เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ "คนในราชวงศ์ ใครบ้างไม่มีความทะเยอทะยาน?"เป็นองค์ชาย ย่อมมีความคิดอยากจะไขว่ค้วาตำแหน่งนั้นอยู่บ้างเหมยตงยวนขมวดคิ้วพูดว่า "ก็จริง"คราวนี้เขาไม่ได้ทำอะไรกับจิ่งสือเยี่ยน แต่ถ้าจิ่งสือเยี่ยนกล้ากลับมาอีกครั้ง เขาก็จะให้จิ่งสือเยี่ยนได้เห็นดีกันสักรอบพูดจบเขาก็ขยับตัว ลากปู๋เยี่ยโหวที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงออกมา เตะก้นเขาทีหนึ่ง ทำให้เขาล้มลงเกือบจะหน้าทิ่มดินเขาถามอย่างหงุดหงิด "ละครสนุกไหม?"ปู๋เยี่ยโหวร้องโอดโอยอยู่หลายที ลุกขึ้นมาพลางนวดก้นและพูดว่า "ละครสนุกดี แต่ก้นก็เจ็บมากจริงๆ"เหมยตงยวนเห็นเขาทำท่าไม่เอาไหนอยู่เรื่อยก็โมโหขึ้นมา "ต่อไปเจ้าอย่ามาที่จวนตากอากาศบ่อยนัก""เจ้าเอะอะก็วิ่งมาที่จวนตากอากาศทุกวัน ไม่รู้ว่าต่อไปจะดึงดูดใครมาอีก"ปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างน้อยใจ "ข้าก็ไม่อยากให้คนจับตามองนะ! ข้าอยากไปไหนก็เป็นอิสระของข้า...""โอ๊ย! ลุงเหมย อย่าตีข้านะ!"เหมยตงยวนเอาฝักกระบี่ฟาดก้นเขาอีกที เขากระโดดหนีออกไปสามฉื่อ อยากหนีให้ไกลจากเหมยตงยวนแต่ความเร็วของเหมยตงยวนเร็วกว่าเขามาก เขาขยับตัวทีไร เหมยตงยวนก็คำนวณท่าทางของเขาได้หมด ดักรอเขาอยู่ตรงจุดที่เขาจะหนีไ
จิ่งสืออวิ๋นรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาถามจิ่งสือเยี่ยน "จริงหรือเปล่า?"จิ่งสือเยี่ยนตอบ "จริง ผีนั่นหน้าตาดีอยู่หรอก แต่ตอนมีชีวิตอาจโดนคนควักลูกตาและเลาะคางออก แค่ขยับตัวลูกตากับคางก็ร่วงลงมาแล้ว"จิ่งสืออวิ๋น "!!!!!!"ก่อนจะถูกฟาดจนสลบเขาเหมือนเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าจะเป็นคน ฟาดเขาสลบไปในทันทีตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ เขารู้สึกถึงกลิ่นอายความเย็นเยียบอย่างรุนแรงตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว และเป็นเวลาพลบค่ำ เขาตกใจจนต้องมุดเข้าไปหลบอยู่ในมุมแต่เขาไม่เห็นว่าจิ่งสือเฟิงนั่งอยู่ตรงนั้น ตอนนี้กำลังมองมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยจิ่งสือเฟิงเพิ่งตายไม่กี่วัน กลิ่นอายความเย็นเยียบจึงยังไม่หนักมากแต่เขาก็เป็นวิญญาณอยู่ดี จิ่งสืออวิ๋นรู้สึกหนาวมาก อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา "น้องห้า เจ้ารู้สึกหนาวบ้างไหม?"จิ่งสือเยี่ยนส่ายหัว "ก็ยังดีอยู่ ไม่ได้หนาวมาก พี่ใหญ่รู้สึกหนาวเพราะตรงที่นั่งอยู่มีผีรึเปล่า?"จิ่งสือเฟิง "......"จิ่งสืออวิ๋น "!!!!!!"จิ่งสือเยี่ยนหัวเราะ "ล้อเล่นน่ะ โลกนี้มีผีตรงไหนกัน?""ปู๋เยี่ยโหวเลี้ยงนางโลมฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งไว้ในเรือนหลังจวน นางไม่
เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากพบเขา แต่กลับยินดีพบจิ่งสือเยี่ยน เขารู้สึกเจ็บปวดในใจมากพอความคิดนี้ผุดขึ้นมา จิ่งโม่เยี่ยก็เกิดความคิดอยากฆ่าขึ้นมาในใจเขาพยายามกดความคิดนี้ลงไป สูดหายใจลึกๆ บอกตัวเองว่าตอนนี้ไม่ควรทำอะไร มิฉะนั้นจะยิ่งทำให้นางรังเกียจชั่วชีวิตของจิ่งโม่เยี่ย ไม่เคยระมัดระวังกับใครมากขนาดนี้มาก่อนหลังจากจิ่งสืออวิ๋นกลับจวน เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องเรือนท้ายจวนของปู๋เยี่ยโหวซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่?หมอเพิ่งมาตรวจดูที่ต้นคอของเขา บนนั้นมีรอยช้ำสีเข้มอยู่หลายแห่งหมอบอกว่าถ้ามีรอยแบบนี้ เขาต้องโดนฟาดอย่างน้อยสามครั้งเมื่อจิ่งสืออวิ๋นได้ยินคำอธิบายนี้ ก็ยิ่งแน่ใจว่าจิ่งสือเยี่ยนต้องการปิดบังอะไรบางอย่าง เพราะจิ่งสือเยี่ยนบอกว่าเขาโดนนางโลมฟาดแค่ครั้งเดียวเขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ความอยากรู้อยากเห็นของเขาพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเขาครุ่นคิดอยู่สักพัก รู้สึกว่าเขาไม่ควรเป็นเบี้ยรองของจิ่งสือเยี่ยนแบบนี้ ในเมื่อเรื่องนี้จิ่งสือเยี่ยนอยากปิดบังนัก เขาก็จะต้องรู้ให้ได้ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปหาปู๋เยี่ยโหว เขาอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร
จิ่งสืออวิ๋นรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนและปู๋เยี่ยโหวต่างก็ง้างปากยากมากเขาชี้หน้าใส่ปู๋เยี่ยโหวแล้วพูดว่า "เจ้าพูดจาหาความจริงไม่ได้สักคำ"ปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจ "คราวนี้เจ้าเข้าใจผิดข้าจริงๆ คนที่พูดจาไม่มีความจริงสักคำคือจิ่งสือเยี่ยนต่างหาก"พูดถึงตรงนี้เขาก็เริ่มด่าทอ "จิ่งสือเยี่ยนบอกว่าจวนตากอากาศของข้ามีผีสิงเจ้ายอมเชื่อ แต่กลับไม่เชื่อว่าในจวนตากอากาศของข้ามีสาวงามซ่อนอยู่""จิ่งสืออวิ๋น สมองเจ้าคงมีแต่ขี้เลื่อยเต็มไปหมดสินะ!"จิ่งสืออวิ๋นเมื่อวานโดนเฉี่ยวหลิงฟันคอไปหลายที หลังคอจึงเจ็บมาก พอได้ฟังเรื่องราวมากมายที่เขาเล่า หัวก็ยิ่งปวดหนักขึ้นเขายกมือปิดหูแล้วพูดว่า "หุบปากซะ!"เห็นว่าถามอะไรจากปู๋เยี่ยโหวไม่ได้แล้ว เขาจึงหันหลังเดินจากไปเลยแต่พอเดินมาถึงลานบ้าน ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างตกลงมาบนหัว ยกมือขึ้นลูบดู ที่แท้เป็นขี้นกก้อนหนึ่งนกตัวนั้นยังส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้า ดูเหมือนจะมีความสุขมากจิ่งสืออวิ๋นโกรธจนแทบระเบิด หยิบก้อนหินขึ้นมาหมายจะขว้างนกตัวนั้นให้ตกลงมาแต่พอดีตอนที่เขาขว้างหิน กรมโยธาธิการกำลังซ่อมกระจกบนหลังคาอยู่ แสงสะท้อนจากกระจกส่องเข้าตาเขาพอดีมือของเขาเบี่
คาดว่าการตายของจิ่งสือเฟิงทำให้จิ่งสืออวิ๋นตระหนักถึงบางสิ่ง เขาต้องการจะบอกจิ่งโม่เยี่ยว่าถึงแม้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ก็อยู่ฝ่ายเดียวกับจิ่งโม่เยี่ยปู๋เยี่ยโหวเหลือบตาขึ้นถาม "เจ้าคิดดีแล้วหรือ?"จิ่งสืออวิ๋นรู้ว่าเขาถามถึงอะไร จึงตอบว่า "เจ้าคิดว่าข้าเป็นเหมือนเจ้า ที่ไม่รู้จักประมาณตนหรือ?""อีกอย่าง ข้าไม่ได้โง่เหมือนจิ่งสือเฟิง ข้ารู้จักฐานะของตัวเองดี"ก่อนหน้านี้เขาอาศัยความเป็นพี่ใหญ่ ส่วนจิ่งสือเฟิงอาศัยความเป็นลูกภรรยาเอก ทั้งสองคนต่างอยากได้ตำแหน่งนั้น จึงแย่งชิงกันอย่างดุเดือดที่จิ่งสืออวิ๋นกล้าแย่งชิงกับจิ่งสือเฟิง ก็เพราะเขาคิดว่าจิ่งสือเฟิงเป็นแค่คนโง่คนอย่างจิ่งสือเฟิงถ้าสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ เขาก็ย่อมเป็นได้เช่นกันตอนนี้แผ่นดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของจิ่งโม่เยี่ยแล้ว เขาเห็นถึงความสามารถในการวางแผนและการจัดการอย่างเฉียบขาด นอกเหนือจากกลอุบายต่างๆ จากวิธีการทำงานของจิ่งโม่เยี่ย เขาจึงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่กล้าแย่งชิงกับจิ่งโม่เยี่ยอีกยิ่งไปกว่านั้น การตายของจิ่งสือเฟิงทำให้เขารู้สึกว่าถ้าเขาจะแย่งชิงกับจิ่งโม่เยี่ย
ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะพลางกล่าวว่า "อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของข้า ข้าตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่จวนตากอากาศของข้า""ท่าทีของเจ้าแย่มาก ข้าจะไม่เชิญเจ้าละกัน!"เขาพูดจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้จิ่งโม่เยี่ยตอบสนองจิ่งโม่เยี่ยเงยหน้าขึ้นทันทีที่ปู๋เยี่ยโหวพูดจบ แต่ปู๋เยี่ยโหวก็เดินไปไกลแล้วเขาหัวเราะเบาๆ แล้วก้มหน้าลงจัดการงานราชการต่อแต่ความเร็วในการตรวจสอบเอกสารของเขาเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาจัดการให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาไปร่วมงานวันเกิดของปู๋เยี่ยโหวหลังจากที่ปู๋เยี่ยโหวออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจที่บอกจิ่งโม่เยี่ยเรื่องงานวันเกิดเขาตั้งใจจะมาบอกจิ่งโม่เยี่ยว่าจิ่งสืออวิ๋นได้เข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว แต่ทำไมสุดท้ายถึงได้พูดเรื่องงานวันเกิดแทนล่ะ?เขาเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่ง ไม่เคยคิดที่จะช่วยจิ่งโม่เยี่ยตามง้อเฟิ่งชูอิ่งแต่การจัดงานวันเกิดครั้งนี้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกำลังช่วยจิ่งโม่เยี่ย?เขายกมือตบหัวตัวเอง คิดว่าตัวเองคงจะบ้าไปแล้วเพราะโมโหจิ่งโม่เยี่ย ถึงได้หลุดปากพูดออกไปเขาคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในโลก เขาตาบอดจริงๆ ที่เลือกร่ว
เขาพูดเสียงเย็น "ยกเลิกงานเลี้ยง"ปู๋เยี่ยโหวรู้ถึงความสามารถของเหมยตงยวน ตอนนี้วิญญาณร้ายทั้งหมดในเมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาสามารถรู้ข่าวในเมืองหลวงได้เร็วที่สุดเขาสูดจมูกพูดว่า "ลุงเหมย ถึงแม้ว่าข้าจะหน้าหนา แต่ก็ยังต้องการรักษาหน้าบ้าง""หากข้าเรียกคืนบัตรเชิญตอนนี้ คนในเมืองหลวงคงจะหัวเราะเยาะข้าตายเลย!"เหมยตงยวนพูดเสียงเย็น "เมื่อครู่นี้เจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่สนใจหน้าตา แล้วเจ้ายังกลัวถูกคนหัวเราะเยาะอีกหรือ?"ปู๋เยี่ยโหว "......"งานเลี้ยงนี้ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ถูกยกเลิก ปู๋เยี่ยโหวยอมเอาตัวเข้าแลกให้อีกฝ่ายทุบตี แต่จะไม่ยอมเสียหน้าโดยเด็ดขาดเหมยตงยวนก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้จริงๆ จึงต้องปล่อยให้เขาทำตามใจแต่ในวันงานเลี้ยง เขาได้ติดตั้งกลไกหน้าเรือนเพื่อป้องกันคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือหลงเข้ามาเฟิ่งชูอิ่งแต่เดิมเป็นคนชอบความคึกคัก อยู่ในบ้านหลังนี้มาหลายเดือนไม่ได้ออกไปไหนเลย นางรู้สึกเบื่อแย่แล้วนางนั่งในห้องได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากลานหน้าบ้าน จึงเอามือเท้าคาง สีหน้าเศร้าสร้อยเหมยตงยวนเห็นท่าทางของนางแบบนี้ จึงเรียกวิญญาณร้ายที่มีความสามารถมาสองสามตนให้มาแสดงให้นางดูเฟ
วิญญาณร้ายรู้แค่ว่าเหมยตงยวนและเฉี่ยวหลิงเก่งกาจ แต่ไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเก่งขนาดนี้พวกมันคิดว่าจะสามารถฆ่านางได้อย่างรวดเร็วแล้วกลับไปรายงานแต่ตอนนี้พวกวิญญาณร้ายเหล่านี้ ไม่มีตนไหนสามารถต่อสู้กับนางได้แม้แต่นิดเดียวเฟิ่งชูอิ่งเห็นพวกมันไม่เข้ามา นางเคลื่อนไหวลำบากจึงไม่สะดวกที่จะไล่ตามพวกมันไป จึงใช้นิ้วกระดิกเรียกพวกมันการกระทำของนางในสายตาของพวกวิญญาณร้าย นั่นคือการท้าทายอย่างชัดเจนพวกมันสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีวิญญาณร้ายเนรมิตผมยาวออกมารัดคอนางบนพื้นก็มีผ้าขาวโผล่ออกมาพันเท้านางก่อนที่พวกวิญญาณร้ายจะลงมือ ด้านหน้าลานบ้านสว่างไสวด้วยเปลวไฟ ดูคึกคักมาก แต่ก็มีคนหนึ่งที่จิตใจไม่ได้อยู่ที่งานเลี้ยงจิ่งสืออวิ๋นคิดถึงความลับที่เรือนหลังจวนตลอด เขาวางแผนจะหาโอกาสไปสำรวจดูสักหน่อยแต่เหตุการณ์ครั้งที่แล้วทำให้เขาจำได้แม่น เขากลัวว่าจวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวจะมีผีสิง จึงไม่กล้าไปคนเดียวเขาพยายามบอกใบ้ให้ปู๋เยี่ยโหวพาเขาไป แต่ไม่คิดว่าปู๋เยี่ยโหวจะแกล้งโง่ ไม่ตอบรับคำพูดของเขาเลยเขาจึงไปหาจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเยี่ยนนึกถึงคำพูดของเฟิ่งชูอิ่งเมื่อครั้งก่อน เขาไม่อยากทำให้นางรำ