ภาพจำของหลินอีฉุนที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่งยังคงเป็นภาพลักษณ์ของคนขี้ขลาดและหวาดกลัวการมีเรื่อง แม้ว่าต่อมานางจะแสดงความเข้มแข็งออกมา เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนภาพจำที่มีอยู่เดิมได้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จวนสกุลหลินถือได้ว่าตกต่ำอย่างมาก ตัวเขาเองซึ่งเคยเป็นคุณชายใหญ่ของจวนรองเจ้ากรมคลัง สถานะก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วหลินชูเจิ้งถูกจิ่งโม่เยี่ยลดตำแหน่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสองเดือนก่อน ผู้บังคับบัญชาของเขาก็หาข้ออ้างจับเขาเข้าคุกโดยตรงคดีนี้ถูกตรวจสอบโดยกรมราชทัณฑ์และได้ตัดสินความผิดแล้ว จวนสกุลหลินจึงถูกยึดทรัพย์หลินอีฉุนซึ่งเคยเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นลูกของขุนนางผู้มีความผิดในชั่วพริบตาตอนที่หลินชูเจิ้งเป็นรองเจ้ากรมการคลัง แม้ว่าในเมืองหลวงจะมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเขาบ้าง แต่ทุกคนก็ยังให้เกียรติเขา ไม่ได้แพร่ข่าวลือรุนแรงนักหลังจากที่เขาถูกลดตำแหน่ง ข่าวลือเหล่านั้นก็ไม่แพร่สะพัดโดยไม่มีอะไรมาขัดขวางในชั่วพริบตา เรื่องราวเกี่ยวกับฮว๋าซื่อซึ่งแอบลักลอบมีชู้กลางถนน การทารุณกรรมและกักขังเฟิ่งชูอิ่ง รวมถึงเรื่องที่หลินอีฉุนถูกสุนัขข่มขืนก็แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษาที่หลินอีฉุนเคยเรียนอ
เฟิ่งชูอิ่งกรอกตามองบนคราหนึ่งก่อนจะเมินเฉยต่ออีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง หันหน้าเดินจากไปอีกทางทันทีทว่าตอนที่พวกนางเตรียมจะเดินไปอีกทางนั้น กลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนหลบอยู่ตรงมุมของโรงน้ำชาที่ห่างออกไปเล็กน้อย กำลังจ้องมองพวกนางด้วยสายตาแฝงความนัยเฉี่ยวหลิงก็คิดว่าการพบเจอหลินอีฉุนเป็นความโชคร้ายเช่นกัน “เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้ามาตีสนิทกับคุณหนู!”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถาม “ทำไมเขาถึงกลายเป็นสภาพนั้นไปได้ล่ะ?”ระหว่างที่นางกำลังป่วยอยู่ ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงเลยนางได้ยินเรื่องของจวนสกุลหลินครั้งล่าสุดก็ตอนที่เหมยตงยวนมาเล่าให้ฟังว่า ‘หลินชูเจิ้งถูกปลดจากตำแหน่งขุนนาง’หลังจากเฟิ่งชูอิ่งทวงคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกจวนสกุลหลินหยิบฉวยไป และสั่งสอนคนจวนสกุลหลินทั้งหมดแล้ว นางก็ไม่เคยสนใจเรื่องของจวนสกุลหลินอีกเลยครอบครัวนั้นน่าขยะแขยงมากเกินไป ก่อนหน้านี้นางยังถูกผลกระทบจากวิชาต้องห้ามจนเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา แล้วขาที่หักก็เจ็บมากด้วย ทำให้หลงลืมเรื่องของจวนสกุลหลินจนหมดสิ้นนางก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าการออกมาเดินเที่ยวเล่นครั้งนี้ แล้วยังจงใจหนีห่างจากเม
เฟิ่งชูอิ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องของจวนสกุลหลินสักเท่าไหร่ ตอนนี้นางไม่คิดจะซ้ำเติมพวกเขา และก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนางและเฉี่ยวหลิงเดินเที่ยวตลาดรอบหนึ่ง ซื้อของที่น่าสนใจบางอย่างแล้วเตรียมจะกลับจวนตากอากาศแต่ระหว่างทางกลับไปยังจวนตากอากาศ พวกนางกลับถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่ของทางการขวางทางไว้ "หยุดนะ!"เฉี่ยวหลิงถามอย่างหวาดระแวง "พวกเจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไร?"ผู้นำของเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นกล่าวเสียงเข้ม "พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าราชการ หลินอีฉุนตายแล้ว เชิญพวกเจ้ากลับไปกับพวกเราเพื่อให้ปากคำในการสอบสวนด้วย"แม้ว่าหลินอีฉุนจะสอบตกในการสอบฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ แต่เขาก็เคยสอบผ่านการสอบระดับท้องถิ่นมาแล้ว มีตำแหน่งเป็นผู้สอบผ่านอย่างเป็นทางการการสอบฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้เป็นการสอบพิเศษที่ราชสำนักจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกคนมีความสามารถ มันจึงค่อนข้างพิเศษเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกประหลาดใจ "หลินอีฉุนตายแล้วหรือ?"เจ้าหน้าที่ตอบว่า "ถูกต้อง วันนี้เจ้าเองก็ลงมือทำร้ายร่างกายหลินอีฉุนด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เขาตายแล้ว พวกเราจึงสงสัยว่าการตายของเขาอาจเกี่ยวข้องกับเจ้า"ดวงตาของเฟิ่งชูอิ่
บรรดากลุ่มคนที่ช่วยกันทำร้ายร่างกายหลินอีฉุน เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งถูกจับมาด้วย พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเหิมเกริมเหมือนตอนที่ทำร้ายหลินอีฉุนอีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาต่างนั่งตัวคุดคู้อยู่ตามมุมห้องตอนที่พวกเขาเห็นเฟิ่งชูอิ่งเดินเข้ามาก็พากันเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิมเฟิ่งชูอิ่งและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกพาตัวมาไว้ในห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่คือห้องสอบสวนของจวนว่าราชการประจำเมืองหลวงเฟิ่งชูอิ่งเคยมาที่นี่อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นสถานะของนางแตกต่างออกไปคดีทะเลาะวิวาทแบบนี้ จะไม่ได้รับการพิจารณาโดยตรงจากผู้ว่าราชการประจำเมืองหลวง แต่จะมีเจ้าหน้าที่ระดับรองมาสอบสวนไล่ไปทีละคนขณะที่พวกเขากำลังสอบสวนอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็เข้ามาเพื่อตรวจศพของหลินอีฉุนเมื่อเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเปิดผ้าขาวที่คลุมร่างของหลินอีฉุนออก เฟิ่งชูอิ่งก็รู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะจมูกของหลินอีฉุนยุบลงไปจนแทบจะแบนราบ และดูเหมือนกะโหลกศีรษะจะแตกละเอียดด้วยเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพหลังจากตรวจสอบร่างของหลินอีฉุนเสร็จแล้วก็รายงานต่อเจ้าหน้าที่สืบสวนว่า "แม้ศพจะ
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วบอกให้เฉี่ยวหลิงพยุงนางเดิน ก่อนจะพากันเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังคุกอย่างสง่างามและเยือกเย็นเจ้าหน้าที่เห็นท่าทางของนางแล้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ลักษณะท่าทางของนางไม่เหมือนคนที่มาเพื่อติดคุก กลับดูเหมือนเจ้าหน้าที่มาเดินตรวจตรามากกว่าถ้ารองหัวหน้าศาลต้าหลี่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาคงจะบอกว่าท่าทางของเฟิ่งชูอิ่งนั้นเหมือนกับปู๋เยี่ยโหวทุกประการ คนแบบนี้ไม่ควรไปยุ่งด้วยหรอกแต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ถึงตัวตนของเฟิ่งชูอิ่ง และไม่รู้ถึงวีรกรรมของนางพูดง่ายๆ คือวันนี้เขาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเขาทำงานค่อนข้างรอบคอบ เมื่อรู้สึกว่าบุคลิกของเฟิ่งชูอิ่งไม่เหมือนคนทั่วไป เขาก็ส่งคนไปสอบถามว่านางเป็นใครพอสอบถามจนได้คำตอบแล้วก็ทำให้เขาขนลุกซู่ คนอื่นบอกเขาว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินอีฉุน หรือก็คือพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกือบจะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้นแม้เขาจะไม่รู้จักเฟิ่งชูอิ่ง แต่เขารู้จักหญิงสาวที่แต่งงานกับอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตน แล้
