“นางกำนัลที่ถูกส่งตัวเข้ามา หากพวกเขามองว่านางไม่มีโอกาสกลับออกไป หรือต่อให้ได้กลับออกไปก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเหลือ ก็จะตกเป็นของเล่นของพวกเขาทั้งหมด”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ถกกางเกงลง แล้วนำของสิ่งนั้นสวมไว้ตรงบริเวณหว่างขาเสียงหัวเราะหื่นกระหายดังกระหึ่มยิ่งกว่าเก่า มีขันทีผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ใต้เท้า นางกำนัลคนนี้ไม่เห็นจะน่าสนุกเลย ท่านมิสู้ไปเล่นสนุกกับแม่นางเฟิ่งโดยตรงล่ะ”“อย่างไรเสียนางก็จะต้องตายอยู่แล้ว อ๋องฉู่ก็เป็นแค่ขยะไร้ค่า ไม่มีเวลามาสนใจนางหรอกขอรับ”“ข้ายังได้ยินมาว่านางเป็นแค่เด็กกำพร้า โดนลุงแท้ๆ มัดมือชกให้กลายเป็นว่าที่พระชายาของอ๋องฉู่”“คนแบบนาง อยากจะเล่นสนุกแค่ไหนก็ย่อมได้ ต่อให้พลั้งมือฆ่าตายก็ไม่มีใครออกหน้าแทนนางหรอก”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คิดว่าคำพูดของพวกเขามีเหตุผลมาก จึงถามว่า “ลงกลอนประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์หรือยัง?”ขันทีคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ปิดเรียบร้อยแล้วขอรับ ประตูกรมราชทัณฑ์ของพวกเราไม่เหมือนกับประตูของที่อื่นๆ“เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงดังรบกวนผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวัง ดังนั้นช่องว่างทั้งหมดจึงถูกอุดปิดอย่างแน่นหนา ต่อให้ข้างในนี้จะเกิดเรื่องวุ่นวายสักแค่ไหน
เฟิ่งชูอิ่งใช้เท้าเหยียบยอดหน้าของเขา ก่อนจะกดลงพื้นแล้วขยี้ไปมา หัวเราะเสียงใสว่า “แค่นี้ก็ถือว่าจองหองแล้วหรือ? เจ้าช่างความรู้ตื้นเขินเสียจริงเชียว!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ “!!!!!”นับตั้งแต่เขารับหน้าที่ควบคุมดูแลกรมราชทัณฑ์ ก็ถือว่าเป็นคนที่มีอำนาจในวังหลวงพอสมควรหากเป็นสถานการณ์โดยทั่วไป ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับเขาแน่นอน!เขาจึงคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งกำลังหาเรื่องตายชัดๆ!เขาสบถอย่างโกรธเคือง “พวกเจ้ามัวยืนโง่อยู่ทำไมล่ะ? ยังไม่รีบมาลากตัวนังสารเลวนี่ออกไปอีก!”ทว่ากลับไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเขาเลยแม้แต่คนเดียวเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์พยายามหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะพบว่าลูกน้องทั้งหมดของเขากำลังยืนตาเหลือก คล้ายถูกอะไรบางอย่างบีบคอจนหายใจไม่ออก ภาพที่เห็นชวนอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย เขาจึงเอ่ยด้วยความตระหนกว่า “เจ้าทำอะไรกับพวกเขา?”คิ้วเรียวของเฟิ่งชูอิ่งกระดกขึ้นเล็กน้อย “ลองเดาสิ!”เฉี่ยวหลิงกระโดดมายืนตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไม่ถูกไอมังกรโจมตีจริงด้วย!“หมายความว่าวันนี้พวกเราก็ทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจเลยสิ?”ตอนที่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์สั่งให้ลูกน้องเข้าไปช่วย นางลองยื่นมือเข
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตาหยีใส่เขาแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นใครงั้นหรือ? ขอคิดแปปนะ ตอนนี้ข้าน่าจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมให้คนที่ตายโดยไร้ความผิดกระมัง!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ “......”ก่อนหน้านี้เขาคิดว่านางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอรังแกง่าย ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่านางนี่แหละ คนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเขาประสานมือให้นาง “แม่นางเฟิ่ง ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แล้ว ได้โปรดยกโทษให้ข้าสักครั้งเถอะนะ!”เฟิ่งชูอิ่งใช้หางตาเหล่มองเขาแล้วเอ่ยว่า “หากการขอโทษของเจ้าทำให้คนบริสุทธิ์ที่ตายไปฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ข้าก็อาจจะยอมยกโทษให้เจ้า“เจ้าจะลองดูสักหน่อยไหมล่ะ ว่าคนบริสุทธิ์ที่ตายไปพวกนั้นฟื้นคืนชีพได้หรือไม่?”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ “......”เรื่องนั้นมันทำได้ที่ไหนกันเล่า!เฟิ่งชูอิ่งกล่าวต่อว่า “เมื่อครู่นี้เจ้ายังอวดเก่งอยู่เลย แล้วยังคิดจะทำเรื่องพรรค์นั้นกับข้าอีก?”“ในเมื่อจิตใจของเจ้ามันสกปรก ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะช่วยทำให้มันสะอาดเอง”นางกล่าวจบก็หยิบมีดเลาะกระดูกเล่มหนึ่งออกมาจากบรรดาเครื่องมือทรมาน ก่อนจะแทงใส่บริเวณท้องน้อยของเขาเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ “!!!!!!”เขาแผดร้องเสียงหลง ดังก้อง
ทั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนปราการที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ ชวนให้เขารู้สึกท้อแท้เหลือเกินทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ก็ถูกคนผู้หนึ่งถีบจนเปิดกว้าง คนที่อยู่หน้าประตูชักกระบี่แล้วเดินดุ่มๆ เข้ามาในกรมราชทัณฑ์ด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่านประกายคมกระบี่เล่มนั้นเปี่ยมจิตสังหารที่แสนอหังการ ฟันค่ายกลมายาที่พวกวิญญาณร้ายสร้างขึ้นมาจนพังพินาศเฟิ่งชูอิ่งและวิญญาณร้ายทั้งหมดหันกลับไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนถือกระบี่อยู่หน้าประตูทางเข้าเขาในยามนี้สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ สายลมยามราตรีกาลพัดชายอาภรณ์พลิ้วไหว เรือนผมสีน้ำหมึกปลิวไสว นัยน์ตาดอกท้อสีดำขลับทอประกายจิตสังหารอันโหดเหี้ยมหากมองเพียงภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนเทพเซียนที่ลงมายังแดนมนุษย์ แต่หากมองเข้าไปในแววตาของเขา จะพบว่าอีกฝ่ายเป็นเทพสังหารผู้เบื่อหน่ายโลกตอนที่เขาทอดสายตามองเข้ามาด้านใน ความเกลียดชังและหงุดหงิดยังปรากฏให้เห็นชัดในแววตาทว่าตอนที่เขามองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดๆ เขากลับชะงักไปเล็กน้อยเฟิ่งชูอิ่งที่มองเห็นเขาเผลอหยุดมือที่ตีกลองไปชั่วขณะ ทว่าวิญญาณร้ายที่ตีฆ้องกลับไม่ยอม
พริบตาที่ประตูกรมราชทัณฑ์ถูกปิด ค่ายกลก็สามารถต้านไอมังกรจากด้านนอกได้อีกครั้งจิ่งโม่เยี่ยสัมผัสได้ถึงพลังงานเย็นวาบที่เคลื่อนตัวผ่านข้างกายเขาไป แต่กลับมองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไรแต่ประสบการณ์ของเขาบอกว่า สถานที่แห่งนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่อาจรับรู้ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศวังเวงหนาวเหน็บแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องวิญญาณร้ายทั้งหลายเริ่มงานกันอย่างขยันขันแข็ง ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดเพียงจะสังหารคนกรมราชทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม ทว่าการปรากฏตัวของจิ่งโม่เยี่ยกลับทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าต้องฆ่าคนโดยไวที่สุดพวกเขาจึงลงมือกันอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่นานเสียงโหยหวนชวนสยองของพวกคนในกรมราชทัณฑ์ก็ดังขึ้นอีกครั้งร่างกายของพวกเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง เพียงแค่เห็นก็พิศวงจนบอกไม่ถูกแล้วเฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือนวดหว่างคิ้วเบาๆ การปรากฏตัวของจิ่งโม่เยี่ยทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผิดแผนไปหมดในสถานการณ์แบบนี้ นางต้องแก้ตัวอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ว่านางเป็นแค่คนธรรมดาล่ะ?จิ่งโม่เยี่ยหันไปทางเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหลังโดนเฉี่ยวหลิงใช้อิฐทุบหัวไป จากที่จิ่งโม่เยี่ยไม่เชื่อว่านางถูกผีร้ายสิงร่างก็กลายเป็นเชื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เขาถูกอิฐทุบหัวแบบนั้น นางกลัวว่าเขาจะผูกใจเจ็บนี่สิแต่ในเมื่อนางแสดงงิ้วมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องแสดงต่อไปให้ถึงที่สุดแม้จะตะขิดตะขวงใจ แต่นางกลับคลี่ยิ้มด้วยท่าทางร้ายกาจ “นี่มิเรียกว่าความกล้า มันเรียกว่าความสามารถ เพราะคนที่ไม่มีความสามารถต่อให้มีความกล้าก็ทำไม่ได้หรอก”จิตสังหารฉายผ่านดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวลมาก “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังหาเรื่องตายมากกว่า!”เฟิ่งชูอิ่งตอบยิ้มๆ “ท่านอ๋องแน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิเพคะ ดูสิว่ากระบี่ของท่านจะฆ่าข้าให้ตายได้หรือไม่“แต่ถึงตอนนั้นกว่าข้าจะตาย ว่าที่พระชายาของท่านก็คงจะชิงตายไปก่อนแล้ว“ท่านบุกเข้ามาในวังกลางดึกเช่นนี้ น่าจะมาช่วยเหลือนางมิใช่หรือ?“ไอ้หยา ท่านคงไม่ได้มีใจให้นางแล้วกระมัง?”ประโยคสุดท้ายนางตั้งใจเอ่ยเพื่อกลั่นแกล้งเขาล้วนๆ เพราะตอนนี้นางกำลังเล่นบทผีสางมารร้ายที่สิงร่างผู้อื่นอยู่ ดังนั้นถึงต้องแสดงความชั่วร้ายออกมาให้เ
คนที่บุกเข้ามาคือนักพรตเต๋าที่เป็นเวรประจำวันของสำนักโหรหลวง พร้อมกับขันทีอีกจำนวนหนึ่งพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็พากันตื่นตกใจ นักพรตเต๋าคนนั้นตะโกนด้วยท่าทางดุร้าย “วิญญาณร้าย คิดจะหนีไปไหนกัน?”เพียงแค่ก้าวเข้ามาด้านในเขาก็รีบเปิดเนตรทิพย์ของตนเอง ชักดาบไม้ท้อ[footnoteRef:1]ออกมาเตรียมจะจัดการพวกวิญญาณร้าย [1: คนจีนเชื่อกันว่าไม้ท้อสามารถขับไล่ภูตผีได้ จึงมักถูกนำมาใช้เป็นอาวุธของพวกนักพรต] พริบตาที่เขาเบิกเนตรทิพย์ขึ้นมา เขาก็มองเห็นวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่ที่มีทุกรูปร่างลักษณะอัดแน่นอยู่ภายในทว่าในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายทั้งหมดนั่นก็ถูกสวดส่งจนสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของเขานักพรตได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความโง่งม เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดด้วยซ้ำไปเขายกมือขยี้ตาสักพัก เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณร้ายเหล่านั้นก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้วในขณะเดียวกันไอมังกรก็พัดถาโถมเข้ามาจากด้านนอก ทว่าวนเวียนรอบกรมราชทัณฑ์แล้วก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ต้องจัดการ มันจึงสลายหายไปเช่นกันเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ยังรอดชีวิตอยู่รีบตะโกนเสียงหลงว่า “ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย!”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงร้องขอค
จิ่งโม่เยี่ยก้มมองเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนคราหนึ่ง เอาล่ะ เขามั่นใจหนึ่งอย่างแล้ว ความสามารถของนางเหนือยิ่งกว่านักพรตเต๋าที่มีพรสวรรค์สูงสุดในสำนักโหรหลวงเสียอีกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์หัวเราะอย่างเสียสติ “ข้าเป็นชายชาตรี ข้าเป็นบุรุษอกสามศอก ข้าจะหลับนอนกับสตรีทุกคนในใต้หล้าเลย!”เขากล่าวจบก็ใช้มือจับของสิ่งนั้นที่ผูกอยู่ตรงช่วงเอว จ่อไปที่ส่วนท้องน้อยของขันทีผู้หนึ่งแล้วดันมันเข้าไปนางกำนัลคนหนึ่งทนดูไม่ไหวอีกต่อไป จึงคว้าท่อนไม้ขึ้นมาฟาดหลังศีรษะของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จนสลบเหมือดไปสันติสุขจึงหวนคืนสู่โลกหล้าอีกครั้งขันทีกลุ่มหนึ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือ จับร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เหวี่ยงออกจากตัวของขันทีผู้โชคร้ายคนนั้นก่อนที่เสียงเข้มงวดของใครคนหนึ่งจะดังมาจากข้างๆ “ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงนั้นก็ทราบทันทีว่าฮองเฮามาถึงแล้วนางไตร่ตรองในใจ ต้องทำอย่างไรถึงจะสั่งสอนบทเรียนที่ฮองเฮาจะต้องจดจำไปจนวันตาย โดยที่ไม่หลงเหลือหลักฐานให้อีกฝ่ายมาเอาผิดได้ขันทีที่อยู่แถวนั้นรีบใช้ผ้านวมห่มคลุมร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จากนั้นก็กราบทูลเหตุการณ์ทั้งหม
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที
ต้องออกจากเมืองหลวงให้ได้ เขาถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงกองกำลังของเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ตอนนี้เขาต้องออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับพวกเขาตราบใดที่พวกเขารวมตัวกันได้ เขาก็จะปลอดภัยเพียงแต่เรื่องนี้ พูดง่าย แต่ทำได้ยากเพราะอีกไม่นานจิ่งโม่เยี่ยก็จะรู้ตัวว่าเขาหนีออกมาแล้ว จากนั้นก็จะส่งทหารมาตามล่าเขาดังนั้นเขาต้องรีบออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!วันนี้ตอนที่เขาเข้าวัง เขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ เขากลัวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ของเขารอเขาอยู่นอกวังตอนนี้ทหารองครักษ์ของเขาตามหาเขาพบแล้ว เขาจึงออกคำสั่งว่า "ออกจากเมืองหลวง"ทหารองครักษ์ทำท่าลำบากใจแล้วรายงานว่า "ตอนที่ท่านอ๋องเข้าวัง พวกข้าได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง สืบดูสถานการณ์ในเมืองหลวงแล้ว""เป็นอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ อ๋องผู้สำเร็จราชการได้สั่งปิดประตูเมืองแล้ว""ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดทุกบาน พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว"จิ่งสือเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ไม่เป็นไร ที่ประตูติ้งหวามีคนของข้าอยู่ พวกเราจะไปที่ประตูติ้งหวากัน"ทหารองครักษ์ตอบรับ แล้วรีบพาเขาไปทางนั้นพวกเขาไม่ท
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยมุดนะ”ปู๋เยี่ยโหวนึกอยากจะเถียงว่าเขามุดรูหมาลอดตอนไหน แต่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กๆ ได้ จึงเงียบปากลงทันทีจิ่งโม่เยี่ยพูดต่อ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องใหญ่ในวังหลวงอีกแล้ว?”พอเขาเข้าวัง ก็มีทหารมาเล่าเรื่องที่ศพฮ่องเต้เจาหยวนถูกทำลายจนแหลกละเอียดให้ฟังคนอื่นอาจจะโดนปู๋เยี่ยโหวหลอกได้ แต่จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางโดนหลอกแน่นอนเขารู้ว่าปู๋เยี่ยโหวต้องเป็นคนทำลายศพฮ่องเต้แน่ๆปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้ว “เรื่องนั้นข้าไม่ได้ทำจริงๆ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นพยานให้ข้าได้”จิ่งโม่เยี่ยได้แต่หัวเราะในใจกับคำพูดนี้ ใครบ้างไม่รู้จักนิสัยของปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเขา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ ปู๋เยี่ยโหวจึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้เจาหยวนยังไม่ตาย”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขา ปู๋เยี่ยโหวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบตอนแรกปู๋เยี่ยโหวคิดว่าฮ่องเต้เจาหยวนถูกผีสิง แต่เขาก็นึกถึงที่เฟิ่งชูอิ่งเคยบอกว่าวิญญาณร้ายเข้าวังหลวงไม่ได้ดังนั้น ตอนที่ฮ่องเต้เจาหยวนดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในโลงศพ คงต้องมีแผนการบางอย่างแน่แต่ฮ่อ
เฟิ่งชูอิ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “ไม่เห็นจะปัญญาอ่อนเลย ข้าว่าเขาเป็นแบบนี้น่ารักจะตาย”เหมยตงยวนกลอกตาไปมา เขามองไม่เห็นจริงๆ ว่าจิ่งโม่เยี่ยน่ารักตรงไหนเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว ข้าว่าท่านพ่อพูดถูก เขาโง่จริงๆ นั่นแหละ”“ขนาดเดินยังไม่ถูกทางเลย ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร?”มุมปากของเหมยตงยวนกระตุกเบาๆถึงแม้เขาจะรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้เพื่อปลอบใจเขา แต่มันก็ปิดกั้นความรู้สึกดีของเขาไม่ได้ลูกสาวของเขายังคงเอาใจใส่เขา คอยดูแลความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อเสมอถึงแม้ว่าเหมยตงยวนจะรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขา แต่เขาก็พอจะยอมรับจิ่งโม่เยี่ยได้อย่างมากที่สุดก็คือตอนที่จิ่งโม่เยี่ยทำไม่ดีกับเฟิ่งชูอิ่งในอนาคต เขาจะไปซ้อมจิ่งโม่เยี่ยให้หนักเองเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “มืดแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”วันนี้นางใช้พลังทำนายมากเกินไป ร่างกายจึงอ่อนล้า ต้องพักผ่อนให้เพียงพอตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกมึนหัวจริงๆ นางเดินโซเซกลับไปที่ห้องของตัวเองแต่เมื่อนางกลับมาที่ห้อง นางกลับพบว่าตัวเองนอนไม่หลับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่อ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช
เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า
ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น
เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”