เนื่องจากจิ่งสือเฟิงปัจจุบันไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในเมืองหลวง และไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาหากเขาได้หลักฐานการกบฏของปู๋เยี่ยโหว คนของศาลต้าหลี่จะต้องให้ความร่วมมือแน่แต่ตอนนี้จิ่งสือเฟิงตายแล้ว ศาลต้าหลี่คงจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดองนางรู้สึกเสียใจและหวาดกลัว ในที่สุดนางก็เข้าใจเรื่องราวได้อย่างหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ที่นางต่อสู้กับเหล่าสนมในวังหลัง นางชนะได้ก็เพราะนางเป็นฮองเฮา มีอำนาจเหนือกว่าพวกนางเหล่านั้นแต่ประสบการณ์การต่อสู้เหล่านั้น เมื่อนำมาใช้กับจิ่งโม่เยี่ยกลับใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเพราะจิ่งโม่เยี่ยในปัจจุบันเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง เขาไม่เห็นหัวนางด้วยซ้ำไปต่อหน้าอำนาจและพละกำลังที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยนางกัดฟันพูดว่า “เรื่องเหล่านี้พวกเราล้วนรู้ดีแก่ใจว่าเป็นอย่างไร จิ่งโม่เยี่ย เจ้าฆ่าพี่น้องตัวเองได้ลงคอ ต่อไปจะต้องตายไม่ดีแน่!”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยเรียบเฉย “ถึงแม้ข้าจะเรียกจิ่งสือเฟิงว่าพี่ชาย แต่เขาก็ไม่นับว่าเป็นพี่น้องของข้า”“คำพูดของฮองเฮาข้าคิดว่ายอดเยี่ยมมากเลยล่ะ ท่านมิลองเอาประโยคพวกนี้ไปพูดต่อหน้าเสด็จลุงดูล่ะ?”ฮองเฮา
มหาราชครูเป็นคนฉลาด พวกเขาเคยสนับสนุนจิ่งสือเฟิงเพราะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดและจิ่งสือเฟิงเป็นโอรสที่กำเนิดจากภรรยาเอก มีโอกาสสูงที่จะได้ครองราชย์สมบัติต่อจากฮ่องเต้เจาหยวนหากจิ่งสือเฟิงได้ขึ้นครองราชย์ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาแต่ตอนนี้จิ่งสือเฟิงตายไปแล้ว แผนการทั้งหมดของพวกเขาก็ล้มเหลว แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่และต้องมองไปข้างหน้าในเมื่อพวกเขาไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าจิ่งโม่เยี่ยฆ่าจิ่งสือเฟิง การไปหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยก็เท่ากับไปหาเรื่องตายมหาราชครูมองเห็นเรื่องนี้ชัดเจน จึงห้ามไม่ให้ฮองเฮาไปหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยฮองเฮาน้ำตาคลอเบ้ากล่าวว่า “แล้วเฟิงเอ๋อร์จะตายไปทั้งอย่างนี้หรือ?”มหาราชครูกล่าวเสียงเคร่งเครียดว่า “ไม่แน่นอน สิ่งที่เราต้องทำคือเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างลับๆ และรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อกำจัดจิ่งโม่เยี่ย”เมื่อได้ยินว่ามหาราชครูไม่ได้ละทิ้งการแก้แค้นให้จิ่งสือเฟิง ใจของฮองเฮาก็โล่งขึ้นมาบ้างแต่เมื่อเห็นจิ่งสือเฟิงนอนอยู่ตรงนั้นในสภาพไร้ลมหายใจ ฮองเฮาก็เศร้าเสียใจอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากเป็นสายจิ่งสือเยี่ยนได้ยินข่าวการตายของจิ่งสือเฟิงตอนอยู่ที่จ
ในใจของซูโหย่วเหลียงแล้ว จิ่งสือเยี่ยนเป็นเพียงหนุ่มน้อยผู้มีนิสัยอ่อนโยนการพูดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขาเป็นลุงแท้ๆ ของจิ่งสือเยี่ยน เป็นผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึงแม้จิ่งสือเยี่ยนจะเป็นองค์ชาย แต่ความสำเร็จในปัจจุบันของจิ่งสือเยี่ยน เขารู้สึกว่าล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือของตระกูลซูหากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซูไม่ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้กับจิ่งสือเยี่ยน เขาก็คงยังคงเป็นองค์ชายที่ไร้ซึ่งตัวตนอยู่ในวังเขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ บอกด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะประจบประแจงว่า “ลุงรู้แล้ว เจ้าอย่าห่วงเลย เรื่องเหล่านี้ลุงจะเชื่อฟังเจ้า”จิ่งสือเยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้ว่าเขายังไม่ได้ใส่ใจจริงจังแต่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว หากจิ่งสือเยี่ยนพูดต่อก็จะทำให้คำพูดฟังดูรุนแรงเกินไป เขาจึงต้องหยุดไว้ก่อนหลังจากส่งซูโหย่วเหลียงออกไปแล้ว เขาก็บอกกับองครักษ์ว่า “แม้ว่าการกระทำของจิ่งสือเฟิงจะเกินขอบเขตไปบ้างในคราวนี้ แต่พี่สามก็คงไม่ถึงขั้นลงมือฆ่าแกงเขาหรอก”“ไปตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”องครักษ์รับคำแล้วไปตรวจสอบอย่างละเอียด แ
จิ่งสือเยี่ยนและปู๋เยี่ยโหวนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ค่อยดีนักปู๋เยี่ยโหวคิดว่าจิ่งสือเยี่ยนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ส่วนจิ่งสือเยี่ยนก็คิดว่าปู๋เยี่ยโหวบ้าบอไร้สติ ปกติทั้งสองคนเจอกันก็แค่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น ไม่มีมิตรภาพใดๆดังนั้นจิ่งสือเยี่ยนจึงรู้ว่าหากเขาไปหาปู๋เยี่ยโหวโดยตรง ปู๋เยี่ยโหวคงไม่ยอมร่วมมือแน่ เขาจึงต้องหาเหตุผลและข้ออ้างเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปหาปู๋เยี่ยโหวเขาจึงแวะไปหาองค์ชายใหญ่ จิ่งสืออวิ๋นก่อนจิ่งสืออวิ๋นในฐานะองค์ชายใหญ่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมากลับแทบไม่มีตัวตนอยู่เลยเพราะจิ่งสือเฟิงมักจะใช้ความได้เปรียบที่เป็นบุตรจากภรรยาเอกและมีตระกูลมารดาที่ทรงอิทธิพลคอยกดขี่จิ่งสืออวิ๋นอยู่เสมอครั้งนี้จิ่งสือเฟิงตาย คนที่ยินดีที่สุดก็คือจิ่งสืออวิ๋นและหากพิจารณาจากความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เห็น ก่อนหน้านี้ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด คนที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับปู๋เยี่ยโหวก็คือจิ่งสืออวิ๋นดังนั้น การให้จิ่งสืออวิ๋นเป็นคนไปขอร้องปู๋เยี่ยโหวให้พาไปที่จวนตากอากาศจึงเหมาะสมที่สุดเมื่อจิ่งสือเยี่ยนไปถึงวังของจิ่งสืออวิ๋น จิ่งสืออวิ๋
เขาคิดว่านิสัยของจิ่งสือเยี่ยนดีกว่าจิ่งสือเฟิงมากมายตั้งไม่รู้กี่เท่าตอนเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในวังครั้งก่อน จิ่งสือเยี่ยนก็สามารถแสดงความสามารถอันโดดเด่น ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้เขาถึงได้รู้ว่าน้องห้าของตนเองไม่ธรรมดา แต่ถึงในมือของจิ่งสือเยี่ยนจะกุมอำนาจอยู่ เขาก็ไม่มีท่าทางวางมาดเหมือนเดิมแต่จิ่งสืออวิ๋นตระหนักดีว่า จิ่งสือเยี่ยนในตอนนี้ไม่เหมือนกับจิ่งสือเยี่ยนในอดีตแล้วจิ่งสือเยี่ยนกตัญญูก็จริง แต่ปกติเขาจะยุ่งกับหน้าที่และงานของตัวเองมากกว่า ไม่น่าจะออกเสาะหาหญ้าเสวี่ยอิ่นด้วยตัวเองหรอกจิ่งสืออวิ๋นรู้ว่าการตามหาหญ้าเสวี่ยอิ่นเป็นแค่ข้ออ้างของจิ่งสือเยี่ยน จะต้องมีเป้าหมายอื่นแฝงเร้นแน่นอนเขาอยากรู้มากกว่าแท้จริงแล้วจิ่งสือเยี่ยนกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ จึงเก็บอุปกรณ์วาดภาพทั้งหมดแล้วออกไปตามหาหญ้าเสวี่ยอิ่นพร้อมกับจิ่งสือเยี่ยนเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงจวนพักตากอากาศของปู๋เยี่ยโหว จิ่งสือเยี่ยนออกอาการลังเล “พี่ใหญ่ พวกเราจะไปเก็บหญ้าเสวี่ยอิ่นไม่ใช่หรือ? มาที่นี่ทำไมล่ะ?”จิ่งสืออวิ๋นตอบ “ก็เพราะว่าหญ้าเสวี่ยอิ่นมันขึ้นอยู่ในจวนแห่งนี้ไง”จิ่งสือเยี่ยนทำหน้า
เขาสังเกตจวนหลังนี้มาตั้งแต่มาถึง ปฏิกิริยาของบ่าวดูระแวงเกินจริงไปหน่อย ยิ่งตอกย้ำความสงสัยแต่เดิมของเขาจวนหลังนี้มันมีอะไรแปลกๆ กันแน่?จิ่งสืออวิ๋นรอพักใหญ่ จึงเห็นปู๋เยี่ยโหวสวมรองเท้าแตะเดินออกมาขณะเดินก็หาวหวอดพลางพูดว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? โอ้ พาเจ้าหมอนี่มาด้วยหรือ”จิ่งสืออวิ๋นเล่าจุดประสงค์ของวันนี้คร่าวๆ แล้วถามว่า “วันนี้เจ้าหยุดงานรึ?”ปู๋เยี่ยโหวกลับไม่ตอบคำถามของจิ่งสืออวิ๋น แต่หันไปมองจิ่งสือเยี่ยนแล้วพูดว่า “เจ้าก็เป็นแขกที่นานๆ จะมาทีนะ”จิ่งสือเยี่ยนโค้งคำนับให้ปู๋เยี่ยโหว “รบกวนแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มเยาะ “ยังเสแสร้งเก่งอีกนะ”จิ่งสือเยี่ยน “……”นิสัยของปู๋เยี่ยโหวนี่มันน่ารำคาญจริงๆเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต่อปากต่อคำกับปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้ต้องการให้เขาแสดงปฏิกิริยาอะไร พูดเสียงเรียบว่า “เรือนท้ายจวนข้ามีอะไรพิเศษนิดหน่อย ตอนพวกเจ้าเก็บสมุนไพรให้เลี่ยงๆ หน่อย อย่าเข้าไปข้างในล่ะ”จิ่งสืออวิ๋นถามด้วยความสงสัย “ข้าเคยมาจวนพักตากอากาศของเจ้าหลายครั้งแล้ว ไม่เคยเห็นอะไรพิเศษนี่”ปู๋เยี่ยโหวพูดกวนๆ ว่า “เมื่อก่อนก็เมื่อก่อน ตอนนี้ก็ตอนนี้”เดิมทีจิ่งสืออว
มีจิ่งสืออวิ๋นอยู่ด้วย เขาก็น่าจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อยยังไงจิ่งสือเฟิงก็เพิ่งตาย ถ้าเขาและจิ่งสืออวิ๋นตายในเวลานี้ แม้แต่จิ่งโม่เยี่ยก็คงแบกรับไม่ไหวยิ่งไปกว่านั้น ด้วยท่าทางของปู๋เยี่ยโหว เขาคิดว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่มีอันตรายอะไรจิ่งสืออวิ๋นมองเขาแล้วยิ้ม ส่ายหัวเบาๆ ก่อนพวกเขาจะพากันเดินเข้าไปแต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่เข้าไป ก็มีทางแยกเพิ่มขึ้นมาหลายทางอาคารปลูกสร้างที่คุ้นเคยที่เห็นก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือเพียงทางเดินหลายสายจิ่งสืออวิ๋นประหลาดใจ “ข้ามาที่เรือนท้ายจวนแห่งนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เป็นแบบนี้”“แล้วจวนที่เห็นเมื่อครู่นี้หายไปไหนหมด?”จิ่งสือเยี่ยนมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “พวกเราดูเหมือนจะหลงเข้ามาในค่ายกลแล้ว”จิ่งสืออวิ๋นยิ่งสงสัย “ค่ายกล? ปู๋เยี่ยโหวตั้งค่ายกลไว้ในจวนตัวเองทำไม?”คำถามนี้จิ่งสือเยี่ยนก็ตอบไม่ได้จิ่งสืออวิ๋นตะโกน “เซียวฉี่หรง เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”ปู๋เยี่ยโหวแอบดูความสนุกอยู่ภายในจวน แน่นอนว่าไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่ายจิ่งสืออวิ๋นอยากจะถอยออกไป แต่พบว่าข้างหลังไม่มีทางแล้วเขาและจิ่งสือเยี่ยนมองหน้ากัน ทั้งสองคนเข้าใ
ปกติแล้วจิ่งสือเยี่ยนคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ มามาก โอกาสที่จะถูกทำให้ตกใจกลัวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเฉี่ยวหลิง เขาก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองช่างไร้เดียงสาเสียจริงการปรากฏตัวของนางได้ทำลายความเข้าใจที่เขามีมาตลอดแต่เขายังมีสติอยู่ เฉี่ยวหลิงเป็นแบบนี้ เฟิ่งชูอิ่งน่าจะรู้ดีเขาถามว่า "คุณหนูของเจ้าอยู่ไหน?"ลูกตาของเฉี่ยวหลิงกลิ้งไปมาในเบ้าตา เกือบจะหลุดออกมาอีกรอบจิ่งสือเยี่ยน "......"หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ สถานการณ์เช่นนี้เกินความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิงเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า "ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้น!"เฉี่ยวหลิงมองเขาแล้วพูดว่า "จิตใจของเจ้าค่อนข้างเข้มแข็งดีนี่นา เจอแบบนี้ยังควบคุมตัวเองได้อีก"หลังจากพูดจบ นางก็จงใจลอยไปข้างๆ เขาแล้วถามว่า "เจ้าไม่กลัวข้าจริงๆ หรือ?"จิ่งสือเยี่ยนตอบว่า "กลัว! กลัวมาก! แต่ข้าคิดว่าผีก็ควรจะมีผีที่ดี และเจ้าก็เป็นผีที่ดีตัวนั้น"เฉี่ยวหลิงเบะปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดจาไพเราะน่าฟัง แต่ข้าก็ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี""ตอนนี้สารภาพมาซะดีๆ วันนี้เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?