เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…...”เขาชี้นิ้วไปที่นาง พ่นลมหายใจแล้วหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งยิ้ม แต่ไม่ได้เรียกเขาไว้เฉี่ยวหลิงถามว่า “คุณหนู แล้วแบบนี้ถือว่าท่านกับอ๋องผู้สำเร็จราชการหย่าร้างกันแล้วหรือ”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “น่าจะยังไม่ถือว่าหย่า”นางก็ว่าอยู่แล้ว จิ่งโม่เยี่ยจะยอมหย่ากับนางง่ายๆ ได้อย่างไรแต่เจ้าสุนัขนั่นรู้ว่านางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ก็เลยแกล้งทำเป็นตบตาหลอกนางไปเฉี่ยวหลิงถามนางว่า “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ออกจากคุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ถ้านางออกไปได้แล้ว จะทำอะไรได้สะดวกกว่าอยู่ในคุกต่อให้สนุกแค่ไหน พอรู้เรื่องนี้แล้วก็หมดสนุกตามที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายคาดการณ์ไว้ ในคืนนั้นเอง ผู้ว่าราชการก็มาแจ้งนางด้วยตัวเองว่าพรุ่งนี้จะเปิดศาลไต่สวนคดีของนางต่อหน้าธารกำนัล ให้นางเตรียมตัวให้พร้อมผู้ว่าราชการยังเตือนนางเป็นพิเศษว่า “ถึงครั้งนี้ข้าจะเป็นคนไต่สวนคดีนี้ แต่จะมีคนมาฟังการพิจารณาคดีมากมาย”“ไม่ใช่แค่มหาราชครูที่จะมา แต่กระทรวงยุติธรรมทั้งสามน่าจะส่งคนมามาดูด้วย”“ดังนั้นคดีนี้ต้องดำเนินไปตามกระบวนการที่ถูกต้องที่สุด ห้ามให้ใครจับผิดได้แม้แต่นิดเดียว ไ
จิ่งโม่เยี่ยมั่นใจความสามารถของฉินจื๋อเจี้ยนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาพรูลมหายใจออกช้าๆ แล้วกล่าวว่า “มะรืนนี้เป็นวันปีใหม่ ก็ควรจะหยุดว่าราชการได้แล้ว”เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ การจะหยุดว่าราชการเมื่อไหร่นั้น พูดง่ายๆ ก็คือขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาเพียงคำเดียวคำพูดของเขาดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป ฉินจื๋อเจี้ยนไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร “ตามธรรมเนียมปฏิบัติในปีก่อนๆ ส่วนใหญ่ก็หยุดว่าราชการในวันมะรืนนี้”จิ่งโม่เยี่ยสั่งการว่า “ไปแจ้งเรื่องนี้แก่ขุนนางทั้งหกกระทรวง”นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ให้คนไปแจ้งข่าวเท่านั้น ฉินจื๋อเจี้ยนสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วแต่ฉินจื๋อเจี้ยนก็มีความกังวลของเขา “ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าจะพาพระชายาจะกลับจวนอ๋องได้”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังสงสัยความสามารถของข้ารึ?”ฉินจื๋อเจี้ยนส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ ข้าแค่กังวลว่าพระชายาเจ้าท่านจอมยุทธ์เหมย[footnoteRef:1]ช่วยเหลือ อาจจะหนีออกจากเมืองหลวงในตอนกลางคืน” [1: อ้างอิงถึงเหมยตงยวน] จิ่งโม่เยี่ย “......”นี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุดเช่นกันที่สำคัญคือทักษะของเฟิ่งชูอิ่งและเหมยตงยวนต่
เมื่อคืนหิมะตกหนักตลอดทั้งคืน แต่วันนี้กลับฟ้าเปิด แสงแดดและแสงสะท้อนจากหิมะสาดส่องเข้าตาจนแสบตาถึงแม้นางจะอยู่ในคุกไม่กี่วัน แต่พอออกมาแล้วก็รู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอีกใบนางคิดว่าการติดคุกก็สนุกดี แต่มันค่อนข้างทำร้ายสุขภาพ คราวหน้าคงไม่ยอมมาติดคุกอีกแล้วเมื่อนางเดินตามเจ้าหน้าที่มาถึงศาลากลางของจวนผู้ว่าราชการ นางก็ตกใจกับบรรยากาศที่แสนคึกคัก สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีชาวบ้านมามุงดูกันเต็มหน้าจวนผู้ว่าราชการชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็ชี้ไม้ชี้มือ พูดนินทานางสารพัดนางยังเห็นหลินหว่านถิงและฮว๋าซื่อ ทั้งสองคนสวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเก่าๆ ใบหน้าซีดเหลือง ดูเปลี่ยนไปจากตอนที่เจอกันครั้งล่าสุดราวกับคนละคนเมื่อนางเห็นพวกเขา พวกเขาก็มองเห็นนางเช่นกันฮว๋าซื่ออยากจะพุ่งเข้ามาหาเฟิ่งชูอิ่ง แต่ถูกหลินหว่านถิงดึงรั้งเอาไว้หลินหว่านถิงมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยสายตาซับซ้อน เพราะเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่มีท่าทีอิดโรยจากการติดคุกเลย กลับดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมาถึงตอนนี้ หลินหว่านถิงยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างนางกับเฟิ่งชูอิ่งทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นของนางสูงกว่า แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเ
เฟิ่งชูอิ่งไม่สนใจฮว๋าซื่อเลย แต่กลับหันไปพูดกับหลินหว่านถิงว่า “ตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง เจ้าต้องการหรือไม่”หลินหว่านถิงหัวเราะเยาะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นพยานว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าพี่ชายข้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ยังไง”เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองไปที่ท้องของหลินหว่านถิง ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเจ้าอยากจะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิด”หลินหว่านถิงทำหน้าถมึงทึง “เจ้าอย่าหวังเลย!”“เจ้าฆ่าพี่ชายข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด!”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างเสียดาย “งั้นหรือ แม้แต่เทพเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”“เจ้าเลือกทางเดินนี้เอง อย่าได้มาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”หลินหว่านถิงเชิดหน้าขึ้น “ข้าไม่มีทางเสียใจหรอก คนที่ควรเสียใจคือเจ้าต่างหาก!”“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว ตำแหน่งของเจ้าก็ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เจ้าคิดหรอก”“เจ้าฆ่าคน เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจเบาๆ “คนโง่มักจะคิดว่าตัวเองฉลาด โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“เดิมทีข้าเห็นแก่ที่เคยอาศัยอยู่ในจวนสกุลหลินมาหลายป
ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรกับนาง อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคนที่อยู่ในห้องนี้ต้องการชีวิตของนางอีกทั้งวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น นางจึงไม่ได้ปฏิเสธและรับเตาอุ่นมือจากเขาท่านมหาราชครูกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง ในเมื่อตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังเป็นนักโทษอยู่”เสียงของจิ่งโม่เยี่ยเรียบเฉย “ในคดีฆาตกรรมหลินอีฉุน ชูอิ่งเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย”“ในเมื่อนางเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด นางก็ยังคงเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ”พระชายาของผู้สำเร็จราชการเป็นตำแหน่งสูงศักดิ์ในระดับหนึ่ง นางมีตำแหน่งสูงกว่าขุนนางส่วนใหญ่ที่อยู่ในโถงใหญ่แห่งนี้ในเมื่อนางยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ด้วยฐานะเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องคำนับขุนนางเหล่านี้ แม้จะถูกไต่สวน นางก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าท่านมหาราชครูกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องตั้งใจจะช่วยนางให้พ้นผิดตั้งแต่แรกเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวอย่างใจเย็น “พ้นผิด? นางต้องมีความผิดก่อนจึงจะต้องช่วยให้พ้นผิด ตอนนี้นางเป็นเพียงผู้ถูกใส่ร้าย นางเป็นเหยื่อ ไม่จำเป็นต้องช่วยให้พ้นผิด”
พวกเจ้าหน้าที่ศาลไต่สวนที่ยืนประจำตำแหน่งสองข้างเคาะกระบองลงพื้น พร้อมกับร้องว่า “เปิดศาล!”บรรยากาศในศาลที่เดิมทีค่อนข้างเฉื่อยชา ตอนนี้ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมากนอกประตูมีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์มากมาย หลังจากเปิดศาล ทุกคนก็ยืนดูอยู่ด้านนอกอู่อิ้งเหวินก็ยืนเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางด้วยความกังวลเฟิ่งชูอิ่งช่วยเขาแก้ต่างในวันนั้น ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีความผิด แต่นางกลับยังติดอยู่ในคุกอู่อิ้งเหวินเคยเห็นวิธีการของคนในจวนมหาราชครูมาก่อน เขาจึงกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะรับมือไม่ไหวแต่เขาเห็นว่าจิ่งโม่เยี่ยคอยปกป้องเฟิ่งชูอิ่งอยู่ จิ่งโม่เยี่ยสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้ายและขึ้นเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการได้ แสดงว่าเขาเป็นคนที่เก่งกาจมากเขาจึงรู้สึกว่าถ้ามีจิ่งโม่เยี่ยอยู่ เฟิ่งชูอิ่งก็น่าจะไม่เป็นไรแต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงนางไม่ได้หลังจากที่ผู้ว่าราชการตรวจสอบชื่อและที่อยู่ของคนที่อยู่ในศาลตามขั้นตอนการพิจารณาคดีตามปกติแล้ว ก็กล่าวว่า “ฮว๋าซื่อ เจ้าฟ้องต่อศาลว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่ฆ่าลูกชายของเจ้า หลินอีฉุน มีหลักฐานหรือไม่”ฮว๋าซื่อก
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา