ตอนที่เขาคิดจะโยนจานกลมนั้นทิ้ง เขากลับพบว่าเข็มบนจานขยับขึ้นมาเองท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงักไปครู่หนึ่ง แล้ววางจานกลมลงบนฝ่ามือ เข็มบนจานกลมชี้ไปในทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัย เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบกำลังขายมันเผาอยู่ริมถนนเด็กหญิงมีหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่เขาจำได้เขามองไปที่เข็ม แล้วมองไปที่เด็กหญิงอีกครั้ง รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปซื้อมันเผา “ขอหัวใหญ่ๆ หนึ่งหัว”เด็กหญิงขานรับ แล้วใช้คีมคีบมันเผาในเตาออกมาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”เด็กหญิงตอบว่า “ตายแล้ว”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเขาจึงถามอีกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”เด็กหญิงมองเขาแล้วถามกลับ “ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เด็กสมัยนี้อารมณ์ร้อนกันแบบนี้หรือ?แต่น้ำเสียงที่พูดกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่มันไม่เกี่ยวกับข้าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่
เด็กหญิงมองเขาขึ้นลงอย่างพิจารณา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขานางเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงพ่อแม่ของข้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ข้าก็อยู่ได้สบายดี เพื่อนบ้านแถวนี้ก็คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี!”ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองนางแล้วพูดว่า “ถึงพวกเขาจะดูแลนาง แต่นางอายุยังน้อย อาจจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่าย”“ข้าเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนัก ชื่อเสียงของข้าเจ้าออกไปถามใครก็ได้ ก็ถือว่าไม่เลว”วันนี้ที่นางเอาหัวมันเทศขว้างมาโดนเขา ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกภรรยาผู้ล่วงลับของเขาก็นิสัยแบบนี้ พอมองจานกลมในมือ เข็มบนจานยังคงชี้ไปที่เด็กหญิง เขาก็เชื่อมากขึ้นว่านางคือคนที่เขากำลังตามหาแต่ตอนนี้ทั้งสองคนอายุห่างกันอย่างน้อยสามสิบปี เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นไม่ว่านางจะเป็นภรรยาที่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ เขาก็อยากให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากเลี้ยงดูนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเด็กหญิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรนางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน นางไม่รู้เรื่องราชสำนักหรอกบุคคลสำคัญอย่างอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอมาก่อน จึงไม่เคยคิดจ
เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “งั้นตอนนี้ท่านมาจ่ายเงินค่าจานหมุนหรือ? หนึ่งพันตำลึง ขอบคุณเจ้าค่ะ!”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เดิมทีเขายังรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่พอนางเปิดปากก็พูดถึงเงินหนึ่งพันตำลึง ทำเอาเขาพูดไม่ออกเขาอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่า “เจ้าเห็นแก่เงินหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ใช่แล้วล่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้องนางแล้วพูดว่า “ในคุกมีที่ให้ใช้เงินด้วยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบอย่างองอาจว่า “ข้าหาเงินในคุกแล้วเอาไปใช้ข้างนอกไม่ได้หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”วันนี้เขาโดนสวนกลับมาหลายครั้ง ความรู้สึกแบบนี้พูดยากจริงๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “อายุขนาดนี้แล้ว เพิ่งเคยเห็นคนติดคุกแล้วยังไม่ลืมหาเงิน”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นท่านก็ยังผ่านโลกมาน้อยไปหน่อย ข้าไม่ถือสาอะไรท่านหรอก”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขารู้สึกจุกอกอีกแล้วเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าไม่กลัวข้าเอาจานหมุนไปแล้วไม่กลับมาอีกหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ พูดว่า “ท่านก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าแค่มีความมั่นใจในความสา
เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…...”เขาชี้นิ้วไปที่นาง พ่นลมหายใจแล้วหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งยิ้ม แต่ไม่ได้เรียกเขาไว้เฉี่ยวหลิงถามว่า “คุณหนู แล้วแบบนี้ถือว่าท่านกับอ๋องผู้สำเร็จราชการหย่าร้างกันแล้วหรือ”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “น่าจะยังไม่ถือว่าหย่า”นางก็ว่าอยู่แล้ว จิ่งโม่เยี่ยจะยอมหย่ากับนางง่ายๆ ได้อย่างไรแต่เจ้าสุนัขนั่นรู้ว่านางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ ก็เลยแกล้งทำเป็นตบตาหลอกนางไปเฉี่ยวหลิงถามนางว่า “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ออกจากคุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ถ้านางออกไปได้แล้ว จะทำอะไรได้สะดวกกว่าอยู่ในคุกต่อให้สนุกแค่ไหน พอรู้เรื่องนี้แล้วก็หมดสนุกตามที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายคาดการณ์ไว้ ในคืนนั้นเอง ผู้ว่าราชการก็มาแจ้งนางด้วยตัวเองว่าพรุ่งนี้จะเปิดศาลไต่สวนคดีของนางต่อหน้าธารกำนัล ให้นางเตรียมตัวให้พร้อมผู้ว่าราชการยังเตือนนางเป็นพิเศษว่า “ถึงครั้งนี้ข้าจะเป็นคนไต่สวนคดีนี้ แต่จะมีคนมาฟังการพิจารณาคดีมากมาย”“ไม่ใช่แค่มหาราชครูที่จะมา แต่กระทรวงยุติธรรมทั้งสามน่าจะส่งคนมามาดูด้วย”“ดังนั้นคดีนี้ต้องดำเนินไปตามกระบวนการที่ถูกต้องที่สุด ห้ามให้ใครจับผิดได้แม้แต่นิดเดียว ไ
จิ่งโม่เยี่ยมั่นใจความสามารถของฉินจื๋อเจี้ยนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาพรูลมหายใจออกช้าๆ แล้วกล่าวว่า “มะรืนนี้เป็นวันปีใหม่ ก็ควรจะหยุดว่าราชการได้แล้ว”เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ การจะหยุดว่าราชการเมื่อไหร่นั้น พูดง่ายๆ ก็คือขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาเพียงคำเดียวคำพูดของเขาดูเหมือนไม่มีที่มาที่ไป ฉินจื๋อเจี้ยนไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร “ตามธรรมเนียมปฏิบัติในปีก่อนๆ ส่วนใหญ่ก็หยุดว่าราชการในวันมะรืนนี้”จิ่งโม่เยี่ยสั่งการว่า “ไปแจ้งเรื่องนี้แก่ขุนนางทั้งหกกระทรวง”นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ให้คนไปแจ้งข่าวเท่านั้น ฉินจื๋อเจี้ยนสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วแต่ฉินจื๋อเจี้ยนก็มีความกังวลของเขา “ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าจะพาพระชายาจะกลับจวนอ๋องได้”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังสงสัยความสามารถของข้ารึ?”ฉินจื๋อเจี้ยนส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ ข้าแค่กังวลว่าพระชายาเจ้าท่านจอมยุทธ์เหมย[footnoteRef:1]ช่วยเหลือ อาจจะหนีออกจากเมืองหลวงในตอนกลางคืน” [1: อ้างอิงถึงเหมยตงยวน] จิ่งโม่เยี่ย “......”นี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุดเช่นกันที่สำคัญคือทักษะของเฟิ่งชูอิ่งและเหมยตงยวนต่
เมื่อคืนหิมะตกหนักตลอดทั้งคืน แต่วันนี้กลับฟ้าเปิด แสงแดดและแสงสะท้อนจากหิมะสาดส่องเข้าตาจนแสบตาถึงแม้นางจะอยู่ในคุกไม่กี่วัน แต่พอออกมาแล้วก็รู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอีกใบนางคิดว่าการติดคุกก็สนุกดี แต่มันค่อนข้างทำร้ายสุขภาพ คราวหน้าคงไม่ยอมมาติดคุกอีกแล้วเมื่อนางเดินตามเจ้าหน้าที่มาถึงศาลากลางของจวนผู้ว่าราชการ นางก็ตกใจกับบรรยากาศที่แสนคึกคัก สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีชาวบ้านมามุงดูกันเต็มหน้าจวนผู้ว่าราชการชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็ชี้ไม้ชี้มือ พูดนินทานางสารพัดนางยังเห็นหลินหว่านถิงและฮว๋าซื่อ ทั้งสองคนสวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าฝ้ายเก่าๆ ใบหน้าซีดเหลือง ดูเปลี่ยนไปจากตอนที่เจอกันครั้งล่าสุดราวกับคนละคนเมื่อนางเห็นพวกเขา พวกเขาก็มองเห็นนางเช่นกันฮว๋าซื่ออยากจะพุ่งเข้ามาหาเฟิ่งชูอิ่ง แต่ถูกหลินหว่านถิงดึงรั้งเอาไว้หลินหว่านถิงมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยสายตาซับซ้อน เพราะเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่มีท่าทีอิดโรยจากการติดคุกเลย กลับดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมาถึงตอนนี้ หลินหว่านถิงยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างนางกับเฟิ่งชูอิ่งทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นของนางสูงกว่า แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเ
เฟิ่งชูอิ่งไม่สนใจฮว๋าซื่อเลย แต่กลับหันไปพูดกับหลินหว่านถิงว่า “ตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง เจ้าต้องการหรือไม่”หลินหว่านถิงหัวเราะเยาะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นพยานว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าพี่ชายข้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ยังไง”เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองไปที่ท้องของหลินหว่านถิง ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเจ้าอยากจะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิด”หลินหว่านถิงทำหน้าถมึงทึง “เจ้าอย่าหวังเลย!”“เจ้าฆ่าพี่ชายข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด!”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างเสียดาย “งั้นหรือ แม้แต่เทพเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”“เจ้าเลือกทางเดินนี้เอง อย่าได้มาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”หลินหว่านถิงเชิดหน้าขึ้น “ข้าไม่มีทางเสียใจหรอก คนที่ควรเสียใจคือเจ้าต่างหาก!”“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว ตำแหน่งของเจ้าก็ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เจ้าคิดหรอก”“เจ้าฆ่าคน เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจเบาๆ “คนโง่มักจะคิดว่าตัวเองฉลาด โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“เดิมทีข้าเห็นแก่ที่เคยอาศัยอยู่ในจวนสกุลหลินมาหลายป
ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรกับนาง อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคนที่อยู่ในห้องนี้ต้องการชีวิตของนางอีกทั้งวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น นางจึงไม่ได้ปฏิเสธและรับเตาอุ่นมือจากเขาท่านมหาราชครูกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง ในเมื่อตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังเป็นนักโทษอยู่”เสียงของจิ่งโม่เยี่ยเรียบเฉย “ในคดีฆาตกรรมหลินอีฉุน ชูอิ่งเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย”“ในเมื่อนางเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด นางก็ยังคงเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ”พระชายาของผู้สำเร็จราชการเป็นตำแหน่งสูงศักดิ์ในระดับหนึ่ง นางมีตำแหน่งสูงกว่าขุนนางส่วนใหญ่ที่อยู่ในโถงใหญ่แห่งนี้ในเมื่อนางยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ด้วยฐานะเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องคำนับขุนนางเหล่านี้ แม้จะถูกไต่สวน นางก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าท่านมหาราชครูกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านอ๋องตั้งใจจะช่วยนางให้พ้นผิดตั้งแต่แรกเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวอย่างใจเย็น “พ้นผิด? นางต้องมีความผิดก่อนจึงจะต้องช่วยให้พ้นผิด ตอนนี้นางเป็นเพียงผู้ถูกใส่ร้าย นางเป็นเหยื่อ ไม่จำเป็นต้องช่วยให้พ้นผิด”