เขาหันไปมองเฟิ่งชูอิ่ง นางกอดอกพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ้นรู้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องทะเลาะส่วนตัวระหว่างสามีภรรยาของพวกเรา”คำพูดนี้ทำให้จิ่งสือเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก แต่ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นประกายแววตาของจิ่งสือเยี่ยนดูอับอาย เขาเบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไปหลังจากเขาจากไป เฟิ่งชูอิ่งก็พูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า “ข้าไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องจิ้นอีก เมื่อครู่ที่ดึงท่านมาเป็นโล่ ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสา”ดวงตาและคิ้วของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร โล่แบบนี้ข้ายินดีที่จะเป็น”เขาได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนมาที่จวนผู้ว่าราชการ เขาจึงเดาได้ทันทีว่าจิ่งสือเยี่ยนมาหาเฟิ่งชูอิ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกังวลมาก เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยนแตกต่างจากคนอื่นระหว่างทางที่เขารีบเดินทางมา เขายังได้คาดเดาและคิดไปต่างๆ นาๆ รู้สึกจิตใจไม่สงบตลอดทางหลังจากเขามาถึง ได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีออกจากจวนผู้ว่าราชการ เขาก็รู้สึกหวั่นไหวหากนางต้องการไปกับจิ่งสือเยี่ยนจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไร?ปล่อยให้นางไป หรือบังคับให้นางอยู่ต
เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าแม้จิตใจของนางจะเข้มแข็งมาก แต่การถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างนางถามว่า “ท่านอ๋องยังมีธุระอันใดอีกหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง กลับถามว่า “ขาของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”หากจะพูดถึงการที่เฟิ่งชูอิ่งถูกขังอยู่ในคุกนั้น ทุกอย่างก็ดีหมด มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่ดีคือข้างในนั้นชื้นแฉะเกินไปบาดแผลที่ขาของนางเพิ่งจะหาย หากอยู่ในคุกนานๆ ก็คงจะรู้สึกไม่สบายตัวบ้างนางจึงกล่าวว่า “ก็พอทนได้”นั่นแปลว่ายังคงเจ็บอยู่จิ่งโม่เยี่ยจึงกล่าวว่า “ให้ข้าดูหน่อย”พูดจบเขาก็เปิดประตูคุกจะเข้ามา เฟิ่งชูอิ่งจึงร้องเรียก “เฉี่ยวหลิง!”เฉี่ยวหลิงรีบมาขวางจิ่งโม่เยี่ยไว้ทันที พร้อมกล่าวว่า “ไม่ให้เจ้ารังแกคุณหนูของข้าหรอก!”นางกลัวรังสีอำนาจของจิ่งโม่เยี่ยมาก นางต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากเสียงจึงไม่สั่นจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้เดินเข้าไปอีก เพียงกล่าวว่า “ข้าไม่ได้รังแกคุณหนูของเจ้า เพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของนาง”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านดูแล้วจะมีประโยชน์อันใด ท่านมิใช่หมอสักหน่อย!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “เฉี่ยวหลิง เชิ
สีหน้าของมหาราชครูดูน่าเกลียดอย่างมากเสนาบดีฝ่ายซ้ายยื่นมือไปตบบ่าของมหาราชครูแล้วพูดว่า “เด็กๆ โตขึ้น ความคิดก็มากขึ้น บางเรื่องที่ทำลงไปก็จะปิดบังคนในครอบครัว”“ข้าเชื่อในนิสัยของมหาราชครู และเชื่อว่ามหาราชครูไม่ใช่คนที่ลำเอียง”“การที่มหาราชครูเสนอให้มีการพิจารณาคดีร่วมกันสามฝ่าย ก็แค่โดนลูกชายตัวเองหลอกเท่านั้น”คำพูดของเขาไม่เพียงแต่ช่วยมหาราชครูหาข้ออ้าง แต่ยังยกย่องมหาราชครูให้อยู่ในที่สูงอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีหนังสือร้องทุกข์ของชาวบ้านหลายร้อยฉบับอยู่ในมือ เมื่อรวมกับหลักฐานความผิดก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับตอกย้ำความผิดของรองผู้ว่าตู้จนปฏิเสธไม่ได้!ยังมีกระแสความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปิดทางถอยหลังทั้งหมดของมหาราชครูมหาราชครูมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ไอ้เด็กเวรนี่ กล้าปิดบังข้าเรื่องแบบนี้ สมควรตายยิ่งนัก!”เมื่อพูดจบ ทุกอย่างก็ถือเป็นที่สิ้นสุดในใจมหาราชครูเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาได้วางแผนไว้อย่างดี แต่ไม่คิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้ามาขัดขวาง ทำให้แผนการทั้งหมดของเขาพังทลายเดิมทีเขาคิดว่าหากจัดการได้เหมาะสม ก็จะสามาร
ตอนที่เขาคิดจะโยนจานกลมนั้นทิ้ง เขากลับพบว่าเข็มบนจานขยับขึ้นมาเองท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงักไปครู่หนึ่ง แล้ววางจานกลมลงบนฝ่ามือ เข็มบนจานกลมชี้ไปในทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัย เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบกำลังขายมันเผาอยู่ริมถนนเด็กหญิงมีหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่เขาจำได้เขามองไปที่เข็ม แล้วมองไปที่เด็กหญิงอีกครั้ง รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปซื้อมันเผา “ขอหัวใหญ่ๆ หนึ่งหัว”เด็กหญิงขานรับ แล้วใช้คีมคีบมันเผาในเตาออกมาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”เด็กหญิงตอบว่า “ตายแล้ว”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเขาจึงถามอีกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”เด็กหญิงมองเขาแล้วถามกลับ “ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เด็กสมัยนี้อารมณ์ร้อนกันแบบนี้หรือ?แต่น้ำเสียงที่พูดกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่มันไม่เกี่ยวกับข้าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่
เด็กหญิงมองเขาขึ้นลงอย่างพิจารณา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขานางเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงพ่อแม่ของข้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ข้าก็อยู่ได้สบายดี เพื่อนบ้านแถวนี้ก็คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี!”ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองนางแล้วพูดว่า “ถึงพวกเขาจะดูแลนาง แต่นางอายุยังน้อย อาจจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่าย”“ข้าเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนัก ชื่อเสียงของข้าเจ้าออกไปถามใครก็ได้ ก็ถือว่าไม่เลว”วันนี้ที่นางเอาหัวมันเทศขว้างมาโดนเขา ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกภรรยาผู้ล่วงลับของเขาก็นิสัยแบบนี้ พอมองจานกลมในมือ เข็มบนจานยังคงชี้ไปที่เด็กหญิง เขาก็เชื่อมากขึ้นว่านางคือคนที่เขากำลังตามหาแต่ตอนนี้ทั้งสองคนอายุห่างกันอย่างน้อยสามสิบปี เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นไม่ว่านางจะเป็นภรรยาที่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ เขาก็อยากให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากเลี้ยงดูนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเด็กหญิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรนางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน นางไม่รู้เรื่องราชสำนักหรอกบุคคลสำคัญอย่างอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอมาก่อน จึงไม่เคยคิดจ
เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “งั้นตอนนี้ท่านมาจ่ายเงินค่าจานหมุนหรือ? หนึ่งพันตำลึง ขอบคุณเจ้าค่ะ!”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เดิมทีเขายังรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่พอนางเปิดปากก็พูดถึงเงินหนึ่งพันตำลึง ทำเอาเขาพูดไม่ออกเขาอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่า “เจ้าเห็นแก่เงินหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ใช่แล้วล่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้องนางแล้วพูดว่า “ในคุกมีที่ให้ใช้เงินด้วยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบอย่างองอาจว่า “ข้าหาเงินในคุกแล้วเอาไปใช้ข้างนอกไม่ได้หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”วันนี้เขาโดนสวนกลับมาหลายครั้ง ความรู้สึกแบบนี้พูดยากจริงๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “อายุขนาดนี้แล้ว เพิ่งเคยเห็นคนติดคุกแล้วยังไม่ลืมหาเงิน”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นท่านก็ยังผ่านโลกมาน้อยไปหน่อย ข้าไม่ถือสาอะไรท่านหรอก”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขารู้สึกจุกอกอีกแล้วเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าไม่กลัวข้าเอาจานหมุนไปแล้วไม่กลับมาอีกหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ พูดว่า “ท่านก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าแค่มีความมั่นใจในความสา
เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…...”เขาชี้นิ้วไปที่นาง พ่นลมหายใจแล้วหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งยิ้ม แต่ไม่ได้เรียกเขาไว้เฉี่ยวหลิงถามว่า “คุณหนู แล้วแบบนี้ถือว่าท่านกับอ๋องผู้สำเร็จราชการหย่าร้างกันแล้วหรือ”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “น่าจะยังไม่ถือว่าหย่า”นางก็ว่าอยู่แล้ว จิ่งโม่เยี่ยจะยอมหย่ากับนางง่ายๆ ได้อย่างไรแต่เจ้าสุนัขนั่นรู้ว่านางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ก็เลยแกล้งทำเป็นตบตาหลอกนางไปเฉี่ยวหลิงถามนางว่า “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ออกจากคุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ถ้านางออกไปได้แล้ว จะทำอะไรได้สะดวกกว่าอยู่ในคุกต่อให้สนุกแค่ไหน พอรู้เรื่องนี้แล้วก็หมดสนุกตามที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายคาดการณ์ไว้ ในคืนนั้นเอง ผู้ว่าราชการก็มาแจ้งนางด้วยตัวเองว่าพรุ่งนี้จะเปิดศาลไต่สวนคดีของนางต่อหน้าธารกำนัล ให้นางเตรียมตัวให้พร้อมผู้ว่าราชการยังเตือนนางเป็นพิเศษว่า “ถึงครั้งนี้ข้าจะเป็นคนไต่สวนคดีนี้ แต่จะมีคนมาฟังการพิจารณาคดีมากมาย”“ไม่ใช่แค่มหาราชครูที่จะมา แต่กระทรวงยุติธรรมทั้งสามน่าจะส่งคนมามาดูด้วย”“ดังนั้นคดีนี้ต้องดำเนินไปตามกระบวนการที่ถูกต้องที่สุด ห้ามให้ใครจับผิดได้แม้แต่นิดเดียว ไ
จิ่งโม่เยี่ยมั่นใจความสามารถของฉินจื๋อเจี้ยนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาพรูลมหายใจออกช้าๆ แล้วกล่าวว่า “มะรืนนี้เป็นวันปีใหม่ ก็ควรจะหยุดว่าราชการได้แล้ว”เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ การจะหยุดว่าราชการเมื่อไหร่นั้น พูดง่ายๆ ก็คือขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาเพียงคำเดียวคำพูดของเขาดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป ฉินจื๋อเจี้ยนไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร “ตามธรรมเนียมปฏิบัติในปีก่อนๆ ส่วนใหญ่ก็หยุดว่าราชการในวันมะรืนนี้”จิ่งโม่เยี่ยสั่งการว่า “ไปแจ้งเรื่องนี้แก่ขุนนางทั้งหกกระทรวง”นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ให้คนไปแจ้งข่าวเท่านั้น ฉินจื๋อเจี้ยนสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วแต่ฉินจื๋อเจี้ยนก็มีความกังวลของเขา “ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าจะพาพระชายาจะกลับจวนอ๋องได้”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังสงสัยความสามารถของข้ารึ?”ฉินจื๋อเจี้ยนส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ ข้าแค่กังวลว่าพระชายาเจ้าท่านจอมยุทธ์เหมย[footnoteRef:1]ช่วยเหลือ อาจจะหนีออกจากเมืองหลวงในตอนกลางคืน” [1: อ้างอิงถึงเหมยตงยวน] จิ่งโม่เยี่ย “......”นี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุดเช่นกันที่สำคัญคือทักษะของเฟิ่งชูอิ่งและเหมยตงยวนต่