“พวกเขาบอกว่าเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เป็นตัวการแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง พวกเขาจึงต้องการฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ!”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ลอบใช้มือสร้างมุทรายิงคาถาใส่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่เดิมสลบเหมือดไปแล้วก็พลันลืมตาขึ้นมา เขากระโจนลุกขึ้นมาแล้วถาโถมร่างใส่ฮองเฮาจนล้ม ก่อนจะเผยอปากจูบใบหน้าของฮองเฮาเนื่องจากเขาถูกตีสลบไปแล้ว อีกทั้งตอนที่ฮองเฮาปรากฏตัวคนทั้งหลายก็มัวแต่ถวายความเคารพ จึงไม่มีใครสนใจเขาอีกการที่เขาลุกขึ้นมากระโจนใส่ฮองเฮาจึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหมด จนไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามเขาได้ทันฮองเฮาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในยามปกตินางจะวางมาดนิ่งขรึม ทว่ายามนี้กลับไม่หลงเหลือความสุขุมเลยแม้แต่นิดเดียวเสียงหวีดแหลมยามเสียขวัญของนางบาดหูยิ่งกว่าสตรีทั่วไปเสียอีก “บังอาจ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะแล้ว จึงไม่คิดจะฟังคำสั่งของฮองเฮาแม้แต่น้อยเขาตะโบมจูบใบหน้าของฮองเฮาอย่างบ้าคลั่ง แม้นางจะพยายามหลบอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังโดนเขาจูบไปสองสามครั้งอยู่ดีบรรดานางกำนัลขันทีที่พากันตกใจก็พลันได้สติกลับมา พวกเขารีบเข้
มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกสูงขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “นางเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นก็ต้องอับอายขายหน้าเป็นธรรมดา”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ยามเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นพระนางรู้สึกขายหน้า แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ถึงพยายามใส่ร้ายป้ายสีข้าล่ะ?“มิใช่กล่าวกันว่าฮองเฮาคือพระมารดาแห่งแผ่นดิน เป็นผู้ที่งดงามเพียบพร้อม มีน้ำพระทัยกว้างขวางหรอกหรือ? ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “อาจเป็นเพราะนางยังไม่ใจกว้างมากพอ”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ “ในเมื่อพระนางทรงน้ำพระทัยไม่กว้างขวางพอ แล้วทำไมยังได้เป็นฮองเฮาล่ะเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยใช้นิ้วดีดหน้าผากของนางทีหนึ่งแล้วกล่าว “เด็กดื้อ เจ้าจะสงสัยอะไรนักหนาเล่า”เขากล่าวจบก็หันไปมองฮองเฮา “เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งจะเข้าวังเป็นครั้งแรก ยังคงไม่รู้ความมากนัก อาจจะมีข้อสงสัยมากไปเสียหน่อย ขอฮองเฮาอย่าได้ถือสาหาความ”ฮองเฮา “......”ทั้งสองคนนี้เล่นด่านางซึ่งๆ หน้า ด่าเสร็จแล้วยังบอกไม่ให้นางถือสาหาความอีก!เรื่องพรรค์นี้จะไม่ถือสาหาความได้อย่างไร?เดิมทีนางอยากจะฆ่าเฟิ่งชูอิ่งให้ตาย ทว่าตอนนี้นอกจากเฟิ่งชูอิ่ง
ฮองเฮาถูกด่าจนไม่กล้าพูดอะไรอีกไทเฮากล่าวย้ำว่า “อย่าคิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดชั่วร้ายของเจ้านะ!“ข้ายังไม่ทันตาย เจ้าก็ทำวังหลวงเต็มไปด้วยความอัปมงคลทุกหนแห่งแล้ว!“หากเจ้าจัดการวังหลังให้ดีไม่ได้ก็ส่งมอบอำนาจออกมาเสีย ในวังยังมีสนมชายาอีกมากที่ดูแลวังหลังแทนเจ้าได้”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเบาๆ ว่า “เสด็จย่า แม้คุณสมบัติของฮองเฮาจะด้อยไปบ้าง แต่นางก็เป็นถึงภรรยาเอกของเสด็จลุง ท่านก็ช่วยไว้หน้านางหน่อยเถอะ”หากเขาไม่พูดก็แล้วไปเถิด พอเขาเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ไทเฮาก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “เจ้าไม่ต้องช่วยพูดแทนนางเลย!“เจ้าดูสารรูปนางสิ สตรีที่ปากร้ายใจดำ ใจคอคับแคบเยี่ยงนี้ มีลักษณะเหมือนมารดาแห่งแผ่นดินสักนิดไหม!“วันๆ นางเอาแต่คิดจะจัดการคนนั้น ต่อกรกับคนนี้ ไม่เคยทำเรื่องดีๆ ที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลย“ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เจ้าดูสิว่านางจัดการดูแลวังหลวงจนมีสภาพแบบไหน?“กรมราชทัณฑ์สมควรจะเป็นสถานที่ที่มีความยุติธรรมมากที่สุด กลับถูกนางเปลี่ยนเป็นแหล่งซ่องสุมแสนโสมมไปแล้ว!”ไทเฮากล่าวจบก็หันมาหาเฟิ่งชูอิ่ง “เด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มีเสด็จย่าอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนก็รังแกเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น”เฟ
ไทเฮาหันไปสั่งนางกำนัลข้างกาย “พาแม่นางเฟิ่งไปล้างเนื้อล้างตัวข้างในเถอะ จากนั้นก็จัดเตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ให้นางด้วย”นางกำนัลคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพาเฟิ่งชูอิ่งเดินไปทางตำหนักข้างพอนางจากไป ไทเฮาก็หันไปคุยกับจิ่งโม่เยี่ย “น้อยครั้งนักที่เจ้าจะสนใจสตรีสักคน นางเป็นคนที่น่าสนใจมากจริงๆ“สถานที่แบบกรมราชทัณฑ์ นางเข้าไปแล้วกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย ช่างถูกใจข้าเสียจริงเชียว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าความจริงแล้วไทเฮาไม่ค่อยพอใจนักที่ฮ่องเต้เจาหยวนพระราชทานสมรสให้เฟิ่งชูอิ่งแต่งเป็นชายาเขา เพราะว่าฐานะของเฟิ่งชูอิ่งต่ำต้อยเกินไปและความจริงแล้วไทเฮาก็ทรงทราบเรื่องที่ฮองเฮาเรียกตัวเฟิ่งชูอิ่งเข้าวังด้วย ด้วยความสามารถของพระนางมีหรือจะปิดบังได้ หลายปีที่ผ่านมาไทเฮาทรงเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการแต่งงานของจิ่งโม่เยี่ยมาโดยตลอด ทว่าหลังจากว่าที่ภรรยาของเขาตายไปติดๆ เจ็ดคน ต่อให้ก่อนหน้านี้จะตื่นเต้นสักแค่ไหน ยามนี้ก็เหลือเพียงความเฉยชาแล้วดังนั้นนางจึงไม่ค่อยอยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ ทรงทราบดีว่าคราวนี้ฮองเฮาน่าจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมจัดการกับเฟิ่งชูอิ่งที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังเพียงแต่นางคิดไม่ถึง
ดังนั้นฮ่องเต้เจาหยวนจึงกอดสนมรักของตนเองแล้วหลับตานอนต่อ ทำเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นผลคือยามเช้าเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมา หัวหน้าขันทีก็ปรี่เข้ามารายงานเรื่องที่ฮองเฮาถูกลวนลามแล้วยังถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คนนั้นทำบัดสีอีก เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ฮองเฮาเป็นภรรยาคนแรกของเขา แม้ทั้งสองจะไม่ถึงขั้นรักใคร่ลึกซึ้ง แต่ฮองเฮาก็เป็นภรรยาเอกของเขา เกี่ยวพันถึงหน้าตาและเกียรติยศของตนเองทว่าฮองเฮากลับจัดการเฟิ่งชูอิ่งที่เป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าไร้บิดามารดาหนุนหลังไม่ได้ แล้วยังเกิดเรื่องสกปรกโสมมกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อีก เขาจึงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากหลังจากด่าฮองเฮาจนพอใจแล้ว เขาก็สั่งให้ฮองเฮาจัดการวังหลังให้ดี หากยังเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมาอีก เขาจะสั่งลงโทษให้หนักเลยเดิมทีฮองเฮาก็ถูกเฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งโม่เยี่ยเล่นงานจนโทสะสูงเทียมฟ้าแล้ว บัดนี้ยังถูกฮ่องเต้เจาหยวนด่าซ้ำอีก นางจึงโกรธจนแทบลมจับ เจี่ยนชุนนางกำนัลที่รู้ใจนางมากที่สุดก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยเอากระบี่แทงทะลุอกตายคาที่ไปแล้ว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ความเท่าเจี่ยนชุน ไม่รู้วิธีฉอเลาะปลอบใจนางตำหนักคุนหนิงของนางยังถูกเผาวอ
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อยากเทศนาบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาทันที!นางอดไม่ได้ที่จะแขวะจิ่งโม่เยี่ยว่า “ท่านอ๋อง ไม่ว่าใครหากตายไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้นแหละเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยเหล่ตามองเฟิ่งชูอิ่งแวบหนึ่ง “ข้าเห็นว่าเจ้าก็หาเรื่องตายอยู่ทุกวันนะ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ครู่ต่อมา นางก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยขับไล่ลงมาจากรถม้านางยังไม่ทันจะยืนมั่นคง รถม้าก็ห้อตะบึงผ่านร่างของนางไปอย่างว่องไว แรงเหวี่ยงแทบจะทำนางหมุนรอบตัวเอง เกือบล้มคว่ำไปกองกับพื้นนางโกรธจนกระทืบเท้าตึงตัง ชี้รถม้าตะโกนด่าว่า “จิ่งโม่เยี่ย ไอ้เจ้าลูก...”จิ่งโม่เยี่ยใช้มือเลิกม่านรถม้าขึ้นเล็กน้อย คำพูดที่จะหลุดจากปากของเฟิ่งชูอิ่งจึงหยุดชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนคำอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋องหล่อเหลามากเพคะ!”จิ่งโม่เยี่ยกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วปิดม่านลงดั่งเดิมเฟิ่งชูอิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่นด่าเสียงเบาว่า “ไอ้บุรุษชาติหมา ไอ้คนเฮงซวย สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่ถูกพระเอกฆ่าตาย!”นางด่าจบก็รู้สึกอัดอั้นตันใจไปหมดเครื่องประดับศีรษะชุดใหญ่ที่งดงามขนาดนั้น เผลอพริบตาเดียวก็ถูกชิงไปเสียแล้ว!โมโหชะมัด!เสียแรงนางอุตส่าห์คิดว่าเขากลายเป็
ฮว๋าซื่อได้ยินแล้วแทบเป็นลม “เจ้ายกเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นให้คนอื่นไปแล้ว?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ หากท่านป้าอยากได้เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นคืน ก็เข้าวังไปทวงจากขันทีพวกนั้นเองเถอะ“อ้อ แต่ตอนนั้นข้ามัวแต่ห่วงชีวิตตัวเอง ก็เลยไม่ทันถามว่าขันทีเหล่านั้นชื่อว่าอะไรกันบ้าง“ท่านป้าเป็นคนรอบรู้ จะต้องตามหาตัวพวกเขาเจอแน่นอนเจ้าค่ะ”นางกล่าวจบก็แสร้งทำเป็นหาวหวอดใหญ่ “ข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลย ง่วงจะตายอยู่แล้ว ข้าขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ”นางกล่าวจบก็ไม่สนใจใยดีฮว๋าซื่ออีก ก้าวฉับๆ กลับห้องตัวเองทันทีฮว๋าซื่อตะโกนอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้ารีบเข้าวังไปเอาเครื่องประดับศีรษะคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”หลินชูเจิ้งแม้จะเป็นรองเจ้ากรมขุนนางขั้นที่สาม แต่วังหลวงก็ไม่ใช่สถานที่ที่ฮว๋าซื่อจะเข้าออกตามอำเภอใจได้การบอกให้นางเข้าวังหลวงไปทวงเครื่องประดับศีรษะจากขันทีที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อ เป็นเรื่องที่ฟังดูเหลวไหลสิ้นดีเลยเฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมาแล้วกล่าว “ไม่ไปเจ้าค่ะ อยากไปท่านป้าก็ไปเองสิ”ฮว๋าซื่อคิดจะสั่งให้พวกบ่าวขวางเฟิ่งชูอิ่ง แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อพวก
บ่าวหญิงแซ่จูตอบกลับอย่างยินดี “ช่วงหลังมานี้บ่าวเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาเจ้าค่ะ“ฮูหยินวางใจได้เลย ขอแค่ข้ามีโอกาสลงมือ ข้าจะต้องฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นแน่นอน”ฮว๋าซื่อรู้สึกรำคาญจึงพยักหน้าเบาๆ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”หลังบ่าวหญิงแซ่จูออกไป หลินหว่านถิงก็เดินสวนเข้ามา นางกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าเฟิ่งชูอิ่งทำเครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดนั้นหายไปแล้ว?”ฮว๋าซื่อยังไม่ทันจะได้ตอบ นางก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห “นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าดีอย่างไรถึงทำแบบนั้น?”พวกเขาลืมสิ้นหมดแล้วว่าทุกวันนี้พวกเขาอยู่ดีมีสุขได้ เป็นเพราะอาศัยสมบัติจำนวนมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาด้วยในยามนั้นพวกเขาหลงลืมไปหมดแล้วว่าสมบัติเหล่านั้นของเฟิ่งชูอิ่ง อย่าว่าแต่เครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดเดียวเลย ต่อให้เป็นเครื่องประดับร้อยชุดก็ยังเทียบกันไม่ติด พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า สมบัติทั้งหมดที่เฟิ่งชูอิ่งขนมาล้วนเป็นทรัพย์สินของพวกเขามันคงจะดีมากหากการตายของเฟิ่งชูอิ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้จวนสกุลหลินได้ พวกเขาจะเหยียบย่ำศพของนางเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิมฮว๋าซื่อในยามนี้สงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท