ดังนั้นฮ่องเต้เจาหยวนจึงกอดสนมรักของตนเองแล้วหลับตานอนต่อ ทำเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นผลคือยามเช้าเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมา หัวหน้าขันทีก็ปรี่เข้ามารายงานเรื่องที่ฮองเฮาถูกลวนลามแล้วยังถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คนนั้นทำบัดสีอีก เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ฮองเฮาเป็นภรรยาคนแรกของเขา แม้ทั้งสองจะไม่ถึงขั้นรักใคร่ลึกซึ้ง แต่ฮองเฮาก็เป็นภรรยาเอกของเขา เกี่ยวพันถึงหน้าตาและเกียรติยศของตนเองทว่าฮองเฮากลับจัดการเฟิ่งชูอิ่งที่เป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าไร้บิดามารดาหนุนหลังไม่ได้ แล้วยังเกิดเรื่องสกปรกโสมมกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อีก เขาจึงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากหลังจากด่าฮองเฮาจนพอใจแล้ว เขาก็สั่งให้ฮองเฮาจัดการวังหลังให้ดี หากยังเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมาอีก เขาจะสั่งลงโทษให้หนักเลยเดิมทีฮองเฮาก็ถูกเฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งโม่เยี่ยเล่นงานจนโทสะสูงเทียมฟ้าแล้ว บัดนี้ยังถูกฮ่องเต้เจาหยวนด่าซ้ำอีก นางจึงโกรธจนแทบลมจับ เจี่ยนชุนนางกำนัลที่รู้ใจนางมากที่สุดก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยเอากระบี่แทงทะลุอกตายคาที่ไปแล้ว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ความเท่าเจี่ยนชุน ไม่รู้วิธีฉอเลาะปลอบใจนางตำหนักคุนหนิงของนางยังถูกเผาวอ
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อยากเทศนาบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาทันที!นางอดไม่ได้ที่จะแขวะจิ่งโม่เยี่ยว่า “ท่านอ๋อง ไม่ว่าใครหากตายไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรทั้งนั้นแหละเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยเหล่ตามองเฟิ่งชูอิ่งแวบหนึ่ง “ข้าเห็นว่าเจ้าก็หาเรื่องตายอยู่ทุกวันนะ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ครู่ต่อมา นางก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยขับไล่ลงมาจากรถม้านางยังไม่ทันจะยืนมั่นคง รถม้าก็ห้อตะบึงผ่านร่างของนางไปอย่างว่องไว แรงเหวี่ยงแทบจะทำนางหมุนรอบตัวเอง เกือบล้มคว่ำไปกองกับพื้นนางโกรธจนกระทืบเท้าตึงตัง ชี้รถม้าตะโกนด่าว่า “จิ่งโม่เยี่ย ไอ้เจ้าลูก...”จิ่งโม่เยี่ยใช้มือเลิกม่านรถม้าขึ้นเล็กน้อย คำพูดที่จะหลุดจากปากของเฟิ่งชูอิ่งจึงหยุดชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนคำอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋องหล่อเหลามากเพคะ!”จิ่งโม่เยี่ยกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วปิดม่านลงดั่งเดิมเฟิ่งชูอิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่นด่าเสียงเบาว่า “ไอ้บุรุษชาติหมา ไอ้คนเฮงซวย สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่ถูกพระเอกฆ่าตาย!”นางด่าจบก็รู้สึกอัดอั้นตันใจไปหมดเครื่องประดับศีรษะชุดใหญ่ที่งดงามขนาดนั้น เผลอพริบตาเดียวก็ถูกชิงไปเสียแล้ว!โมโหชะมัด!เสียแรงนางอุตส่าห์คิดว่าเขากลายเป็
ฮว๋าซื่อได้ยินแล้วแทบเป็นลม “เจ้ายกเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นให้คนอื่นไปแล้ว?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ หากท่านป้าอยากได้เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นคืน ก็เข้าวังไปทวงจากขันทีพวกนั้นเองเถอะ“อ้อ แต่ตอนนั้นข้ามัวแต่ห่วงชีวิตตัวเอง ก็เลยไม่ทันถามว่าขันทีเหล่านั้นชื่อว่าอะไรกันบ้าง“ท่านป้าเป็นคนรอบรู้ จะต้องตามหาตัวพวกเขาเจอแน่นอนเจ้าค่ะ”นางกล่าวจบก็แสร้งทำเป็นหาวหวอดใหญ่ “ข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลย ง่วงจะตายอยู่แล้ว ข้าขอตัวกลับห้องไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ”นางกล่าวจบก็ไม่สนใจใยดีฮว๋าซื่ออีก ก้าวฉับๆ กลับห้องตัวเองทันทีฮว๋าซื่อตะโกนอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้ารีบเข้าวังไปเอาเครื่องประดับศีรษะคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”หลินชูเจิ้งแม้จะเป็นรองเจ้ากรมขุนนางขั้นที่สาม แต่วังหลวงก็ไม่ใช่สถานที่ที่ฮว๋าซื่อจะเข้าออกตามอำเภอใจได้การบอกให้นางเข้าวังหลวงไปทวงเครื่องประดับศีรษะจากขันทีที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อ เป็นเรื่องที่ฟังดูเหลวไหลสิ้นดีเลยเฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมาแล้วกล่าว “ไม่ไปเจ้าค่ะ อยากไปท่านป้าก็ไปเองสิ”ฮว๋าซื่อคิดจะสั่งให้พวกบ่าวขวางเฟิ่งชูอิ่ง แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อพวก
บ่าวหญิงแซ่จูตอบกลับอย่างยินดี “ช่วงหลังมานี้บ่าวเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาเจ้าค่ะ“ฮูหยินวางใจได้เลย ขอแค่ข้ามีโอกาสลงมือ ข้าจะต้องฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นแน่นอน”ฮว๋าซื่อรู้สึกรำคาญจึงพยักหน้าเบาๆ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”หลังบ่าวหญิงแซ่จูออกไป หลินหว่านถิงก็เดินสวนเข้ามา นางกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าเฟิ่งชูอิ่งทำเครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดนั้นหายไปแล้ว?”ฮว๋าซื่อยังไม่ทันจะได้ตอบ นางก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห “นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าดีอย่างไรถึงทำแบบนั้น?”พวกเขาลืมสิ้นหมดแล้วว่าทุกวันนี้พวกเขาอยู่ดีมีสุขได้ เป็นเพราะอาศัยสมบัติจำนวนมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาด้วยในยามนั้นพวกเขาหลงลืมไปหมดแล้วว่าสมบัติเหล่านั้นของเฟิ่งชูอิ่ง อย่าว่าแต่เครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดเดียวเลย ต่อให้เป็นเครื่องประดับร้อยชุดก็ยังเทียบกันไม่ติด พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า สมบัติทั้งหมดที่เฟิ่งชูอิ่งขนมาล้วนเป็นทรัพย์สินของพวกเขามันคงจะดีมากหากการตายของเฟิ่งชูอิ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้จวนสกุลหลินได้ พวกเขาจะเหยียบย่ำศพของนางเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิมฮว๋าซื่อในยามนี้สงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึ
ก่อนหน้านี้นางตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ทราบดีว่าป้ายหยกชิ้นนี้พิเศษนิดหน่อย เพราะเป็นหยกบำรุงวิญญาณที่หาได้ยากยิ่งเพราะป้ายหยกชิ้นนี้แหละ นางจึงคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของบิดาร่างเดิมได้ เพียงแต่ในความทรงจำของร่างเดิม บิดาของนางเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนางชอบป้ายหยกชิ้นนี้มาก ดังนั้นวันที่ต้องเข้าวังถึงได้หยิบติดมือไปแล้วผูกไว้ที่เอวตอนนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็อยู่ด้วย แล้วยังมีนักพรตของสำนักโหรหลวงที่บุกเข้ามาในกรมราชทัณฑ์อีก นางจึงไม่รู้เลยว่าเฉี่ยวหลิงเข้ามาสิงในป้ายหยกของนางตอนไหนเฟิ่งชูอิ่งกล่าวยิ้มแย้ม “นี่เป็นทางที่เจ้าเลือกเอง ข้าไม่ซักไซ้หรอก“เพียงแต่เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย เจ้าออกจากกรมราชทัณฑ์ได้แล้วก็ถือว่าเป็นอิสระ เจ้าไปท่องเที่ยวทั่วพิภพเสียเถอะ!”เฉี่ยวหลิงส่ายหน้า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็คงจะออกจากกรมราชทัณฑ์ไม่ได้ ข้าคิดว่าจะอยู่รับใช้ตอบแทนบุญคุณเจ้าสักพัก”เฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก เจ้ามารับใช้ข้าแบบนี้ มันแตกต่างจากการไปเกิดใหม่เป็นข้ารับใช้คนอื่นตรงไหนล่ะ?”เฉี่ยวหลิงได้ยินนางพูดแบบนั้นก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนโต้กลับว่า “มันไม่เหมือนกันนะ! ก่อนหน้านี้ข้ารับใช้คนอ
บิดามารดาของเฟิ่งชูอิ่งจากไปตั้งแต่นางยังเด็ก หลุมศพของพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ตอนที่ร่างเดิมย้ายเข้ามาอยู่เมืองหลวงใหม่ๆ ก็นำป้ายวิญญาณของทั้งสองไปไว้ในอารามดังนั้นหากตอนนี้นางต้องบอกข่าวเรื่องงานแต่งให้บิดามารดาทราบ ก็ต้องเดินทางไปจุดธูปที่อารามเฟิ่งชูอิ่งพยักหน้ารับปาก ฮว๋าซื่อจึงช่วยนางจัดแจงเรื่องของจำเป็นในพิธีกราบไหว้ให้ยามปกติฮว๋าซื่อขี้เหนียวกับนางจะตายไป ทว่าครั้งนี้กลับจัดเตรียมของทำพิธีเซ่นไหว้ให้นางอย่างครบครันฮว๋าซื่อกล่าวกับนางด้วยท่าทางเป็นมิตร “ถึงเจ้าจะไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า แต่ในใจของข้าก็มองเจ้าเป็นดั่งบุตรสาวในอุทรเสมอมา“เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยจะได้ความนัก เรื่องอะไรก็ทำออกมาแย่ไปเสียหมด ข้าก็เลยอดที่จะกังวลไม่ได้“พอข้าร้อนใจขึ้นมาก็เลยพูดจาไม่น่าฟังไปหน่อย แต่ใจจริงข้าหวังดีต่อเจ้ามากนะ”หลังจากฮว๋าซื่อหายป่วยจากการถูกสาวใช้คนนั้นแทงจนบาดเจ็บ นางก็พักรักษาตัวจนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ เฟิ่งชูอิ่งค่อนข้างจะนับถือฮว๋าซื่อที่สามารถพูดจาโกหกได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ แล้วยังอ้างเหตุผลที่ฟังขึ้นเสียด้วย มิน่าเล่าร่างเดิมถึงได้ถูกพวกเขารังแกซ้ำๆ จนตายนา
มุมปากของนางยกสูงขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเลิกสูงเบาๆหลังจากเฟิ่งชูอิ่งสับเปลี่ยนของที่เป็นตัวแทนในคืนนั้น ฮวงจุ้ยของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนแปลงไปก่อนหน้านี้หลินชูเจิ้งสูบโชคชะตาจากร่างเดิม ส่งผลให้ช่วงหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขราบรื่นตอนนี้อาจจะยังไม่ชัดเจนมาก แต่พอผ่านไปอีกสักพักจวนสกุลหลินจะต้องเกิดเรื่องซวยขึ้นแน่ตอนที่นางคิดจะเดินไปขึ้นรถม้า กลับถูกฮว๋าซื่อใช้ข้ออ้างบอกว่ามิค่อยสบายนัก ไล่นางไปนั่งรถม้าคันข้างหลังแทนเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร นางเดินไปที่รถม้าคันข้างหลัง ตอนที่ก้าวขึ้นรถม้านางก็ลอบมองสารถีแวบหนึ่ง เยี่ยมมาก สารถีคือสามีของบ่าวหญิงแซ่จูนางเดินอ้อมไปที่รถม้าคันข้างหน้าแล้วบอกกับฮว๋าซื่อว่า “ท่านป้า พวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันเถอะ ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับท่านเยอะแยะเลย”ฮว๋าซื่อไม่อยากคุยกับนางแม้แต่น้อย จึงตอบว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ไม่อยากพูดคุยกับใคร”เฟิ่งชูอิ่งจึงแสร้งทำหน้าเสียดาย ยกมือลูบม้าเทียมรถของฮว๋าซื่อเบาๆ กล่าวว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ!”นางกล่าวจบก็เดินกลับมาที่รถม้าของตัวเอง ขยับเข้าไปใกล้สารถีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อเรื่องดวงไหม?”สารถี
เหมยเซียงไม่เคยขับรถม้ามาก่อน จึงตอบอย่างร้อนรน “ฮูหยิน บ่าวทำไม่ได้เจ้าค่ะ!”ฮว๋าซื่อตวาดลั่น “ปกติเจ้าก็เคยเห็นรถม้าขึ้นรถม้าออกบ่อย ดูมานานขนาดนั้นทำไมถึงทำอะไรไม่เป็นบ้างเลย เจ้าออกแรงดึงสายบังเหียนไว้ก็พอ!”เหมยเซียงรวบรวมความกล้าคว้าสายบังเหียนมาถือไว้ แต่ถึงนางจะเป็นสาวใช้ ก็เป็นสาวใช้ข้างกายของฮว๋าซื่อ ไม่เคยต้องทำงานหนักๆ มาก่อนเลย จะไปมีแรงควบคุมม้าที่กำลังคลั่งได้อย่างไร?นางร้องห่มร้องไห้ว่า “ฮูหยิน ดึงไม่ไหวเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดี?”ฮว๋าซื่อตระหนักดีว่าม้าตื่นเช่นนี้อันตรายขนาดไหน ยามนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจฐานะ จึงเข้าไปช่วยดึงสายบังเหียนม้าอีกแรงทว่ามันสายเกินไปแล้วม้าที่กำลังตื่นตระหนกวิ่งพล่านไม่เลือกเส้นทาง มันพุ่งตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งเพราะวิ่งมาเร็วมาก ยามที่ตกลงน้ำจึงมีแรงต้านมหาศาล ฮว๋าซื่อไม่ทันตั้งตัวจึงถูกลากลงไปในน้ำพร้อมรถพริบตาที่นางตกลงไปในน้ำ ศีรษะของฮว๋าซื่อหล่นกระแทกผิวน้ำเป็นอย่างแรก แรงปะทะทำให้นางสลบไปทันทีสารถีแซ่หลิวไม่ทันสังเกตเห็นว่าสารถีของรถม้าคันหน้าถูกม้าเตะสลบอยู่ข้างพงหญ้า เขาเห็นแค่รถม้าคันหน้าพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าจึงเต