แต่จิ่งโม่เยี่ยก็รู้ดีว่า พวกคนจากจวนผู้ว่าราชการคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่ เขากลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ทรมานในคุกดังนั้นหากว่ากันตามหลักเหตุผลจริงๆ แล้ว เขาไม่อาจเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้ฉินจื๋อเจี้ยนพูดด้วยความกังวลว่า "ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้สร้างความประทับใจต่อหน้าพระชายา""แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีท่านอ๋องโดยตรง หากท่านอ๋องเข้าไปยุ่ง อาจจะเป็นการจุดไฟเผาตัวเองได้"ดวงตารูปดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย "เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ไฟนั้นก็จะไม่ลามมาถึงตัวข้าหรือ?""พวกเขารอโอกาสมาตลอด โอกาสที่จะกำจัดข้าให้สิ้นซาก""คราวนี้เรื่องของชูอิ่งก็คือโอกาสที่พวกเขารออยู่"ฉินจื๋อเจี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จิ่งโม่เยี่ยยิ้มมุมปาก "ในสายตาของพวกเขา ชูอิ่งยังคงเป็นพระชายาของข้า"“ในเมื่อพวกเขาพยายามจะลากข้าลงโคลนตมให้ได้ ระหว่างถูกกระทำกับเป็นฝ่ายทำเอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะขอก้าวลงไปในบ่อโคลนเอง”"เตรียมรถม้า ข้าจะไปดูชูอิ่งที่จวนผู้ว่าราชการ"ฉินจื๋อเจี้ยนเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาทันที จึงไปเตรียมรถม้าให้ด้วยตัวเองเฟิ่งชูอิ่งถูกจัดให้อยู่ในคุกที่สกป
เฉี่ยวหลิงตอบรับสั้นๆ "ได้"เมื่อชายคนนั้นวิ่งเข้ามา เฉี่ยวหลิงก็คว้ามือเขาไว้แล้วดึงแขนเขาทุ่มลงพื้นอย่างแรงหลังจากทุ่มเสร็จ นางรู้สึกว่าท่านี้แรงเกินไปนิด อาจทำให้คนตายได้ จึงดึงขึ้นมาแล้วทุ่มไปอีกด้านหนึ่งครั้งนี้นางลดแรงลงเล็กน้อย แม้จะทุ่มลงเสียงดังโครมครามแต่ก็ไม่ถึงกับหักกระดูกหรือทำลายอวัยวะภายใน แค่ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บบาดแผลแบบนี้ไม่ถึงตาย แต่ทำให้ เกิดความเจ็บปวดและดูน่ากลัวมากชายคนนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่คุกที่ปกติมียามลาดตระเวนอยู่ตลอด ตอนนี้กลับไม่เห็นยามสักคนในคุกของจวนผู้ว่าราชการมีนักโทษหลากหลายประเภท ช่วงใกล้ปีใหม่จับโจรขโมยมาได้ไม่น้อย ข้างในจึงแน่นขนาดไปด้วยนักโทษคนของจวนผู้ว่าราชการต้องการทำลายเฟิ่งชูอิ่งให้ราบคาบ จึงขังนางไว้คุกตรงกลางที่มีคนมากที่สุดพวกเขายังจงใจเลือกเวลาเปลี่ยนเวรยามมาขังนาง เพื่อสร้างช่วงเวลาที่ไม่มีคนลาดตระเวน ปล่อยให้นักโทษพวกนั้นรังแกนางโดยปกติแล้วนักโทษในจวนผู้ว่าราชการไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง แต่ห้องขังที่เฟิ่งชูอิ่งถูกขังอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นคนชั่วร้ายทั้งนั้นในนั้นมีทั้งมหาโจร ฆาตกรต่อเนื่อง พวกข่มขืนล้วงละเมิด
เรื่องที่เฉี่ยวหลิงทำร้ายคนนั้นพวกเขาพอจะเข้าใจได้ ถือว่าอยู่ในขอบเขตปกติแต่ยันต์าสายฟ้าของเฟิ่งชูอิ่งนั้นเกินความเข้าใจของพวกเขา ในสายตาของพวกเขา นางช่างลึกลับเหลือคณานับ และยากที่จะรับมือมากเฟิ่งชูอิ่งยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อย "ถ้าพวกเขาไม่อยากเล่นกับข้า ก็มาช่วยกันทำความสะอาดที่นี่หน่อยสิ ที่นี่สกปรกมากจริงๆ!"พอนางพูดจบ เฉี่ยวหลิงก็ชี้ไปที่นักโทษคนหนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้ามาเก็บหญ้าพวกนี้ให้หมด"นักโทษคนนั้นแน่นอนว่าไม่ยอมฟังนางง่ายๆ ก่อนจะโดนนางซ้อมจนยอมทำงานอย่างว่าง่ายเฉี่ยวหลิงชี้ไปที่นักโทษอีกคนแล้วพูดว่า "เจ้าไปเช็ดพื้นให้สะอาด"นักโทษคนนั้นไม่กล้าขัดขืน แค่พูดว่า "แต่ที่นี่ไม่มีน้ำ"เฟิ่งชูอิ่งพูดเสียงเรียบ "เรื่องง่ายๆ"นางพูดจบก็หยิบยันต์น้ำออกมา แล้วลากถังใบหนึ่งมาจากข้างๆเมื่อนางเรียกใช้ยันต์น้ำ ในถังก็มีน้ำเต็มถังในทันทีนักโทษทุกคนที่เห็นภาพนี้ “!!!!!!!”นี่มันเก่งกว่าคนเล่นกลบนสะพานลอยตั้งเยอะ!หลังจากที่เฟิ่งชูอิ่งแสดงฝีมือแบบนี้หลายครั้ง ประกอบกับมีเฉี่ยวหลิงอยู่ด้วย ทำให้พวกนักโทษยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าขัดขืนพอยามกลับมาเดินตรวจตรา พวกนักโทษก็ท