เฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงร่วมกันเขียนรายการสิ่งของที่ต้องใช้ในช่วงปีใหม่สถานที่แรกที่พวกนางนึกถึงสำหรับการจับจ่ายซื้อของคือตลาดในเมืองหลวง แต่ยังมีตลาดในเมืองเล็กๆ นอกเมืองหลวงด้วยเฟิ่งชูอิ่งไม่ค่อยชอบเมืองหลวงเท่าไหร่ เพราะถ้าเจอกับคนในราชวงศ์ก็อาจจะเกิดปัญหาและส่งผลต่ออารมณ์ในการเดินเที่ยวเล่นได้หลังจากปรึกษากับเฉี่ยวหลิง พวกนางตัดสินใจไปเที่ยวตลาดในเมืองเล็กๆ แทนเนื่องจากใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ชาวบ้านแถวนั้นต่างมาที่ตลาดเพื่อซื้อของที่จำเป็นสำหรับงานเทศกาลตลาดไม่ถึงกับแน่นขนัด แต่ก็ค่อนข้างคึกคักเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ออกจากบ้านมานานแล้ว เมื่อเห็นคนมากมายแบบนี้ นางยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยแต่เฉี่ยวหลิงกลับตื่นเต้นมาก "คุณหนู คนเยอะมากเลย แถมยังมีของอร่อยๆ หลากหลายด้วย"ตลาดในเมืองเล็กๆ ไม่สามารถเทียบกับตลาดในเมืองหลวงได้ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของชาวบ้านทั่วไปสินค้าไม่หลากหลายมากนัก แต่บรรยากาศคึกคักและเป็นกันเองเฟิ่งชูอิ่งพาเฉี่ยวหลิงเดินฝ่าฝูงชน ไม่นานก็มีเหงื่อซึมที่หน้าผากการเดินเที่ยวตลาดนี้คึกคักดี แต่ประสบการณ์ยังไม่ค่อยดีนักไม่นานทั้งสองก็เบื่อการเดินเที่ย
ภาพจำของหลินอีฉุนที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่งยังคงเป็นภาพลักษณ์ของคนขี้ขลาดและหวาดกลัวการมีเรื่อง แม้ว่าต่อมานางจะแสดงความเข้มแข็งออกมา เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนภาพจำที่มีอยู่เดิมได้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จวนสกุลหลินถือได้ว่าตกต่ำอย่างมาก ตัวเขาเองซึ่งเคยเป็นคุณชายใหญ่ของจวนรองเจ้ากรมคลัง สถานะก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วหลินชูเจิ้งถูกจิ่งโม่เยี่ยลดตำแหน่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสองเดือนก่อน ผู้บังคับบัญชาของเขาก็หาข้ออ้างจับเขาเข้าคุกโดยตรงคดีนี้ถูกตรวจสอบโดยกรมราชทัณฑ์และได้ตัดสินความผิดแล้ว จวนสกุลหลินจึงถูกยึดทรัพย์หลินอีฉุนซึ่งเคยเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นลูกของขุนนางผู้มีความผิดในชั่วพริบตาตอนที่หลินชูเจิ้งเป็นรองเจ้ากรมการคลัง แม้ว่าในเมืองหลวงจะมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเขาบ้าง แต่ทุกคนก็ยังให้เกียรติเขา ไม่ได้แพร่ข่าวลือรุนแรงนักหลังจากที่เขาถูกลดตำแหน่ง ข่าวลือเหล่านั้นก็ไม่แพร่สะพัดโดยไม่มีอะไรมาขัดขวางในชั่วพริบตา เรื่องราวเกี่ยวกับฮว๋าซื่อซึ่งแอบลักลอบมีชู้กลางถนน การทารุณกรรมและกักขังเฟิ่งชูอิ่ง รวมถึงเรื่องที่หลินอีฉุนถูกสุนัขข่มขืนก็แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษาที่หลินอีฉุนเคยเรียนอ
เฟิ่งชูอิ่งกรอกตามองบนคราหนึ่งก่อนจะเมินเฉยต่ออีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง หันหน้าเดินจากไปอีกทางทันทีทว่าตอนที่พวกนางเตรียมจะเดินไปอีกทางนั้น กลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนหลบอยู่ตรงมุมของโรงน้ำชาที่ห่างออกไปเล็กน้อย กำลังจ้องมองพวกนางด้วยสายตาแฝงความนัยเฉี่ยวหลิงก็คิดว่าการพบเจอหลินอีฉุนเป็นความโชคร้ายเช่นกัน “เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้ามาตีสนิทกับคุณหนู!”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถาม “ทำไมเขาถึงกลายเป็นสภาพนั้นไปได้ล่ะ?”ระหว่างที่นางกำลังป่วยอยู่ ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงเลยนางได้ยินเรื่องของจวนสกุลหลินครั้งล่าสุดก็ตอนที่เหมยตงยวนมาเล่าให้ฟังว่า ‘หลินชูเจิ้งถูกปลดจากตำแหน่งขุนนาง’หลังจากเฟิ่งชูอิ่งทวงคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกจวนสกุลหลินหยิบฉวยไป และสั่งสอนคนจวนสกุลหลินทั้งหมดแล้ว นางก็ไม่เคยสนใจเรื่องของจวนสกุลหลินอีกเลยครอบครัวนั้นน่าขยะแขยงมากเกินไป ก่อนหน้านี้นางยังถูกผลกระทบจากวิชาต้องห้ามจนเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา แล้วขาที่หักก็เจ็บมากด้วย ทำให้หลงลืมเรื่องของจวนสกุลหลินจนหมดสิ้นนางก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าการออกมาเดินเที่ยวเล่นครั้งนี้ แล้วยังจงใจหนีห่างจากเม
