เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงโครมครามดังไล่หลังมา หัวคิ้วก็ยกขึ้นเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเยือกเย็นสาวใช้คนนั้นนำทางนางไปที่เรือนของฮว๋าซื่อก่อน ฮว๋าซื่อที่พักรักษาตัวอยู่หลายวัน ตอนนี้จึงใกล้จะหายเป็นปกติแล้วตอนที่ฮว๋าซื่อมองเห็นนางแวบก็คิ้วกระตุกทันที ยิ่งเห็นเสื้อผ้าเก่าเก็บที่ใส่แล้วไม่พอดีตัวสักนิดของนาง หัวคิ้วของนางก็ยิ่งกระตุกหนักกว่าเดิมฮว๋าซื่อสั่งสาวใช้นางนั้นว่า “ไปเอาอาภรณ์ของคุณหนูใหญ่ที่เพิ่งตัดใหม่ตัวนั้นมา”แม้นางจะไม่ชอบขี้หน้าเฟิ่งชูอิ่งมาก แต่นางก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ หากมีข่าวลือว่านางละเลยเฟิ่งชูอิ่งเล็ดรอดออกไป คงไม่เป็นผลดีต่อนางนักวันนี้เฟิ่งชูอิ่งต้องเข้าวังไปพบเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะปล่อยให้ผู้อื่นครหาไม่ได้ แน่นอนว่าเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดจะเกรงใจนาง “งั้นก็หยิบชุดเครื่องประดับทับทิมของญาติผู้พี่ออกมาด้วยละกัน”ฮว๋าซื่อหันขวับมาทางนาง นางจึงยิ้มบางๆ ว่า “ท่านป้าได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจในเมืองหลวงแห่งนี้ คิดว่าคงไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะข้ากระมังเจ้าคะ!”ฮว๋าซื่อคิดว่าหลังจากเฟิ่งชูอิ่งกลับมาจากอารามครานั้น นางก็ราวกับคนถูกผีเข้าเสียจร
บ่าวหญิงแซ่จูรีบตอบทันที “ขอแค่ฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นได้ ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”ฮว๋าซื่อพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้างั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง ถึงตอนนั้นเจ้าก็หาโอกาสลงมือเสีย”บ่าวหญิงแซ่จูเข้าใจความหมายที่ฮว๋าซื่อต้องการสื่อทันที จึงโขกศีรษะให้อีกฝ่ายแล้วกลับไปเตรียมตัวฮว๋าซื่อเห็นท่าทางของบ่าวหญิงแซ่จูก็ยกยิ้มมุมปาก เฟิ่งชูอิ่งสร้างปัญหาให้นางมากขนาดนี้ นางจำเป็นจะต้องรีบจำกัดอีกฝ่ายทิ้งโดยไวขณะเดียวกัน เฟิ่งชูอิ่งกำลังอ้าปากหาวหวอดๆ นางเดินตามขันทีมาขึ้นรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวงตอนที่อยู่บนรถม้า นางก็ยัดเงินใส่มือของขันทีคนนั้นจากที่ขันทีคนนั้นไม่พอใจที่ต้องยืนรอนานนางๆ หลังจากลองชั่งน้ำหนักเงินในมือดูก็อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วนกอปรกับใบหน้าที่น่ารักอ่อนหวาน ท่าทางว่านอนสอนง่าย และฝีปากที่ประจบสอพลอเก่งไม่เป็นสองรองใคร นางจึงซื้อใจคนได้ไม่ยากขันทีคนนั้นจึงข้อควรระวังเวลาเข้าวังให้นางฟัง สุดท้ายยังเตือนนางอีกว่า “ครั้งนี้เจ้าได้เข้าวัง เพราะฮองเฮาทรงอยากพบหน้าแม่นาง”เฟิ่งชูอิ่งพลันเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของจ
นางไม่รู้หรอกว่าฮองเฮาตั้งใจจะแสดงอำนาจข่มนางหรือไม่ แต่นางรู้ว่าอำนาจของราชวงศ์ในยุคสมัยนี้ถือเป็นเด็ดขาด ฐานะของนางในปัจจุบันนี้ หากสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นในวัง มีหวังได้ถูกบั่นคอกันพอดีแต่จะให้นางยืนรออยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช้รูปแบบของนางอีกนั่นแหละนางมองเห็นม่านที่แขวนประดับอยู่ตรงคานตำหนัก แผนการก็ผุดขึ้นมาในใจทันทีนางหยิบปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะออกมา ส่วนหัวของปิ่นชิ้นนั้นมีรอยบุ๋มอยู่แห่งหนึ่ง นางทำการปรับแต่งมันเล็กน้อย ก่อนจะเสียบไว้บนศีรษะเหมือนเดิมจากนั้นนางก็ขยับเปลี่ยนองศาอย่างแนบเนียน ทำให้ปิ่นปักผมรวมแสงสะท้อนไปบนผ้าม่านในตำหนัก แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนใช้เวลาประมาณครึ่งเค่อ ผ้าม่านผืนนั้นก็ลุกไหม้ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ควันก็ลอยขโมงไปทั่ว ในตำหนักเต็มไปด้วยความอลหม่านมุมปากของเฟิ่งชูอิ่งพลันยกสูงเล็กน้อย นางอยากจะเห็นนักว่าฮองเฮาจะทนอยู่ในนั้นได้อีกนานแค่ไหนไม่นานนัก เพลิงก็ลุกลามหนัก ฮองเฮากับบรรดาองค์หญิงทั้งหลายพากันหนีตายออกมาจากตำหนักคุนหนิง นางกำนัลขันทีวิ่งวุ่นเพื่อหาทางดับไฟหลังจากเฟิ่งชูอิ่งวางเพลิงเรียบร้อย นางก็ยื่นมือไปปรับทิศทา
“เรื่องพวกนี้แม้ทางด้านท่านราชครูจะยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา แต่กลับเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้กันหมด“แม่นางเฟิ่งคนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่นามสกุลเฟิ่ง[footnoteRef:1]อย่างเดียว ก็ถือว่าเป็นการล่วงเกินฮองเฮาแล้วเพคะ [1: เฟิ่ง แปลว่าหงส์เพลิงหรือฟีนิกซ์] “ฮองเฮาต่างหากที่ทรงเป็นหงส์อย่างแท้จริง นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าใช้แซ่เฟิ่ง?”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนกสุดขีดหรือนี่จะเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บในตำนาน จงใจหาข้ออ้างมาใส่ร้ายเพื่อลงโทษก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินว่าในวัง จะมีข้ารับใช้จำพวกหนึ่งที่กลิ้งกลอกสับปลับและโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่านางเพิ่งเข้าวังมาวันแรกก็ได้เจอกับตัวเสียแล้วนางเอ่ยเสียงเบาว่า “แซ่สกุลเป็นสิ่งที่สืบทอดจากบิดามารดา เหตุไฉนถึงเป็นความผิดของข้าไปได้?”นางกำนัลคนนั้นตะคอกเสียงดุ “เจ้าคนไม่มีมารยาท ฮองเฮาทรงตรัสอยู่ เจ้ามีสิทธิ์สอดปากงั้นหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แล้วทำไมเจ้าถึงสอดปากได้ล่ะ?”นางกำนัลคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชูอิ่งผู้ขี้ขลาดตาขาวจะกล้ายอกย้อนตนเอง!นางเบนหน้าไปทางฮองเฮา “ฮองเฮา ทรงทอดพ
เจี่ยนชุนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มรับคำว่า “ดวงชะตาของอ๋องฉู่พิเศษนักเพคะ เขาทำว่าที่พระชายาตัวเองตายไปแล้วถึงเจ็ดคน“บุตรสาวขุนนางในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าแต่งงานกับเขาสักคน ฮองเฮาทรงเมตตายิ่งนัก ถึงได้ลงทุนลงแรงเสาะหาว่าที่พระชายาให้เขาเช่นนี้“แค่หาว่าที่พระชายาคนใหม่ให้เขาได้ก็ดีมากแล้วเพคะ จะยังเรื่องมากได้อย่างไร?”ฮองเฮาหันมองเจี่ยนชุนและกล่าวว่า “ระวังคำพูดด้วย”เจี่ยนชุนรีบยกมือตบปากตัวเองเบาๆ กล่าวว่า “บ่าวปากพล่อย ฮองเฮาโปรดลงโทษด้วยเพคะ”ฮองเฮากล่าวเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้แล้วไปเถิด แต่จากนี้อย่าพูดอะไรเช่นนี้อีก”เจี่ยนชุนพยักหน้ารัวๆ รับคำ ‘เพคะ’นางรู้ว่าฮองเฮามิได้ถือสาที่นางพูดจาเช่นนี้จริงๆ หรอก ตรงกันข้าม ฮองเฮาชื่นชอบให้คนพูดแบบนี้มากเชียวล่ะแต่เพราะฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดินแต่เพราะฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดิน จึงต้องแสดงภาพลักษณ์ใจดีมีเมตตาเท่านั้นเองฮองเฮากล่าวกับเจี่ยนชุนว่า “เจ้าสั่งการไปที่กรมราชทัณฑ์ บอกพวกเขาว่าอย่าได้ทำให้ว่าที่พระชายาในอ๋องฉู่ตกใจกลัว”เจี่ยนชุนเข้าใจความหมายของฮองเฮา “บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ รับรองว่าไม่ทำให้ว่าที่พระชายาอ๋องฉู่หวาดกล
“ข้าจะบอกเจ้าตามตรงเลยก็แล้วกันนะ นับแต่เจ้าก้าวเข้ามาในกรมราชทัณฑ์ของข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไปในสภาพดีๆ เลย“หากวันนี้เจ้ายอมให้ความร่วมมือกับข้าโดยดี ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัวมากนัก”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยท่าทางตื่นกลัว “ฮองเฮาทรงมีรับสั่งว่าห้ามใช้การทรมานกับข้า!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ยิ้มตอบว่า “มีใครบ้างที่เข้ามาในกรมราชทัณฑ์แล้วจะไม่ถูกลงทัณฑ์ทรมาน“เพราะถึงอย่างไรกรมราชทัณฑ์ของพวกเรา ก็ถนัดเรื่องวิธีการทรมานนักโทษอยู่แล้ว ทว่าคนอื่นไม่มีทางมองออกหรอกว่าเจ้าโดนทำร้าย”เขาพูดขณะยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของนาง แต่นางหันหลบแล้วถอยไปอีกฝั่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่คว้าได้เพียงความว่างเปล่าก็แสดงความไม่พอใจผ่านทางสายตาเขายื่นมือออกมาแล้วนวดนิ้วตัวเองเบาๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนแม่นางเฟิ่งจะชอบดื่มสุราจับกรอกมากกว่าสุราคารวะ“ช่วยไม่ได้นะ เดี๋ยวข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าได้ประจักษ์เอง”เฟิ่งชูอิ่งลอบสังเกตเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เงียบๆ พบว่าอีกฝ่ายมองนางด้วยสายตากระลิ้มกะเหลี่ย พลันใจหายวาบเล็กน้อยก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินมาว่าพวกขันทีในวังหลวง เพราะอวัยวะบางส่วนในร่างกายขาดหายไม่
เฉี่ยวหลิงตอบเสียงสะอื้น “ข้าไม่เป็นไร ชินแล้วล่ะ ถึงเรื่องแบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน แต่อย่างน้อยๆ สองสามวันก็ต้องเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เพราะงั้นข้าชินชากับมันแล้วแหละ”นางเอ่ยจบก็ด่าทอว่า “เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! พวกวิญญาณตายโหงอย่างข้าไม่มีสิทธิ์เวียนว่ายตายเกิดก็แล้วไปเถิด แต่นี่แม้แต่จะแก้แค้นยังทำไม่ได้เลย!”“ต้องทนมองศัตรูเดินไปเดินมาผ่านหน้าทุกวัน แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้เลย ไอ้สวรรค์เฮงซวย!”นางด่าจบก็หันมาวอแวกับเฟิ่งชูอิ่งต่อ “ข้าบอกเลยนะ คราวนี้เจ้าได้ตายของจริงแน่“นังสารเลวฮองเฮานั่นจิตใจโหดเหี้ยมจะตายไป นางไม่ยอมให้ว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่รอดชีวิตสักคน“ขันทีที่ทำงานในกรมราชทัณฑ์มีแต่พวกโรคจิตทั้งนั้น พวกเขาทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าชนิดที่เจ้าคาดคิดไม่ถึงเชียวแหละ”เฟิ่งชูอิ่งถาม “เลวทรามแค่ไหนล่ะ?”เฉี่ยวหลิงมองนางแล้วหัวเราะคิกคัก “อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง”แววตาของเฟิ่งชูอิ่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยถามนางอีกครั้ง “หากเจ้ามีโอกาสล้างแค้นคนชั่วพวกนั้น เจ้าจะคว้าเอาไว้ไหม?”เฉี่ยวหลิง “แน่นอนอยู่แล้วสิ แต่เมื่อกี้เจ้าก็เห็นไปแล้วนี่นา แค่ข้ามีจิตอาฆาตขึ้นมานิดเด
“นางกำนัลที่ถูกส่งตัวเข้ามา หากพวกเขามองว่านางไม่มีโอกาสกลับออกไป หรือต่อให้ได้กลับออกไปก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเหลือ ก็จะตกเป็นของเล่นของพวกเขาทั้งหมด”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ถกกางเกงลง แล้วนำของสิ่งนั้นสวมไว้ตรงบริเวณหว่างขาเสียงหัวเราะหื่นกระหายดังกระหึ่มยิ่งกว่าเก่า มีขันทีผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ใต้เท้า นางกำนัลคนนี้ไม่เห็นจะน่าสนุกเลย ท่านมิสู้ไปเล่นสนุกกับแม่นางเฟิ่งโดยตรงล่ะ”“อย่างไรเสียนางก็จะต้องตายอยู่แล้ว อ๋องฉู่ก็เป็นแค่ขยะไร้ค่า ไม่มีเวลามาสนใจนางหรอกขอรับ”“ข้ายังได้ยินมาว่านางเป็นแค่เด็กกำพร้า โดนลุงแท้ๆ มัดมือชกให้กลายเป็นว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่”“คนแบบนาง อยากจะเล่นสนุกแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่อให้พลั้งมือฆ่าตายก็ไม่มีใครออกหน้าแทนนางหรอก”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คิดว่าคำพูดของพวกเขามีเหตุผลมาก จึงถามว่า “ลงกลอนประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์หรือยัง?”ขันทีคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ปิดเรียบร้อยแล้วขอรับ ประตูกรมราชทัณฑ์ของพวกเราไม่เหมือนกับประตูของที่อื่นๆ“เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงดังรบกวนผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวัง ดังนั้นช่องว่างทั้งหมดจึงถูกอุดปิดอย่างแน่นหนา ต่อให้ข้างในนี้จะเกิดเรื่องวุ่นวายสักแค่ไหน