จิ่งโม่เยี่ยพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ขณะที่ข้าไปถึงนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว โจรภูเขาโหดเหี้ยมพวกนั้นได้ฆ่าเขาไปแล้ว”ฮองเฮาทรงทราบดีว่าวันนี้จิ่งสือเฟิงออกไปทำอะไร พระนางจึงไม่เชื่อคำพูดของจิ่งโม่เยี่ยพระนางเบิกตากว้างมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วเอ่ยว่า “เฟิงเอ๋อร์ไม่ได้ถูกโจรภูเขาฆ่า แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ฆ่าเขา!”ทันทีที่พระนางเอ่ยเช่นนั้น สายตาของทุกคนก็หันไปมองจิ่งโม่เยี่ยสีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยเปลี่ยนไป เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ฮองเฮาควรระวังคำพูดหน่อยนะ”“แม้ข้ากับพี่รองจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่มีเรื่องบาดหมางร้ายแรงใดๆ เหตุใดข้าจะต้องไปฆ่าเขาเล่า?”ฮองเฮากริ้วและกล่าวว่า “เจ้ามีความทะเยอทะยาน ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ เฟิงเอ๋อร์เป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา เป็นผู้สืบราชสมบัติโดยชอบธรรม”“เจ้าฆ่าเขาเพื่อต้องการแย่งชิงบัลลังก์!”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองพระนางราวกับมองคนโง่เขลา “ข้าเห็นใจฮองเฮาที่เพิ่งสูญเสียบุตรชายไป ความโศกเศร้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านอาจพูดจาไม่ระมัดระวัง”“แต่ข้าก็ต้องปกป้องตัวเอง ตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการนี
เนื่องจากจิ่งสือเฟิงปัจจุบันไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในเมืองหลวง และไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาหากเขาได้หลักฐานการกบฏของปู๋เยี่ยโหว คนของศาลต้าหลี่จะต้องให้ความร่วมมือแน่แต่ตอนนี้จิ่งสือเฟิงตายแล้ว ศาลต้าหลี่คงจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดองนางรู้สึกเสียใจและหวาดกลัว ในที่สุดนางก็เข้าใจเรื่องราวได้อย่างหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ที่นางต่อสู้กับเหล่าสนมในวังหลัง นางชนะได้ก็เพราะนางเป็นฮองเฮา มีอำนาจเหนือกว่าพวกนางเหล่านั้นแต่ประสบการณ์การต่อสู้เหล่านั้น เมื่อนำมาใช้กับจิ่งโม่เยี่ยกลับใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเพราะจิ่งโม่เยี่ยในปัจจุบันเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง เขาไม่เห็นหัวนางด้วยซ้ำไปต่อหน้าอำนาจและพละกำลังที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยนางกัดฟันพูดว่า “เรื่องเหล่านี้พวกเราล้วนรู้ดีแก่ใจว่าเป็นอย่างไร จิ่งโม่เยี่ย เจ้าฆ่าพี่น้องตัวเองได้ลงคอ ต่อไปจะต้องตายไม่ดีแน่!”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยเรียบเฉย “ถึงแม้ข้าจะเรียกจิ่งสือเฟิงว่าพี่ชาย แต่เขาก็ไม่นับว่าเป็นพี่น้องของข้า”“คำพูดของฮองเฮาข้าคิดว่ายอดเยี่ยมมากเลยล่ะ ท่านมิลองเอาประโยคพวกนี้ไปพูดต่อหน้าเสด็จลุงดูล่ะ?”ฮองเฮา
มหาราชครูเป็นคนฉลาด พวกเขาเคยสนับสนุนจิ่งสือเฟิงเพราะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดและจิ่งสือเฟิงเป็นโอรสที่กำเนิดจากภรรยาเอก มีโอกาสสูงที่จะได้ครองราชย์สมบัติต่อจากฮ่องเต้เจาหยวนหากจิ่งสือเฟิงได้ขึ้นครองราชย์ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาแต่ตอนนี้จิ่งสือเฟิงตายไปแล้ว แผนการทั้งหมดของพวกเขาก็ล้มเหลว แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่และต้องมองไปข้างหน้าในเมื่อพวกเขาไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจิ่งโม่เยี่ยฆ่าจิ่งสือเฟิง การไปหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยก็เท่ากับไปหาเรื่องตายมหาราชครูมองเห็นเรื่องนี้ชัดเจน จึงห้ามไม่ให้ฮองเฮาไปหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยฮองเฮาน้ำตาคลอเบ้ากล่าวว่า “แล้วเฟิงเอ๋อร์จะตายไปทั้งอย่างนี้หรือ?”มหาราชครูกล่าวเสียงเคร่งเครียดว่า “ไม่แน่นอน สิ่งที่เราต้องทำคือเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างลับๆ และรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อกำจัดจิ่งโม่เยี่ย”เมื่อได้ยินว่ามหาราชครูไม่ได้ละทิ้งการแก้แค้นให้จิ่งสือเฟิง ใจของฮองเฮาก็โล่งขึ้นมาบ้างแต่เมื่อเห็นจิ่งสือเฟิงนอนอยู่ตรงนั้นในสภาพไร้ลมหายใจ ฮองเฮาก็เศร้าเสียใจอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากเป็นสายจิ่งสือเยี่ยนได้ยินข่าวการตายของจิ่งสือเฟิงตอนอยู่ที่จ
ในใจของซูโหย่วเหลียงแล้ว จิ่งสือเยี่ยนเป็นเพียงหนุ่มน้อยผู้มีนิสัยอ่อนโยนการพูดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขาเป็นลุงแท้ๆ ของจิ่งสือเยี่ยน เป็นผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึงแม้จิ่งสือเยี่ยนจะเป็นองค์ชาย แต่ความสำเร็จในปัจจุบันของจิ่งสือเยี่ยน เขารู้สึกว่าล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือของตระกูลซูหากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซูไม่ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้กับจิ่งสือเยี่ยน เขาก็คงยังคงเป็นองค์ชายที่ไร้ซึ่งตัวตนอยู่ในวังเขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ บอกด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะประจบประแจงว่า “ลุงรู้แล้ว เจ้าอย่าห่วงเลย เรื่องเหล่านี้ลุงจะเชื่อฟังเจ้า”จิ่งสือเยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้ว่าเขายังไม่ได้ใส่ใจจริงจังแต่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว หากจิ่งสือเยี่ยนพูดต่อก็จะทำให้คำพูดฟังดูรุนแรงเกินไป เขาจึงต้องหยุดไว้ก่อนหลังจากส่งซูโหย่วเหลียงออกไปแล้ว เขาก็บอกกับองครักษ์ว่า “แม้ว่าการกระทำของจิ่งสือเฟิงจะเกินขอบเขตไปบ้างในคราวนี้ แต่พี่สามก็คงไม่ถึงขั้นลงมือฆ่าแกงเขาหรอก”“ไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”องครักษ์รับคำแล้วไปตรวจสอบอย่างละเอียด แ
จิ่งสือเยี่ยนและปู๋เยี่ยโหวนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ค่อยดีนักปู๋เยี่ยโหวคิดว่าจิ่งสือเยี่ยนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ส่วนจิ่งสือเยี่ยนก็คิดว่าปู๋เยี่ยโหวบ้าบอไร้สติ ปกติทั้งสองคนเจอกันก็แค่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น ไม่มีมิตรภาพใดๆดังนั้นจิ่งสือเยี่ยนจึงรู้ว่าหากเขาไปหาปู๋เยี่ยโหวโดยตรง ปู๋เยี่ยโหวคงไม่ยอมร่วมมือแน่ เขาจึงต้องหาเหตุผลและข้ออ้างเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปหาปู๋เยี่ยโหวเขาจึงแวะไปหาองค์ชายใหญ่ จิ่งสืออวิ๋นก่อนจิ่งสืออวิ๋นในฐานะองค์ชายใหญ่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมากลับแทบไม่มีตัวตนอยู่เลยเพราะจิ่งสือเฟิงมักจะใช้ความได้เปรียบที่เป็นบุตรจากภรรยาเอกและมีตระกูลมารดาที่ทรงอิทธิพลคอยกดขี่จิ่งสืออวิ๋นอยู่เสมอครั้งนี้จิ่งสือเฟิงตาย คนที่ยินดีที่สุดก็คือจิ่งสืออวิ๋นและหากพิจารณาจากความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เห็น ก่อนหน้านี้ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด คนที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับปู๋เยี่ยโหวก็คือจิ่งสืออวิ๋นดังนั้น การให้จิ่งสืออวิ๋นเป็นคนไปขอร้องปู๋เยี่ยโหวให้พาไปที่จวนตากอากาศจึงเหมาะสมที่สุดเมื่อจิ่งสือเยี่ยนไปถึงวังของจิ่งสืออวิ๋น จิ่งสืออวิ๋
เขาคิดว่านิสัยของจิ่งสือเยี่ยนดีกว่าจิ่งสือเฟิงมากมายตั้งไม่รู้กี่เท่าตอนเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในวังครั้งก่อน จิ่งสือเยี่ยนก็สามารถแสดงความสามารถอันโดดเด่น ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้เขาถึงได้รู้ว่าน้องห้าของตนเองไม่ธรรมดา แต่ถึงในมือของจิ่งสือเยี่ยนจะกุมอำนาจอยู่ เขาก็ไม่มีท่าทางวางมาดเหมือนเดิมแต่จิ่งสืออวิ๋นตระหนักดีว่า จิ่งสือเยี่ยนในตอนนี้ไม่เหมือนกับจิ่งสือเยี่ยนในอดีตแล้วจิ่งสือเยี่ยนกตัญญูก็จริง แต่ปกติเขาจะยุ่งกับหน้าที่และงานของตัวเองมากกว่า ไม่น่าจะออกเสาะหาหญ้าเสวี่ยอิ่นด้วยตัวเองหรอกจิ่งสืออวิ๋นรู้ว่าการตามหาหญ้าเสวี่ยอิ่นเป็นแค่ข้ออ้างของจิ่งสือเยี่ยน จะต้องมีเป้าหมายอื่นแฝงเร้นแน่นอนเขาอยากรู้มากกว่าแท้จริงแล้วจิ่งสือเยี่ยนกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงเก็บอุปกรณ์วาดภาพทั้งหมดแล้วออกไปตามหาหญ้าเสวี่ยอิ่นพร้อมกับจิ่งสือเยี่ยนเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงจวนพักตากอากาศของปู๋เยี่ยโหว จิ่งสือเยี่ยนออกอาการลังเล “พี่ใหญ่ พวกเราจะไปเก็บหญ้าเสวี่ยอิ่นไม่ใช่หรือ? มาที่นี่ทำไมล่ะ?”จิ่งสืออวิ๋นตอบ “ก็เพราะว่าหญ้าเสวี่ยอิ่นมันขึ้นอยู่ในจวนแห่งนี้ไง”จิ่งสือเยี่ยนทำหน้า
เขาสังเกตจวนหลังนี้มาตั้งแต่มาถึง ปฏิกิริยาของบ่าวดูระแวงเกินจริงไปหน่อย ยิ่งตอกย้ำความสงสัยแต่เดิมของเขาจวนหลังนี้มันมีอะไรแปลกๆ กันแน่?จิ่งสืออวิ๋นรอพักใหญ่ จึงเห็นปู๋เยี่ยโหวสวมรองเท้าแตะเดินออกมาขณะเดินก็หาวหวอดพลางพูดว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? โอ้ พาเจ้าหมอนี่มาด้วยหรือ”จิ่งสืออวิ๋นเล่าจุดประสงค์ของวันนี้คร่าวๆ แล้วถามว่า “วันนี้เจ้าหยุดงานรึ?”ปู๋เยี่ยโหวกลับไม่ตอบคำถามของจิ่งสืออวิ๋น แต่หันไปมองจิ่งสือเยี่ยนแล้วพูดว่า “เจ้าก็เป็นแขกที่นานๆ จะมาทีนะ”จิ่งสือเยี่ยนโค้งคำนับให้ปู๋เยี่ยโหว “รบกวนแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มเยาะ “ยังเสแสร้งเก่งอีกนะ”จิ่งสือเยี่ยน “……”นิสัยของปู๋เยี่ยโหวนี่มันน่ารำคาญจริงๆเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต่อปากต่อคำกับปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้ต้องการให้เขาแสดงปฏิกิริยาอะไร พูดเสียงเรียบว่า “เรือนท้ายจวนข้ามีอะไรพิเศษนิดหน่อย ตอนพวกเจ้าเก็บสมุนไพรให้เลี่ยงๆ หน่อย อย่าเข้าไปข้างในล่ะ”จิ่งสืออวิ๋นถามด้วยความสงสัย “ข้าเคยมาจวนพักตากอากาศของเจ้าหลายครั้งแล้ว ไม่เคยเห็นอะไรพิเศษนี่”ปู๋เยี่ยโหวพูดกวนๆ ว่า “เมื่อก่อนก็เมื่อก่อน ตอนนี้ก็ตอนนี้”เดิมทีจิ่งสืออว
มีจิ่งสืออวิ๋นอยู่ด้วย เขาก็น่าจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อยยังไงจิ่งสือเฟิงก็เพิ่งตาย ถ้าเขาและจิ่งสืออวิ๋นตายในเวลานี้ แม้แต่จิ่งโม่เยี่ยก็คงแบกรับไม่ไหวยิ่งไปกว่านั้น ด้วยท่าทางของปู๋เยี่ยโหว เขาคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่มีอันตรายอะไรจิ่งสืออวิ๋นมองเขาแล้วยิ้ม ส่ายหัวเบาๆ ก่อนพวกเขาจะพากันเดินเข้าไปแต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่เข้าไป ก็มีทางแยกเพิ่มขึ้นมาหลายทางอาคารปลูกสร้างที่คุ้นเคยที่เห็นก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือเพียงทางเดินหลายสายจิ่งสืออวิ๋นประหลาดใจ “ข้ามาที่เรือนท้ายจวนแห่งนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เป็นแบบนี้”“แล้วจวนที่เห็นเมื่อครู่นี้หายไปไหนหมด?”จิ่งสือเยี่ยนมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “พวกเราดูเหมือนจะหลงเข้ามาในค่ายกลแล้ว”จิ่งสืออวิ๋นยิ่งสงสัย “ค่ายกล? ปู๋เยี่ยโหวตั้งค่ายกลไว้ในจวนตัวเองทำไม?”คำถามนี้จิ่งสือเยี่ยนก็ตอบไม่ได้จิ่งสืออวิ๋นตะโกน “เซียวฉี่หรง เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”ปู๋เยี่ยโหวแอบดูความสนุกอยู่ภายในจวน แน่นอนว่าไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่ายจิ่งสืออวิ๋นอยากจะถอยออกไป แต่พบว่าข้างหลังไม่มีทางแล้วเขาและจิ่งสือเยี่ยนมองหน้ากัน ทั้งสองคนเข้าใ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท