เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงโครมครามดังไล่หลังมา หัวคิ้วก็ยกขึ้นเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเยือกเย็นสาวใช้คนนั้นนำทางนางไปที่เรือนของฮว๋าซื่อก่อน ฮว๋าซื่อที่พักรักษาตัวอยู่หลายวัน ตอนนี้จึงใกล้จะหายเป็นปกติแล้วตอนที่ฮว๋าซื่อมองเห็นนางแวบก็คิ้วกระตุกทันที ยิ่งเห็นเสื้อผ้าเก่าเก็บที่ใส่แล้วไม่พอดีตัวสักนิดของนาง หัวคิ้วของนางก็ยิ่งกระตุกหนักกว่าเดิมฮว๋าซื่อสั่งสาวใช้นางนั้นว่า “ไปเอาอาภรณ์ของคุณหนูใหญ่ที่เพิ่งตัดใหม่ตัวนั้นมา”แม้นางจะไม่ชอบขี้หน้าเฟิ่งชูอิ่งมาก แต่นางก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ หากมีข่าวลือว่านางละเลยเฟิ่งชูอิ่งเล็ดรอดออกไป คงไม่เป็นผลดีต่อนางนักวันนี้เฟิ่งชูอิ่งต้องเข้าวังไปพบเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะปล่อยให้ผู้อื่นครหาไม่ได้ แน่นอนว่าเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดจะเกรงใจนาง “งั้นก็หยิบชุดเครื่องประดับทับทิมของญาติผู้พี่ออกมาด้วยละกัน”ฮว๋าซื่อหันขวับมาทางนาง นางจึงยิ้มบางๆ ว่า “ท่านป้าได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจในเมืองหลวงแห่งนี้ คิดว่าคงไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะข้ากระมังเจ้าคะ!”ฮว๋าซื่อคิดว่าหลังจากเฟิ่งชูอิ่งกลับมาจากอารามครานั้น นางก็ราวกับคนถูกผีเข้าเสียจร
บ่าวหญิงแซ่จูรีบตอบทันที “ขอแค่ฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นได้ ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”ฮว๋าซื่อพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้างั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง ถึงตอนนั้นเจ้าก็หาโอกาสลงมือเสีย”บ่าวหญิงแซ่จูเข้าใจความหมายที่ฮว๋าซื่อต้องการสื่อทันที จึงโขกศีรษะให้อีกฝ่ายแล้วกลับไปเตรียมตัวฮว๋าซื่อเห็นท่าทางของบ่าวหญิงแซ่จูก็ยกยิ้มมุมปาก เฟิ่งชูอิ่งสร้างปัญหาให้นางมากขนาดนี้ นางจำเป็นจะต้องรีบจำกัดอีกฝ่ายทิ้งโดยไวขณะเดียวกัน เฟิ่งชูอิ่งกำลังอ้าปากหาวหวอดๆ นางเดินตามขันทีมาขึ้นรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวงตอนที่อยู่บนรถม้า นางก็ยัดเงินใส่มือของขันทีคนนั้นจากที่ขันทีคนนั้นไม่พอใจที่ต้องยืนรอนานนางๆ หลังจากลองชั่งน้ำหนักเงินในมือดูก็อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วนกอปรกับใบหน้าที่น่ารักอ่อนหวาน ท่าทางว่านอนสอนง่าย และฝีปากที่ประจบสอพลอเก่งไม่เป็นสองรองใคร นางจึงซื้อใจคนได้ไม่ยากขันทีคนนั้นจึงข้อควรระวังเวลาเข้าวังให้นางฟัง สุดท้ายยังเตือนนางอีกว่า “ครั้งนี้เจ้าได้เข้าวัง เพราะฮองเฮาทรงอยากพบหน้าแม่นาง”เฟิ่งชูอิ่งพลันเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของจ
นางไม่รู้หรอกว่าฮองเฮาตั้งใจจะแสดงอำนาจข่มนางหรือไม่ แต่นางรู้ว่าอำนาจของราชวงศ์ในยุคสมัยนี้ถือเป็นเด็ดขาด ฐานะของนางในปัจจุบันนี้ หากสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นในวัง มีหวังได้ถูกบั่นคอกันพอดีแต่จะให้นางยืนรออยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช้รูปแบบของนางอีกนั่นแหละนางมองเห็นม่านที่แขวนประดับอยู่ตรงคานตำหนัก แผนการก็ผุดขึ้นมาในใจทันทีนางหยิบปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะออกมา ส่วนหัวของปิ่นชิ้นนั้นมีรอยบุ๋มอยู่แห่งหนึ่ง นางทำการปรับแต่งมันเล็กน้อย ก่อนจะเสียบไว้บนศีรษะเหมือนเดิมจากนั้นนางก็ขยับเปลี่ยนองศาอย่างแนบเนียน ทำให้ปิ่นปักผมรวมแสงสะท้อนไปบนผ้าม่านในตำหนัก แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนใช้เวลาประมาณครึ่งเค่อ ผ้าม่านผืนนั้นก็ลุกไหม้ เพียงครู่เดียวเท่านั้น ควันก็ลอยขโมงไปทั่ว ในตำหนักเต็มไปด้วยความอลหม่านมุมปากของเฟิ่งชูอิ่งพลันยกสูงเล็กน้อย นางอยากจะเห็นนักว่าฮองเฮาจะทนอยู่ในนั้นได้อีกนานแค่ไหนไม่นานนัก เพลิงก็ลุกลามหนัก ฮองเฮากับบรรดาองค์หญิงทั้งหลายพากันหนีตายออกมาจากตำหนักคุนหนิง นางกำนัลขันทีวิ่งวุ่นเพื่อหาทางดับไฟหลังจากเฟิ่งชูอิ่งวางเพลิงเรียบร้อย นางก็ยื่นมือไปปรับทิศทา
“เรื่องพวกนี้แม้ทางด้านท่านราชครูจะยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา แต่กลับเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้กันหมด“แม่นางเฟิ่งคนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่นามสกุลเฟิ่ง[footnoteRef:1]อย่างเดียว ก็ถือว่าเป็นการล่วงเกินฮองเฮาแล้วเพคะ [1: เฟิ่ง แปลว่าหงส์เพลิงหรือฟีนิกซ์] “ฮองเฮาต่างหากที่ทรงเป็นหงส์อย่างแท้จริง นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าใช้แซ่เฟิ่ง?”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนกสุดขีดหรือนี่จะเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บในตำนาน จงใจหาข้ออ้างมาใส่ร้ายเพื่อลงโทษก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินว่าในวัง จะมีข้ารับใช้จำพวกหนึ่งที่กลิ้งกลอกสับปลับและโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่านางเพิ่งเข้าวังมาวันแรกก็ได้เจอกับตัวเสียแล้วนางเอ่ยเสียงเบาว่า “แซ่สกุลเป็นสิ่งที่สืบทอดจากบิดามารดา เหตุไฉนถึงเป็นความผิดของข้าไปได้?”นางกำนัลคนนั้นตะคอกเสียงดุ “เจ้าคนไม่มีมารยาท ฮองเฮาทรงตรัสอยู่ เจ้ามีสิทธิ์สอดปากงั้นหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แล้วทำไมเจ้าถึงสอดปากได้ล่ะ?”นางกำนัลคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชูอิ่งผู้ขี้ขลาดตาขาวจะกล้ายอกย้อนตนเอง!นางเบนหน้าไปทางฮองเฮา “ฮองเฮา ทรงทอดพ
เจี่ยนชุนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มรับคำว่า “ดวงชะตาของอ๋องฉู่พิเศษนักเพคะ เขาทำว่าที่พระชายาตัวเองตายไปแล้วถึงเจ็ดคน“บุตรสาวขุนนางในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าแต่งงานกับเขาสักคน ฮองเฮาทรงเมตตายิ่งนัก ถึงได้ลงทุนลงแรงเสาะหาว่าที่พระชายาให้เขาเช่นนี้“แค่หาว่าที่พระชายาคนใหม่ให้เขาได้ก็ดีมากแล้วเพคะ จะยังเรื่องมากได้อย่างไร?”ฮองเฮาหันมองเจี่ยนชุนและกล่าวว่า “ระวังคำพูดด้วย”เจี่ยนชุนรีบยกมือตบปากตัวเองเบาๆ กล่าวว่า “บ่าวปากพล่อย ฮองเฮาโปรดลงโทษด้วยเพคะ”ฮองเฮากล่าวเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้แล้วไปเถิด แต่จากนี้อย่าพูดอะไรเช่นนี้อีก”เจี่ยนชุนพยักหน้ารัวๆ รับคำ ‘เพคะ’นางรู้ว่าฮองเฮามิได้ถือสาที่นางพูดจาเช่นนี้จริงๆ หรอก ตรงกันข้าม ฮองเฮาชื่นชอบให้คนพูดแบบนี้มากเชียวล่ะแต่เพราะฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดินแต่เพราะฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดิน จึงต้องแสดงภาพลักษณ์ใจดีมีเมตตาเท่านั้นเองฮองเฮากล่าวกับเจี่ยนชุนว่า “เจ้าสั่งการไปที่กรมราชทัณฑ์ บอกพวกเขาว่าอย่าได้ทำให้ว่าที่พระชายาในอ๋องฉู่ตกใจกลัว”เจี่ยนชุนเข้าใจความหมายของฮองเฮา “บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ รับรองว่าไม่ทำให้ว่าที่พระชายาอ๋องฉู่หวาดกล
“ข้าจะบอกเจ้าตามตรงเลยก็แล้วกันนะ นับแต่เจ้าก้าวเข้ามาในกรมราชทัณฑ์ของข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไปในสภาพดีๆ เลย“หากวันนี้เจ้ายอมให้ความร่วมมือกับข้าโดยดี ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัวมากนัก”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยท่าทางตื่นกลัว “ฮองเฮาทรงมีรับสั่งว่าห้ามใช้การทรมานกับข้า!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ยิ้มตอบว่า “มีใครบ้างที่เข้ามาในกรมราชทัณฑ์แล้วจะไม่ถูกลงทัณฑ์ทรมาน“เพราะถึงอย่างไรกรมราชทัณฑ์ของพวกเรา ก็ถนัดเรื่องวิธีการทรมานนักโทษอยู่แล้ว ทว่าคนอื่นไม่มีทางมองออกหรอกว่าเจ้าโดนทำร้าย”เขาพูดขณะยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของนาง แต่นางหันหลบแล้วถอยไปอีกฝั่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่คว้าได้เพียงความว่างเปล่าก็แสดงความไม่พอใจผ่านทางสายตาเขายื่นมือออกมาแล้วนวดนิ้วตัวเองเบาๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนแม่นางเฟิ่งจะชอบดื่มสุราจับกรอกมากกว่าสุราคารวะ“ช่วยไม่ได้นะ เดี๋ยวข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าได้ประจักษ์เอง”เฟิ่งชูอิ่งลอบสังเกตเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เงียบๆ พบว่าอีกฝ่ายมองนางด้วยสายตากระลิ้มกะเหลี่ย พลันใจหายวาบเล็กน้อยก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินมาว่าพวกขันทีในวังหลวง เพราะอวัยวะบางส่วนในร่างกายขาดหายไม่
เฉี่ยวหลิงตอบเสียงสะอื้น “ข้าไม่เป็นไร ชินแล้วล่ะ ถึงเรื่องแบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน แต่อย่างน้อยๆ สองสามวันก็ต้องเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เพราะงั้นข้าชินชากับมันแล้วแหละ”นางเอ่ยจบก็ด่าทอว่า “เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! พวกวิญญาณตายโหงอย่างข้าไม่มีสิทธิ์เวียนว่ายตายเกิดก็แล้วไปเถิด แต่นี่แม้แต่จะแก้แค้นยังทำไม่ได้เลย!”“ต้องทนมองศัตรูเดินไปเดินมาผ่านหน้าทุกวัน แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้เลย ไอ้สวรรค์เฮงซวย!”นางด่าจบก็หันมาวอแวกับเฟิ่งชูอิ่งต่อ “ข้าบอกเลยนะ คราวนี้เจ้าได้ตายของจริงแน่“นังสารเลวฮองเฮานั่นจิตใจโหดเหี้ยมจะตายไป นางไม่ยอมให้ว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่รอดชีวิตสักคน“ขันทีที่ทำงานในกรมราชทัณฑ์มีแต่พวกโรคจิตทั้งนั้น พวกเขาทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าชนิดที่เจ้าคาดคิดไม่ถึงเชียวแหละ”เฟิ่งชูอิ่งถาม “เลวทรามแค่ไหนล่ะ?”เฉี่ยวหลิงมองนางแล้วหัวเราะคิกคัก “อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้เอง”แววตาของเฟิ่งชูอิ่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยถามนางอีกครั้ง “หากเจ้ามีโอกาสล้างแค้นคนชั่วพวกนั้น เจ้าจะคว้าเอาไว้ไหม?”เฉี่ยวหลิง “แน่นอนอยู่แล้วสิ แต่เมื่อกี้เจ้าก็เห็นไปแล้วนี่นา แค่ข้ามีจิตอาฆาตขึ้นมานิดเด
“นางกำนัลที่ถูกส่งตัวเข้ามา หากพวกเขามองว่านางไม่มีโอกาสกลับออกไป หรือต่อให้ได้กลับออกไปก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเหลือ ก็จะตกเป็นของเล่นของพวกเขาทั้งหมด”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ถกกางเกงลง แล้วนำของสิ่งนั้นสวมไว้ตรงบริเวณหว่างขาเสียงหัวเราะหื่นกระหายดังกระหึ่มยิ่งกว่าเก่า มีขันทีผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ใต้เท้า นางกำนัลคนนี้ไม่เห็นจะน่าสนุกเลย ท่านมิสู้ไปเล่นสนุกกับแม่นางเฟิ่งโดยตรงล่ะ”“อย่างไรเสียนางก็จะต้องตายอยู่แล้ว อ๋องฉู่ก็เป็นแค่ขยะไร้ค่า ไม่มีเวลามาสนใจนางหรอกขอรับ”“ข้ายังได้ยินมาว่านางเป็นแค่เด็กกำพร้า โดนลุงแท้ๆ มัดมือชกให้กลายเป็นว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่”“คนแบบนาง อยากจะเล่นสนุกแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่อให้พลั้งมือฆ่าตายก็ไม่มีใครออกหน้าแทนนางหรอก”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คิดว่าคำพูดของพวกเขามีเหตุผลมาก จึงถามว่า “ลงกลอนประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์หรือยัง?”ขันทีคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ปิดเรียบร้อยแล้วขอรับ ประตูกรมราชทัณฑ์ของพวกเราไม่เหมือนกับประตูของที่อื่นๆ“เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงดังรบกวนผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวัง ดังนั้นช่องว่างทั้งหมดจึงถูกอุดปิดอย่างแน่นหนา ต่อให้ข้างในนี้จะเกิดเรื่องวุ่นวายสักแค่ไหน
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที
ต้องออกจากเมืองหลวงให้ได้ เขาถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงกองกำลังของเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ตอนนี้เขาต้องออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับพวกเขาตราบใดที่พวกเขารวมตัวกันได้ เขาก็จะปลอดภัยเพียงแต่เรื่องนี้ พูดง่าย แต่ทำได้ยากเพราะอีกไม่นานจิ่งโม่เยี่ยก็จะรู้ตัวว่าเขาหนีออกมาแล้ว จากนั้นก็จะส่งทหารมาตามล่าเขาดังนั้นเขาต้องรีบออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!วันนี้ตอนที่เขาเข้าวัง เขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ เขากลัวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ของเขารอเขาอยู่นอกวังตอนนี้ทหารองครักษ์ของเขาตามหาเขาพบแล้ว เขาจึงออกคำสั่งว่า "ออกจากเมืองหลวง"ทหารองครักษ์ทำท่าลำบากใจแล้วรายงานว่า "ตอนที่ท่านอ๋องเข้าวัง พวกข้าได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง สืบดูสถานการณ์ในเมืองหลวงแล้ว""เป็นอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ อ๋องผู้สำเร็จราชการได้สั่งปิดประตูเมืองแล้ว""ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดทุกบาน พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว"จิ่งสือเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ไม่เป็นไร ที่ประตูติ้งหวามีคนของข้าอยู่ พวกเราจะไปที่ประตูติ้งหวากัน"ทหารองครักษ์ตอบรับ แล้วรีบพาเขาไปทางนั้นพวกเขาไม่ท
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยมุดนะ”ปู๋เยี่ยโหวนึกอยากจะเถียงว่าเขามุดรูหมาลอดตอนไหน แต่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กๆ ได้ จึงเงียบปากลงทันทีจิ่งโม่เยี่ยพูดต่อ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องใหญ่ในวังหลวงอีกแล้ว?”พอเขาเข้าวัง ก็มีทหารมาเล่าเรื่องที่ศพฮ่องเต้เจาหยวนถูกทำลายจนแหลกละเอียดให้ฟังคนอื่นอาจจะโดนปู๋เยี่ยโหวหลอกได้ แต่จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางโดนหลอกแน่นอนเขารู้ว่าปู๋เยี่ยโหวต้องเป็นคนทำลายศพฮ่องเต้แน่ๆปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้ว “เรื่องนั้นข้าไม่ได้ทำจริงๆ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นพยานให้ข้าได้”จิ่งโม่เยี่ยได้แต่หัวเราะในใจกับคำพูดนี้ ใครบ้างไม่รู้จักนิสัยของปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเขา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ ปู๋เยี่ยโหวจึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้เจาหยวนยังไม่ตาย”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขา ปู๋เยี่ยโหวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบตอนแรกปู๋เยี่ยโหวคิดว่าฮ่องเต้เจาหยวนถูกผีสิง แต่เขาก็นึกถึงที่เฟิ่งชูอิ่งเคยบอกว่าวิญญาณร้ายเข้าวังหลวงไม่ได้ดังนั้น ตอนที่ฮ่องเต้เจาหยวนดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในโลงศพ คงต้องมีแผนการบางอย่างแน่แต่ฮ่อ
เฟิ่งชูอิ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “ไม่เห็นจะปัญญาอ่อนเลย ข้าว่าเขาเป็นแบบนี้น่ารักจะตาย”เหมยตงยวนกลอกตาไปมา เขามองไม่เห็นจริงๆ ว่าจิ่งโม่เยี่ยน่ารักตรงไหนเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว ข้าว่าท่านพ่อพูดถูก เขาโง่จริงๆ นั่นแหละ”“ขนาดเดินยังไม่ถูกทางเลย ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร?”มุมปากของเหมยตงยวนกระตุกเบาๆถึงแม้เขาจะรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้เพื่อปลอบใจเขา แต่มันก็ปิดกั้นความรู้สึกดีของเขาไม่ได้ลูกสาวของเขายังคงเอาใจใส่เขา คอยดูแลความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อเสมอถึงแม้ว่าเหมยตงยวนจะรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขา แต่เขาก็พอจะยอมรับจิ่งโม่เยี่ยได้อย่างมากที่สุดก็คือตอนที่จิ่งโม่เยี่ยทำไม่ดีกับเฟิ่งชูอิ่งในอนาคต เขาจะไปซ้อมจิ่งโม่เยี่ยให้หนักเองเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “มืดแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”วันนี้นางใช้พลังทำนายมากเกินไป ร่างกายจึงอ่อนล้า ต้องพักผ่อนให้เพียงพอตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกมึนหัวจริงๆ นางเดินโซเซกลับไปที่ห้องของตัวเองแต่เมื่อนางกลับมาที่ห้อง นางกลับพบว่าตัวเองนอนไม่หลับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่อ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช
เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า
ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น
เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”