไร”พูดจบนางก็มองไปที่ท่านมหาราชครู “ตัวท่านเองยังไม่ตั้งอยู่ในคุณธรรมเลย สั่งสอนลูกชายอย่างรองผู้ว่าราชการตู้ให้ออกมาเป็นคนชั่วช้า เลี้ยงดูลูกสาวอย่างพระนางให้ออกมาเป็นคนไร้เหตุผล...”นางหัวเราะเสียงเย็นชา “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนข้า”ก่อนหน้านี้ที่นางยังไม่ได้พ้นผิด นางจึงต้องยอมอดทนอดกลั้นยอมรับการใส่ร้ายป้ายสีจากมหาราชครูในเมื่อตอนนี้นางพ้นผิดแล้ว จะทนไปทำไมอีกล่ะ!ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังไม่ได้หย่ากับจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยังคงเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการจิ่งโม่เยี่ยกุมอำนาจทั้งแผ่นดิน หากนางไม่ทำตัวกร่างบ้าง ก็คงเสียเปล่าที่เขามีอำนาจอยู่ในมืออย่างไรจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ลงรอยกับพรรคพวกของมหาราชครูอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็ให้เขาไปจัดการเองแล้วกันวันนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดี มีคนมาเสนอหน้าให้นางซ้อ
พูดจบเขาก็คำนับเฟิ่งชูอิ่งอีกครั้ง “เมื่อครู่ฮองเฮาได้ล่วงเกินพระชายา ข้าต้องขออภัยพระชายาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ขุนนางในจวนผู้ว่าราชการก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปต่างๆ นาๆหรือว่าฮองเฮาจะทำเรื่องน่าอับอายอะไรบางอย่างไว้จริงๆ?มิฉะนั้น ท่านมหาราชครูคงจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ผู้ว่าราชการเมืองหลวงตัวสั่นเทา วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองรู้เรื่องมากเกินไปหน่อยเขาคิดว่าตอนนี้จะหาโอกาสหนีออกจากประตูหลังของจวนผู้ว่าราชการ ไม่รู้ว่าจะยังทันหรือไม่ด้วยฐานะของท่านมหาราชครู บัดนี้กลับยอมอ่อนข้อลงพูดจาไพเราะ และยังมองข้ามเรื่องที่นางตบฮองเฮา เฟิ่งชูอิ่งจึงไม่ถือสาเรื่องนี้อีกนางจึงหันไปยั่วโมโหฮองเฮา “ไม่ว่าจะมีการเข้าใจผิดหรือไม่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฮองเฮาถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ล่วงเกินได้”“ให้ตายสิ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ฮองเฮาผู้แปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ ยังมีหน้ามาเป็นฮองเฮาต่อไปได้อย่างไร”ฮองเฮากำมือแน่น พูดด้วยน้ำเย็นเยียบ “เรื่องของข้า ย่อมมีฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาชี้นิ้วสั่งสอนได้!”เฟิ่งชูอิ่งเม้มริมฝีปาก อมยิ้มบางๆ “ฮองเฮาพูดถูก ฝ่
ท่านมหาราชครูยกมือกุมขมับ ฮองเฮาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ปกติแล้วไม่มีทางที่จะยอมรับการเดิมพันเรื่องแบบนี้เพียงแต่ว่าวันนี้เมื่อฮองเฮาเสด็จมา เฟิ่งชูอิ่งลงมือทำร้ายพระนางก่อนแล้วยังด่าทอซ้ำอีก ทำให้อารมณ์ของพระนางเดือดดาลจนขาดสติยั้งคิดในเวลานี้ฮองเฮาคงคิดว่าจับผิดเฟิ่งชูอิ่งได้ จึงรีบตอบรับอย่างใจร้อน จนตกลงไปในหลุมพรางของเฟิ่งชูอิ่งเฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานกล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นต่อไปเชิญทุกท่านรับชมการแสดง ฮองเฮาตีลังกากลับหัวกินอุจจาระได้เลย ควรมีเสียงปรบมือต้อนรับสักหน่อยนะ!”หลังจากพูดจบ นางก็ปรบมือพลางเปิดเนตรทิพย์ให้ฮองเฮาเดิมทีฮองเฮายังอยากจะเยาะเย้ยเฟิ่งชูอิ่งอีกสองสามคำ แต่เพียงพริบตาเดียว นางก็มองเห็นจิ่งสือเฟิงที่กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบตัวนางนางตกใจถอยหลังไปก้าวใหญ่ ร้องด้วยความตกใจว่า “เฟิงเอ๋อร์?”จิ่งสือเฟิงเห็นว่าฮองเฮามองเห็นเขาได้แล้ว จึงรีบพูดว่า “เสด็จแม่ ข้าอยู่ตรงนี้ตลอดเลย!”“ทำอย่างไรท่านถึงยอมรับได้ ท่านอาจจะยังไม่รู้ เฟิ่งชูอิ่งเป็นผู้มีวิชาอาคมสูงส่ง การเรียกวิญญาณเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากสำหรับนาง”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานและกล่าวว่า “ใช่ที่ไหนกัน
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของจิ่งสือเฟิงพลันมืดมนลงในทันทีหากถามว่าในโลกนี้เขาห่วงใยใครมากที่สุด คำตอบก็คือพระมารดาเขาคิดว่าเขากับพระมารดามีความผูกพันลึกซึ้ง พระมารดาต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งทว่าในตอนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดและเห็นสีหน้าของพระมารดา เขาก็รู้ตัวว่าตนเองคิดผิดก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินคนพูดว่าราชวงศ์ไม่มีเยื่อใยต่อกัน เขายังคิดอยู่เลยว่าไม่ถูกต้อง อย่างน้อยพระมารดาก็รักเขาบัดนี้เขาเพิ่งรู้ว่า ถึงแม้เขาจะเป็นลูกที่พระมารดาให้กำเนิด แต่ในสายตาของพระมารดา อำนาจก็สำคัญกว่าตัวเขามากตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาสามารถสืบทอดราชบัลลังก์ นำมาซึ่งเกียรติยศให้พระมารดา เขาจึงเป็นลูกชายที่ดีของพระมารดาเมื่อเขาตายไปแล้ว ไม่มีทางได้เป็นฮ่องเต้ได้ พระมารดาจึงรังเกียจเขาเมื่อจิ่งสือเฟิงคิดเรื่องนี้ได้ เขาก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาจึงหันหลังกลับไปหลังจากที่พระมารดาตำหนิเขาเสร็จ ก็ไม่สนใจเขาอีก หันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามาที่จวนผู้ว่าราชการเพราะมีเรื่องจะประกาศอีกเรื่องหนึ่ง”เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่านางคงไม่หวังดี จึงพูดเสียงดังว่า “ขอถามหน่อยว่าเมื่อ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช
เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า
ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น
เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”
ถัดมา ม่านหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เผยให้เห็นเงาร่างน่าขนลุก รูปร่างคล้ายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนปู๋เยี่ยโหวเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว “แม่เจ้า!”พูดจบก็กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาอยากจะด่าบรรพบุรุษปู๋เยี่ยโหวสิบแปดชั่วโคตร!พุ่งเข้ามาแบบนี้ ตัวหนักขนาดนี้ เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อายุก็มากแล้ว จะแบกปู๋เยี่ยโหวไหวได้อย่างไร!แล้วทั้งสองคนก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น ปู๋เยี่ยโหวกลายเป็นเบาะรองคนอื่นๆ ก็ตกใจตัวสั่นด้วยความกลัว เบียดเสียดกันเป็นก้อนตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา พระโอรสผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางผู้สุขุมเยือกเย็นในราชสำนัก ต่างก็หดตัวเป็นก้อน อยากจะเบียดเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียวบางคนที่ว่องไวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพระราชวังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาแทบสิ้นสติตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปู๋เยี่ยโหวเลย พอเกิดเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ จะไม่เชื่อก็ยากแล้วเดิมทีฮองเฮายังอยากจะซักถามปู๋เยี่ยโหวสองสามคำ พอเห็นสภาพแบบนี้นางก็พูดอะไรไม่ออกตอนนี้ทุกคนมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นหรือว่าเป็นเพราะองค์ฮ่องเต้เจาหยวนท
สุดท้ายปู๋เยี่ยโหวที่มีชนักติดหลังก็ยังอดแววตาสั่นไหวไม่ได้การกระพริบตาของเขา คนทั่วไปอาจจะไม่เห็นถึงปัญหา แต่คนที่เขากำลังเผชิญอยู่คือท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายตีความได้ทันทีว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของปู๋เยี่ยโหวท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายด่าทออยู่ในใจ “เจ้าตัวสร้างปัญหา ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ยังมาทำลายพระศพให้เป็นแบบนี้ คิดจะโยนความผิดให้คนอื่นรึไง?”“โง่จริงๆ โง่ที่สุด!”ถึงแม้จะด่าทออยู่ในใจอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อยเขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่า หากคนเรามีบาปกรรมมากมาย เมื่อตายไป ร่างกายก็จะถูกทำลาย”“แต่เรื่องนี้ข้าแค่เคยได้ยินมา ไม่เคยเห็นมาก่อน”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามปู๋เยี่ยโหวว่า “เมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรงหรือ?”เมื่อปู๋เยี่ยโหวได้ยินคำถามนี้ ก็รู้ทันทีว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายรู้แล้วว่าสภาพของฮ่องเต้เจาหยวนที่เป็นแบบนี้เป็นฝีมือของเขาเขาลอบถอนหายใจเบาๆ นี่แหละจิ้งจอกเฒ่าตัวจริง ไม่มีอะไรปิดบังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เลย โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ข้างเดียวกับเขาปู๋เยี่ยโหวตอบทันทีว่า “หลังจากที่อ๋องผู้สำเร็จราช
ปู๋เยี่ยโหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม จึงลงมือทุบกระดูกมือและกระดูกขาของฮ่องเต้เจาหยวนจนแหลกละเอียดฮ่องเต้เจาหยวน “……”ฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”ไอ้เจ้าสุนัขปู๋เยี่ยโหวมันกล้าดีอย่างไรมาทำลายศพของเขา! เขาจะฆ่ามัน!พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอย่างฉับพลันแต่เขายังไม่ทันได้กลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ก็ถูกพลังมังกรซัดกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเนื่องจากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป พลังมังกรจึงตัดสินว่าเขาเป็นวิญญาณร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งในการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อันตรายเช่นนี้ พลังมังกรจะแสดงพลังอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยการตรงเข้าไปฉีกวิญญาณของฮ่องเต้เจาหยวนจนแตกเป็นเสี่ยงๆฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”เขายังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้วไม่ว่าเขาจะมีความโกรธหรือความไม่ยินยอมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นพลังมังกรจึงคุ้มครองเขาแต่หลังจากเขาตาย วิญญาณของเขาก็ไม่ต่างจากวิญญาณตนอื่นๆเพราะทันทีที่ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ เขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อวิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณร้าย มันก็จะถูกพลังมังกรโจมตียิ่งไป
ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้