เฟิ่งชูอิ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องของจวนสกุลหลินสักเท่าไหร่ ตอนนี้นางไม่คิดจะซ้ำเติมพวกเขา และก็ไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนางและเฉี่ยวหลิงเดินเที่ยวตลาดรอบหนึ่ง ซื้อของที่น่าสนใจบางอย่างแล้วเตรียมจะกลับจวนตากอากาศแต่ระหว่างทางกลับไปยังจวนตากอากาศ พวกนางกลับถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่ของทางการขวางทางไว้ "หยุดนะ!"เฉี่ยวหลิงถามอย่างหวาดระแวง "พวกเจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไร?"ผู้นำของเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นกล่าวเสียงเข้ม "พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่จากจวนผู้ว่าราชการ หลินอีฉุนตายแล้ว เชิญพวกเจ้ากลับไปกับพวกเราเพื่อให้ปากคำในการสอบสวนด้วย"แม้ว่าหลินอีฉุนจะสอบตกในการสอบฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ แต่เขาก็เคยสอบผ่านการสอบระดับท้องถิ่นมาแล้ว มีตำแหน่งเป็นผู้สอบผ่านอย่างเป็นทางการการสอบฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้เป็นการสอบพิเศษที่ราชสำนักจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกคนมีความสามารถ มันจึงค่อนข้างพิเศษเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกประหลาดใจ "หลินอีฉุนตายแล้วหรือ?"เจ้าหน้าที่ตอบว่า "ถูกต้อง วันนี้เจ้าเองก็ลงมือทำร้ายร่างกายหลินอีฉุนด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เขาตายแล้ว พวกเราจึงสงสัยว่าการตายของเขาอาจเกี่ยวข้องกับเจ้า"ดวงตาของเฟิ่งชูอิ่
บรรดากลุ่มคนที่ช่วยกันทำร้ายร่างกายหลินอีฉุน เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งถูกจับมาด้วย พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเหิมเกริมเหมือนตอนที่ทำร้ายหลินอีฉุนอีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาต่างนั่งตัวคุดคู้อยู่ตามมุมห้องตอนที่พวกเขาเห็นเฟิ่งชูอิ่งเดินเข้ามาก็พากันเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิมเฟิ่งชูอิ่งและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกพาตัวมาไว้ในห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่คือห้องสอบสวนของจวนว่าราชการประจำเมืองหลวงเฟิ่งชูอิ่งเคยมาที่นี่อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นสถานะของนางแตกต่างออกไปคดีทะเลาะวิวาทแบบนี้ จะไม่ได้รับการพิจารณาโดยตรงจากผู้ว่าราชการประจำเมืองหลวง แต่จะมีเจ้าหน้าที่ระดับรองมาสอบสวนไล่ไปทีละคนขณะที่พวกเขากำลังสอบสวนอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็เข้ามาเพื่อตรวจศพของหลินอีฉุนเมื่อเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเปิดผ้าขาวที่คลุมร่างของหลินอีฉุนออก เฟิ่งชูอิ่งก็รู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะจมูกของหลินอีฉุนยุบลงไปจนแทบจะแบนราบ และดูเหมือนกะโหลกศีรษะจะแตกละเอียดด้วยเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพหลังจากตรวจสอบร่างของหลินอีฉุนเสร็จแล้วก็รายงานต่อเจ้าหน้าที่สืบสวนว่า "แม้ศพจะ
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วบอกให้เฉี่ยวหลิงพยุงนางเดิน ก่อนจะพากันเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังคุกอย่างสง่างามและเยือกเย็นเจ้าหน้าที่เห็นท่าทางของนางแล้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ลักษณะท่าทางของนางไม่เหมือนคนที่มาเพื่อติดคุก กลับดูเหมือนเจ้าหน้าที่มาเดินตรวจตรามากกว่าถ้ารองหัวหน้าศาลต้าหลี่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาคงจะบอกว่าท่าทางของเฟิ่งชูอิ่งนั้นเหมือนกับปู๋เยี่ยโหวทุกประการ คนแบบนี้ไม่ควรไปยุ่งด้วยหรอกแต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ถึงตัวตนของเฟิ่งชูอิ่ง และไม่รู้ถึงวีรกรรมของนางพูดง่ายๆ คือวันนี้เขาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเขาทำงานค่อนข้างรอบคอบ เมื่อรู้สึกว่าบุคลิกของเฟิ่งชูอิ่งไม่เหมือนคนทั่วไป เขาก็ส่งคนไปสอบถามว่านางเป็นใครพอสอบถามจนได้คำตอบแล้วก็ทำให้เขาขนลุกซู่ คนอื่นบอกเขาว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินอีฉุน หรือก็คือพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกือบจะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้นแม้เขาจะไม่รู้จักเฟิ่งชูอิ่ง แต่เขารู้จักหญิงสาวที่แต่งงานกับอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตน แล้
แต่จิ่งโม่เยี่ยก็รู้ดีว่า พวกคนจากจวนผู้ว่าราชการคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่ เขากลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ทรมานในคุกดังนั้นหากว่ากันตามหลักเหตุผลจริงๆ แล้ว เขาไม่อาจเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้ฉินจื๋อเจี้ยนพูดด้วยความกังวลว่า "ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้สร้างความประทับใจต่อหน้าพระชายา""แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีท่านอ๋องโดยตรง หากท่านอ๋องเข้าไปยุ่ง อาจจะเป็นการจุดไฟเผาตัวเองได้"ดวงตารูปดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย "เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ไฟนั้นก็จะไม่ลามมาถึงตัวข้าหรือ?""พวกเขารอโอกาสมาตลอด โอกาสที่จะกำจัดข้าให้สิ้นซาก""คราวนี้เรื่องของชูอิ่งก็คือโอกาสที่พวกเขารออยู่"ฉินจื๋อเจี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จิ่งโม่เยี่ยยิ้มมุมปาก "ในสายตาของพวกเขา ชูอิ่งยังคงเป็นพระชายาของข้า"“ในเมื่อพวกเขาพยายามจะลากข้าลงโคลนตมให้ได้ ระหว่างถูกกระทำกับเป็นฝ่ายทำเอง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะขอก้าวลงไปในบ่อโคลนเอง”"เตรียมรถม้า ข้าจะไปดูชูอิ่งที่จวนผู้ว่าราชการ"ฉินจื๋อเจี้ยนเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาทันที จึงไปเตรียมรถม้าให้ด้วยตัวเองเฟิ่งชูอิ่งถูกจัดให้อยู่ในคุกที่สกป
เฉี่ยวหลิงตอบรับสั้นๆ "ได้"เมื่อชายคนนั้นวิ่งเข้ามา เฉี่ยวหลิงก็คว้ามือเขาไว้แล้วดึงแขนเขาทุ่มลงพื้นอย่างแรงหลังจากทุ่มเสร็จ นางรู้สึกว่าท่านี้แรงเกินไปนิด อาจทำให้คนตายได้ จึงดึงขึ้นมาแล้วทุ่มไปอีกด้านหนึ่งครั้งนี้นางลดแรงลงเล็กน้อย แม้จะทุ่มลงเสียงดังโครมครามแต่ก็ไม่ถึงกับหักกระดูกหรือทำลายอวัยวะภายใน แค่ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บบาดแผลแบบนี้ไม่ถึงตาย แต่ทำให้ เกิดความเจ็บปวดและดูน่ากลัวมากชายคนนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่คุกที่ปกติมียามลาดตระเวนอยู่ตลอด ตอนนี้กลับไม่เห็นยามสักคนในคุกของจวนผู้ว่าราชการมีนักโทษหลากหลายประเภท ช่วงใกล้ปีใหม่จับโจรขโมยมาได้ไม่น้อย ข้างในจึงแน่นขนาดไปด้วยนักโทษคนของจวนผู้ว่าราชการต้องการทำลายเฟิ่งชูอิ่งให้ราบคาบ จึงขังนางไว้คุกตรงกลางที่มีคนมากที่สุดพวกเขายังจงใจเลือกเวลาเปลี่ยนเวรยามมาขังนาง เพื่อสร้างช่วงเวลาที่ไม่มีคนลาดตระเวน ปล่อยให้นักโทษพวกนั้นรังแกนางโดยปกติแล้วนักโทษในจวนผู้ว่าราชการไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง แต่ห้องขังที่เฟิ่งชูอิ่งถูกขังอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นคนชั่วร้ายทั้งนั้นในนั้นมีทั้งมหาโจร ฆาตกรต่อเนื่อง พวกข่มขืนล้วงละเมิด
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท