เขาสังเกตจวนหลังนี้มาตั้งแต่มาถึง ปฏิกิริยาของบ่าวดูระแวงเกินจริงไปหน่อย ยิ่งตอกย้ำความสงสัยแต่เดิมของเขาจวนหลังนี้มันมีอะไรแปลกๆ กันแน่?จิ่งสืออวิ๋นรอพักใหญ่ จึงเห็นปู๋เยี่ยโหวสวมรองเท้าแตะเดินออกมาขณะเดินก็หาวหวอดพลางพูดว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? โอ้ พาเจ้าหมอนี่มาด้วยหรือ”จิ่งสืออวิ๋นเล่าจุดประสงค์ของวันนี้คร่าวๆ แล้วถามว่า “วันนี้เจ้าหยุดงานรึ?”ปู๋เยี่ยโหวกลับไม่ตอบคำถามของจิ่งสืออวิ๋น แต่หันไปมองจิ่งสือเยี่ยนแล้วพูดว่า “เจ้าก็เป็นแขกที่นานๆ จะมาทีนะ”จิ่งสือเยี่ยนโค้งคำนับให้ปู๋เยี่ยโหว “รบกวนแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มเยาะ “ยังเสแสร้งเก่งอีกนะ”จิ่งสือเยี่ยน “……”นิสัยของปู๋เยี่ยโหวนี่มันน่ารำคาญจริงๆเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต่อปากต่อคำกับปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้ต้องการให้เขาแสดงปฏิกิริยาอะไร พูดเสียงเรียบว่า “เรือนท้ายจวนข้ามีอะไรพิเศษนิดหน่อย ตอนพวกเจ้าเก็บสมุนไพรให้เลี่ยงๆ หน่อย อย่าเข้าไปข้างในล่ะ”จิ่งสืออวิ๋นถามด้วยความสงสัย “ข้าเคยมาจวนพักตากอากาศของเจ้าหลายครั้งแล้ว ไม่เคยเห็นอะไรพิเศษนี่”ปู๋เยี่ยโหวพูดกวนๆ ว่า “เมื่อก่อนก็เมื่อก่อน ตอนนี้ก็ตอนนี้”เดิมทีจิ่งสืออว
มีจิ่งสืออวิ๋นอยู่ด้วย เขาก็น่าจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อยยังไงจิ่งสือเฟิงก็เพิ่งตาย ถ้าเขาและจิ่งสืออวิ๋นตายในเวลานี้ แม้แต่จิ่งโม่เยี่ยก็คงแบกรับไม่ไหวยิ่งไปกว่านั้น ด้วยท่าทางของปู๋เยี่ยโหว เขาคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่มีอันตรายอะไรจิ่งสืออวิ๋นมองเขาแล้วยิ้ม ส่ายหัวเบาๆ ก่อนพวกเขาจะพากันเดินเข้าไปแต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่เข้าไป ก็มีทางแยกเพิ่มขึ้นมาหลายทางอาคารปลูกสร้างที่คุ้นเคยที่เห็นก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือเพียงทางเดินหลายสายจิ่งสืออวิ๋นประหลาดใจ “ข้ามาที่เรือนท้ายจวนแห่งนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เป็นแบบนี้”“แล้วจวนที่เห็นเมื่อครู่นี้หายไปไหนหมด?”จิ่งสือเยี่ยนมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “พวกเราดูเหมือนจะหลงเข้ามาในค่ายกลแล้ว”จิ่งสืออวิ๋นยิ่งสงสัย “ค่ายกล? ปู๋เยี่ยโหวตั้งค่ายกลไว้ในจวนตัวเองทำไม?”คำถามนี้จิ่งสือเยี่ยนก็ตอบไม่ได้จิ่งสืออวิ๋นตะโกน “เซียวฉี่หรง เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”ปู๋เยี่ยโหวแอบดูความสนุกอยู่ภายในจวน แน่นอนว่าไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่ายจิ่งสืออวิ๋นอยากจะถอยออกไป แต่พบว่าข้างหลังไม่มีทางแล้วเขาและจิ่งสือเยี่ยนมองหน้ากัน ทั้งสองคนเข้าใ
ปกติแล้วจิ่งสือเยี่ยนคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ มามาก โอกาสที่จะถูกทำให้ตกใจกลัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเฉี่ยวหลิง เขาก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองช่างไร้เดียงสาเสียจริงการปรากฏตัวของนางได้ทำลายความเข้าใจที่เขามีมาตลอดแต่เขายังมีสติอยู่ เฉี่ยวหลิงเป็นแบบนี้ เฟิ่งชูอิ่งน่าจะรู้ดีเขาถามว่า "คุณหนูของเจ้าอยู่ไหน?"ลูกตาของเฉี่ยวหลิงกลิ้งไปมาในเบ้าตา เกือบจะหลุดออกมาอีกรอบจิ่งสือเยี่ยน "......"หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ สถานการณ์เช่นนี้เกินความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิงเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า "ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้น!"เฉี่ยวหลิงมองเขาแล้วพูดว่า "จิตใจของเจ้าค่อนข้างเข้มแข็งดีนี่นา เจอแบบนี้ยังควบคุมตัวเองได้อีก"หลังจากพูดจบ นางก็จงใจลอยไปข้างๆ เขาแล้วถามว่า "เจ้าไม่กลัวข้าจริงๆ หรือ?"จิ่งสือเยี่ยนตอบว่า "กลัว! กลัวมาก! แต่ข้าคิดว่าผีก็ควรจะมีผีที่ดี และเจ้าก็เป็นผีที่ดีตัวนั้น"เฉี่ยวหลิงเบะปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ข้าก็ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี""ตอนนี้สารภาพมาซะดีๆ วันนี้เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?
จิ่งสือเยี่ยนถามว่า "เจ้าเป็นอะไรไปหรือ"เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วตอบว่า "ตามที่อ๋องจิ้นเห็น ขาของข้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เดินไม่ได้ชั่วคราว"นางเห็นสีหน้าอารมณ์ของจิ่งสือเยี่ยนแล้วรู้สึกสับสนเล็กน้อยนางเอกในนิยายเรื่องเดิมถูกฆ่าโดยปู๋เยี่ยโหวเจ้าคนโง่นั่น แล้วจิ่งสือเยี่ยนพระเอกในเรื่องเดิมจะไปทางไหนต่อนางถามว่า "ทำไมอ๋องจิ้นถึงมาที่นี่ล่ะ"จิ่งสือเยี่ยนเล่าเรื่องที่เขามากับจิ่งสืออวิ๋นเพื่อหาหญ้าเสวี่ยอิ่นอย่างคร่าวๆ แล้วถามว่า "ข้าก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่"หลังจากเจอนาง เขาก็เข้าใจว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงฆ่าจิ่งสือเฟิง แปดส่วนคงเป็นเพราะเจ้าโง่จิ่งสือเฟิงนั่นไปยุ่งกับนางเฟิ่งชูอิ่งรู้ว่าเหตุผลที่เขามาไม่เรียบง่ายอย่างที่เขาพูดแน่ นางเห็นว่าจิ่งสือเยี่ยนตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจิ่งสือเยี่ยนไม่ใช่เด็กหนุ่มร่าเริงสดใสอย่างที่แสดงออกภายนอก เขาก็เป็นคนเจ้าเล่ห์และทะเยอทะยานแต่นางได้หย่าขาดกับจิ่งโม่เยี่ยแล้ว การแย่งชิงอำนาจและเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของราชวงศ์ไม่เกี่ยวกับนางอีกต่อไปนางยิ้มบางๆ "ข้าได้รับบาดเจ็บ จึงขอยืมจวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวมาใช้เป็นที่พักรักษาตัว""ข้าไม่ชอบให้ใครมารบ
หลังจากที่นางเอกเดิมเสียชีวิต นางก็ดูเหมือนจะกลายเป็นนางเอกของเรื่องนี้แทน แต่นางไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายอะไรกับพวกเขาเลยดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปู๋เยี่ยโหวหรือจิ่งสือเยี่ยน นางก็ปฏิเสธอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ให้ความหวังใดๆ กับพวกเขาเลยนางพยายามอย่างหนักที่จะตัดขาดจากจิ่งโม่เยี่ย และได้ออกมาใช้ชีวิตอย่างสบายใจ นางไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้อีกสำหรับจิ่งสือเยี่ยน ตอนแรกนางคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริงสดใส แต่ต่อมานางพบว่าเขาเป็นคนที่ซ่อนความคิดลึกซึ้งที่สุดเมื่อคิดถึงตรงนี้ ตอนที่เขาพานางออกจากเมืองหลวงและมอบหมายตรากองทัพให้ก่อนวันแต่งงาน เจตนาของเขาไม่บริสุทธิ์เลยสักนิดคนแบบนี้ดูไม่มีพิษภัย แต่กลับวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว ช่างน่ากลัวจริงๆจิ่งสือเยี่ยนเห็นท่าทางที่นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาดก็ตกตะลึงเล็กน้อยเขาพูดเบาๆ ว่า "ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า"เฟิ่งชูอิ่งยิ้มและพูดว่า "โอ้ งั้นก็แสดงว่ายังมีการวางแผนอยู่ แต่ไม่เป็นไร พวกเราไม่สนิทกันอยู่แล้ว""การวางแผนกับคนที่ไม่สนิท เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ไม่ได้ผิดอะไร"พวกเขาที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการวางแผ
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ "คนในราชวงศ์ ใครบ้างไม่มีความทะเยอทะยาน?"เป็นองค์ชาย ย่อมมีความคิดอยากจะไขว่ค้วาตำแหน่งนั้นอยู่บ้างเหมยตงยวนขมวดคิ้วพูดว่า "ก็จริง"คราวนี้เขาไม่ได้ทำอะไรกับจิ่งสือเยี่ยน แต่ถ้าจิ่งสือเยี่ยนกล้ากลับมาอีกครั้ง เขาก็จะให้จิ่งสือเยี่ยนได้เห็นดีกันสักรอบพูดจบเขาก็ขยับตัว ลากปู๋เยี่ยโหวที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงออกมา เตะก้นเขาทีหนึ่ง ทำให้เขาล้มลงเกือบจะหน้าทิ่มดินเขาถามอย่างหงุดหงิด "ละครสนุกไหม?"ปู๋เยี่ยโหวร้องโอดโอยอยู่หลายที ลุกขึ้นมาพลางนวดก้นและพูดว่า "ละครสนุกดี แต่ก้นก็เจ็บมากจริงๆ"เหมยตงยวนเห็นเขาทำท่าไม่เอาไหนอยู่เรื่อยก็โมโหขึ้นมา "ต่อไปเจ้าอย่ามาที่จวนตากอากาศบ่อยนัก""เจ้าเอะอะก็วิ่งมาที่จวนตากอากาศทุกวัน ไม่รู้ว่าต่อไปจะดึงดูดใครมาอีก"ปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างน้อยใจ "ข้าก็ไม่อยากให้คนจับตามองนะ! ข้าอยากไปไหนก็เป็นอิสระของข้า...""โอ๊ย! ลุงเหมย อย่าตีข้านะ!"เหมยตงยวนเอาฝักกระบี่ฟาดก้นเขาอีกที เขากระโดดหนีออกไปสามฉื่อ อยากหนีให้ไกลจากเหมยตงยวนแต่ความเร็วของเหมยตงยวนเร็วกว่าเขามาก เขาขยับตัวทีไร เหมยตงยวนก็คำนวณท่าทางของเขาได้หมด ดักรอเขาอยู่ตรงจุดที่เขาจะหนีไ
จิ่งสืออวิ๋นรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาถามจิ่งสือเยี่ยน "จริงหรือเปล่า?"จิ่งสือเยี่ยนตอบ "จริง ผีนั่นหน้าตาดีอยู่หรอก แต่ตอนมีชีวิตอาจโดนคนควักลูกตาและเลาะคางออก แค่ขยับตัวลูกตากับคางก็ร่วงลงมาแล้ว"จิ่งสืออวิ๋น "!!!!!!"ก่อนจะถูกฟาดจนสลบเขาเหมือนเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าจะเป็นคน ฟาดเขาสลบไปในทันทีตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ เขารู้สึกถึงกลิ่นอายความเย็นเยียบอย่างรุนแรงตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว และเป็นเวลาพลบค่ำ เขาตกใจจนต้องมุดเข้าไปหลบอยู่ในมุมแต่เขาไม่เห็นว่าจิ่งสือเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้น ตอนนี้กำลังมองมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยจิ่งสือเฟิงเพิ่งตายไม่กี่วัน กลิ่นอายความเย็นเยียบจึงยังไม่หนักมากแต่เขาก็เป็นวิญญาณอยู่ดี จิ่งสืออวิ๋นรู้สึกหนาวมาก อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา "น้องห้า เจ้ารู้สึกหนาวบ้างไหม?"จิ่งสือเยี่ยนส่ายหัว "ก็ยังดีอยู่ ไม่ได้หนาวมาก พี่ใหญ่รู้สึกหนาวเพราะตรงที่นั่งอยู่มีผีรึเปล่า?"จิ่งสือเฟิง "......"จิ่งสืออวิ๋น "!!!!!!"จิ่งสือเยี่ยนหัวเราะ "ล้อเล่นน่ะ โลกนี้มีผีตรงไหนกัน?""ปู๋เยี่ยโหวเลี้ยงนางโลมฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งไว้ในเรือนหลังจวน นางไม่
เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากพบเขา แต่กลับยินดีพบจิ่งสือเยี่ยน เขารู้สึกเจ็บปวดในใจมากพอความคิดนี้ผุดขึ้นมา จิ่งโม่เยี่ยก็เกิดความคิดอยากฆ่าขึ้นมาในใจเขาพยายามกดความคิดนี้ลงไป สูดหายใจลึกๆ บอกตัวเองว่าตอนนี้ไม่ควรทำอะไร มิฉะนั้นจะยิ่งทำให้นางรังเกียจชั่วชีวิตของจิ่งโม่เยี่ย ไม่เคยระมัดระวังกับใครมากขนาดนี้มาก่อนหลังจากจิ่งสืออวิ๋นกลับจวน เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องเรือนท้ายจวนของปู๋เยี่ยโหวซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่?หมอเพิ่งมาตรวจดูที่ต้นคอของเขา บนนั้นมีรอยช้ำสีเข้มอยู่หลายแห่งหมอบอกว่าถ้ามีรอยแบบนี้ เขาต้องโดนฟาดอย่างน้อยสามครั้งเมื่อจิ่งสืออวิ๋นได้ยินคำอธิบายนี้ ก็ยิ่งแน่ใจว่าจิ่งสือเยี่ยนต้องการปิดบังอะไรบางอย่าง เพราะจิ่งสือเยี่ยนบอกว่าเขาโดนนางโลมฟาดแค่ครั้งเดียวเขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ความอยากรู้อยากเห็นของเขาพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเขาครุ่นคิดอยู่สักพัก รู้สึกว่าเขาไม่ควรเป็นเบี้ยรองของจิ่งสือเยี่ยนแบบนี้ ในเมื่อเรื่องนี้จิ่งสือเยี่ยนอยากปิดบังนัก เขาก็จะต้องรู้ให้ได้ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปหาปู๋เยี่ยโหว เขาอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร