เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหลังโดนเฉี่ยวหลิงใช้อิฐทุบหัวไป จากที่จิ่งโม่เยี่ยไม่เชื่อว่านางถูกผีร้ายสิงร่างก็กลายเป็นเชื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เขาถูกอิฐทุบหัวแบบนั้น นางกลัวว่าเขาจะผูกใจเจ็บนี่สิแต่ในเมื่อนางแสดงงิ้วมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องแสดงต่อไปให้ถึงที่สุดแม้จะตะขิดตะขวงใจ แต่นางกลับคลี่ยิ้มด้วยท่าทางร้ายกาจ “นี่มิเรียกว่าความกล้า มันเรียกว่าความสามารถ เพราะคนที่ไม่มีความสามารถต่อให้มีความกล้าก็ทำไม่ได้หรอก”จิตสังหารฉายผ่านดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวลมาก “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังหาเรื่องตายมากกว่า!”เฟิ่งชูอิ่งตอบยิ้มๆ “ท่านอ๋องแน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิเพคะ ดูสิว่ากระบี่ของท่านจะฆ่าข้าให้ตายได้หรือไม่“แต่ถึงตอนนั้นกว่าข้าจะตาย ว่าที่พระชายาของท่านก็คงจะชิงตายไปก่อนแล้ว“ท่านบุกเข้ามาในวังกลางดึกเช่นนี้ น่าจะมาช่วยเหลือนางมิใช่หรือ?“ไอ้หยา ท่านคงไม่ได้มีใจให้นางแล้วกระมัง?”ประโยคสุดท้ายนางตั้งใจเอ่ยเพื่อกลั่นแกล้งเขาล้วนๆ เพราะตอนนี้นางกำลังเล่นบทผีสางมารร้ายที่สิงร่างผู้อื่นอยู่ ดังนั้นถึงต้องแสดงความชั่วร้ายออกมาให้เ
คนที่บุกเข้ามาคือนักพรตเต๋าที่เป็นเวรประจำวันของสำนักโหรหลวง พร้อมกับขันทีอีกจำนวนหนึ่งพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็พากันตื่นตกใจ นักพรตเต๋าคนนั้นตะโกนด้วยท่าทางดุร้าย “วิญญาณร้าย คิดจะหนีไปไหนกัน?”เพียงแค่ก้าวเข้ามาด้านในเขาก็รีบเปิดเนตรทิพย์ของตนเอง ชักดาบไม้ท้อ[footnoteRef:1]ออกมาเตรียมจะจัดการพวกวิญญาณร้าย [1: คนจีนเชื่อกันว่าไม้ท้อสามารถขับไล่ภูตผีได้ จึงมักถูกนำมาใช้เป็นอาวุธของพวกนักพรต] พริบตาที่เขาเบิกเนตรทิพย์ขึ้นมา เขาก็มองเห็นวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่ที่มีทุกรูปร่างลักษณะอัดแน่นอยู่ภายในทว่าในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายทั้งหมดนั่นก็ถูกสวดส่งจนสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของเขานักพรตได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความโง่งม เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดด้วยซ้ำไปเขายกมือขยี้ตาสักพัก เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณร้ายเหล่านั้นก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้วในขณะเดียวกันไอมังกรก็พัดถาโถมเข้ามาจากด้านนอก ทว่าวนเวียนรอบกรมราชทัณฑ์แล้วก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ต้องจัดการ มันจึงสลายหายไปเช่นกันเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ยังรอดชีวิตอยู่รีบตะโกนเสียงหลงว่า “ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย!”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงร้องขอค
จิ่งโม่เยี่ยก้มมองเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนคราหนึ่ง เอาล่ะ เขามั่นใจหนึ่งอย่างแล้ว ความสามารถของนางเหนือยิ่งกว่านักพรตเต๋าที่มีพรสวรรค์สูงสุดในสำนักโหรหลวงเสียอีกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์หัวเราะอย่างเสียสติ “ข้าเป็นชายชาตรี ข้าเป็นบุรุษอกสามศอก ข้าจะหลับนอนกับสตรีทุกคนในใต้หล้าเลย!”เขากล่าวจบก็ใช้มือจับของสิ่งนั้นที่ผูกอยู่ตรงช่วงเอว จ่อไปที่ส่วนท้องน้อยของขันทีผู้หนึ่งแล้วดันมันเข้าไปนางกำนัลคนหนึ่งทนดูไม่ไหวอีกต่อไป จึงคว้าท่อนไม้ขึ้นมาฟาดหลังศีรษะของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จนสลบเหมือดไปสันติสุขจึงหวนคืนสู่โลกหล้าอีกครั้งขันทีกลุ่มหนึ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือ จับร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เหวี่ยงออกจากตัวของขันทีผู้โชคร้ายคนนั้นก่อนที่เสียงเข้มงวดของใครคนหนึ่งจะดังมาจากข้างๆ “ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงนั้นก็ทราบทันทีว่าฮองเฮามาถึงแล้วนางไตร่ตรองในใจ ต้องทำอย่างไรถึงจะสั่งสอนบทเรียนที่ฮองเฮาจะต้องจดจำไปจนวันตาย โดยที่ไม่หลงเหลือหลักฐานให้อีกฝ่ายมาเอาผิดได้ขันทีที่อยู่แถวนั้นรีบใช้ผ้านวมห่มคลุมร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จากนั้นก็กราบทูลเหตุการณ์ทั้งหม
“พวกเขาบอกว่าเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เป็นตัวการแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง พวกเขาจึงต้องการฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ!”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ลอบใช้มือสร้างมุทรายิงคาถาใส่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่เดิมสลบเหมือดไปแล้วก็พลันลืมตาขึ้นมา เขากระโจนลุกขึ้นมาแล้วถาโถมร่างใส่ฮองเฮาจนล้ม ก่อนจะเผยอปากจูบใบหน้าของฮองเฮาเนื่องจากเขาถูกตีสลบไปแล้ว อีกทั้งตอนที่ฮองเฮาปรากฏตัวคนทั้งหลายก็มัวแต่ถวายความเคารพ จึงไม่มีใครสนใจเขาอีกการที่เขาลุกขึ้นมากระโจนใส่ฮองเฮาจึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหมด จนไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามเขาได้ทันฮองเฮาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในยามปกตินางจะวางมาดนิ่งขรึม ทว่ายามนี้กลับไม่หลงเหลือความสุขุมเลยแม้แต่นิดเดียวเสียงหวีดแหลมยามเสียขวัญของนางบาดหูยิ่งกว่าสตรีทั่วไปเสียอีก “บังอาจ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะแล้ว จึงไม่คิดจะฟังคำสั่งของฮองเฮาแม้แต่น้อยเขาตะโบมจูบใบหน้าของฮองเฮาอย่างบ้าคลั่ง แม้นางจะพยายามหลบอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังโดนเขาจูบไปสองสามครั้งอยู่ดีบรรดานางกำนัลขันทีที่พากันตกใจก็พลันได้สติกลับมา พวกเขารีบเข้
มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกสูงขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “นางเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นก็ต้องอับอายขายหน้าเป็นธรรมดา”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ยามเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นพระนางรู้สึกขายหน้า แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ถึงพยายามใส่ร้ายป้ายสีข้าล่ะ?“มิใช่กล่าวกันว่าฮองเฮาคือพระมารดาแห่งแผ่นดิน เป็นผู้ที่งดงามเพียบพร้อม มีน้ำพระทัยกว้างขวางหรอกหรือ? ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “อาจเป็นเพราะนางยังไม่ใจกว้างมากพอ”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ “ในเมื่อพระนางทรงน้ำพระทัยไม่กว้างขวางพอ แล้วทำไมยังได้เป็นฮองเฮาล่ะเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยใช้นิ้วดีดหน้าผากของนางทีหนึ่งแล้วกล่าว “เด็กดื้อ เจ้าจะสงสัยอะไรนักหนาเล่า”เขากล่าวจบก็หันไปมองฮองเฮา “เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งจะเข้าวังเป็นครั้งแรก ยังคงไม่รู้ความมากนัก อาจจะมีข้อสงสัยมากไปเสียหน่อย ขอฮองเฮาอย่าได้ถือสาหาความ”ฮองเฮา “......”ทั้งสองคนนี้เล่นด่านางซึ่งๆ หน้า ด่าเสร็จแล้วยังบอกไม่ให้นางถือสาหาความอีก!เรื่องพรรค์นี้จะไม่ถือสาหาความได้อย่างไร?เดิมทีนางอยากจะฆ่าเฟิ่งชูอิ่งให้ตาย ทว่าตอนนี้นอกจากเฟิ่งชูอิ่ง
ฮองเฮาถูกด่าจนไม่กล้าพูดอะไรอีกไทเฮากล่าวย้ำว่า “อย่าคิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดชั่วร้ายของเจ้านะ!“ข้ายังไม่ทันตาย เจ้าก็ทำวังหลวงเต็มไปด้วยความอัปมงคลทุกหนแห่งแล้ว!“หากเจ้าจัดการวังหลังให้ดีไม่ได้ก็ส่งมอบอำนาจออกมาเสีย ในวังยังมีสนมชายาอีกมากที่ดูแลวังหลังแทนเจ้าได้”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเบาๆ ว่า “เสด็จย่า แม้คุณสมบัติของฮองเฮาจะด้อยไปบ้าง แต่นางก็เป็นถึงภรรยาเอกของเสด็จลุง ท่านก็ช่วยไว้หน้านางหน่อยเถอะ”หากเขาไม่พูดก็แล้วไปเถิด พอเขาเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ไทเฮาก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “เจ้าไม่ต้องช่วยพูดแทนนางเลย!“เจ้าดูสารรูปนางสิ สตรีที่ปากร้ายใจดำ ใจคอคับแคบเยี่ยงนี้ มีลักษณะเหมือนมารดาแห่งแผ่นดินสักนิดไหม!“วันๆ นางเอาแต่คิดจะจัดการคนนั้น ต่อกรกับคนนี้ ไม่เคยทำเรื่องดีๆ ที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลย“ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เจ้าดูสิว่านางจัดการดูแลวังหลวงจนมีสภาพแบบไหน?“กรมราชทัณฑ์สมควรจะเป็นสถานที่ที่มีความยุติธรรมมากที่สุด กลับถูกนางเปลี่ยนเป็นแหล่งซ่องสุมแสนโสมมไปแล้ว!”ไทเฮากล่าวจบก็หันมาหาเฟิ่งชูอิ่ง “เด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มีเสด็จย่าอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนก็รังแกเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น”เฟ
ไทเฮาหันไปสั่งนางกำนัลข้างกาย “พาแม่นางเฟิ่งไปล้างเนื้อล้างตัวข้างในเถอะ จากนั้นก็จัดเตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ให้นางด้วย”นางกำนัลคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพาเฟิ่งชูอิ่งเดินไปทางตำหนักข้างพอนางจากไป ไทเฮาก็หันไปคุยกับจิ่งโม่เยี่ย “น้อยครั้งนักที่เจ้าจะสนใจสตรีสักคน นางเป็นคนที่น่าสนใจมากจริงๆ“สถานที่แบบกรมราชทัณฑ์ นางเข้าไปแล้วกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย ช่างถูกใจข้าเสียจริงเชียว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าความจริงแล้วไทเฮาไม่ค่อยพอใจนักที่ฮ่องเต้เจาหยวนพระราชทานสมรสให้เฟิ่งชูอิ่งแต่งเป็นชายาเขา เพราะว่าฐานะของเฟิ่งชูอิ่งต่ำต้อยเกินไปและความจริงแล้วไทเฮาก็ทรงทราบเรื่องที่ฮองเฮาเรียกตัวเฟิ่งชูอิ่งเข้าวังด้วย ด้วยความสามารถของพระนางมีหรือจะปิดบังได้ หลายปีที่ผ่านมาไทเฮาทรงเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการแต่งงานของจิ่งโม่เยี่ยมาโดยตลอด ทว่าหลังจากว่าที่ภรรยาของเขาตายไปติดๆ เจ็ดคน ต่อให้ก่อนหน้านี้จะตื่นเต้นสักแค่ไหน ยามนี้ก็เหลือเพียงความเฉยชาแล้วดังนั้นนางจึงไม่ค่อยอยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ ทรงทราบดีว่าคราวนี้ฮองเฮาน่าจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมจัดการกับเฟิ่งชูอิ่งที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังเพียงแต่นางคิดไม่ถึง
ดังนั้นฮ่องเต้เจาหยวนจึงกอดสนมรักของตนเองแล้วหลับตานอนต่อ ทำเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นผลคือยามเช้าเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมา หัวหน้าขันทีก็ปรี่เข้ามารายงานเรื่องที่ฮองเฮาถูกลวนลามแล้วยังถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คนนั้นทำบัดสีอีก เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ฮองเฮาเป็นภรรยาคนแรกของเขา แม้ทั้งสองจะไม่ถึงขั้นรักใคร่ลึกซึ้ง แต่ฮองเฮาก็เป็นภรรยาเอกของเขา เกี่ยวพันถึงหน้าตาและเกียรติยศของตนเองทว่าฮองเฮากลับจัดการเฟิ่งชูอิ่งที่เป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าไร้บิดามารดาหนุนหลังไม่ได้ แล้วยังเกิดเรื่องสกปรกโสมมกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อีก เขาจึงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากหลังจากด่าฮองเฮาจนพอใจแล้ว เขาก็สั่งให้ฮองเฮาจัดการวังหลังให้ดี หากยังเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมาอีก เขาจะสั่งลงโทษให้หนักเลยเดิมทีฮองเฮาก็ถูกเฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งโม่เยี่ยเล่นงานจนโทสะสูงเทียมฟ้าแล้ว บัดนี้ยังถูกฮ่องเต้เจาหยวนด่าซ้ำอีก นางจึงโกรธจนแทบลมจับ เจี่ยนชุนนางกำนัลที่รู้ใจนางมากที่สุดก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยเอากระบี่แทงทะลุอกตายคาที่ไปแล้ว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ความเท่าเจี่ยนชุน ไม่รู้วิธีฉอเลาะปลอบใจนางตำหนักคุนหนิงของนางยังถูกเผาวอ