"ใช่ขอรับ ฉีเล่อฉี่กลายเป็นใบ้ ล่อให้คุณชายหม่าที่เป็นมกุฎราชกุมารแคว้นเป่ยจิ้นออกมา แต่พวกเราก็ได้ทราบเรื่องนี้นานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะได้ชดเชย...""ไม่ต้องยึดร้านทั้งหมดที่ฉีเล่อฉี่ที่เป็นเจ้าของ ให้นางหลังจากนี้ดูแลฟื้นฟูร่างกายในจวนฉีให้ดี อย่าโผล่หัวเสนอหน้าออกมาสร้างปัญหา" มู่จิ่วซีไว้หน้าฉีหู่ซาน"แล้วคุณหนูฉีคนสามล่ะขอรับ นางเองยังถูกขังอยู่ในกระทรวงราชทัณฑ์" โจวเหยากล่าว"กระทรวงราชทัณฑ์ไม่ใช่ว่าเป็นถิ่นของใต้เท้าฉีหรอกเหรอ? ทารุณนางหน่อยไม่ได้เลยหรือไง? ขังไม่กี่วันก็น้อยใจแล้ว?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างโมโห บังอาจกล้าเอายาเบื่อหนูมาวางยานาง จะดูถูกนางไปแล้ว ก็ยังดีที่ใช้กระเรียนแดง (กระเรียนแดง คือ ชื่อของยาพิษ)"ไม่ใช่ขอรับ ข้าได้ตั้งใจไปหา ใต้เท้าฉีกลัวว่าคุณหนูจะโมโห ก็เลยโบยแส้คุณหนูฉีคนสามไปห้าที เนื้อแตกเลือดซิบ ข้าได้เห็นเองกับตา จากนั้นคุณหนูฉีคนสามก็เหมือนจะคลุ้มคลั่งเล็กน้อย คงจะได้รับผลกระทบจากการถูกโบย""จริงหรือ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วมองโจวเหยาโจวเหยาสีหน้าตึงเครียดทันทีและกล่าว : "ข้าไม่อาจกล้าหลอกคุณหนูใหญ่มู่หลอก นางน่าสังเวชจริงๆ""ใต้เท้าโจว เจ้ากับ
มู่จิ่วซีขณะฟังก็ขมวดคิ้วเบาๆ ในใจก็คิดว่าโม่จุนครั้งนี้คงจะกระทบจิตใจอย่างมาก ถึงแม้ปากจะบอกว่ารับได้ แต่ว่าพอเกิดขึ้นจริงๆ นึกถึงเสด็จพี่ของตนเองทรยศก่อกบฏอย่างไม่ขาดสาย นั่นเท่ากับว่าต้องการจะปลงพระชนม์พระพันปีหลวงและฝ่าบาท รวมถึงสังหารเสด็จน้องอย่างเขาทำไมพวกเขาถึงอยู่อย่างสงบไม่ได้ ใช้ชีวิตดื่มด่ำกับเกียรติยศความมั่งคั่งร่ำรวยสิ ทำไมต้องเดินมาถึงจุดๆ นี้ด้วย ทำให้เขาต้องเผชิญความลำบากรอบด้าน ทำให้เขาเจ็บปวดจนใจแทบขาดคราวก่อนตั้งตัดขาของท่านอ๋องสาม คราวนี้ก็มาเป็นท่านอ๋องสี่ นี่มันเรื่องโศกนาฏกรรมที่สุดของครอบครัว"เขาตอนนี้อยู่ไหน?" มู่จิ่วซีถาม"คงจะอยู่ที่จวนท่านอ๋องสี่ขอรับ เห็นว่าพบทางเดินลับภายในซึ่งมีคนใช้งานอยู่เป็นประจำขอรับ" โจวเหยากล่าว"ข้าจะไปดู แล้วก็จะได้บอกให้เขาไปพักผ่อนด้วย"โจวเหยารีบพยักหน้าและยิ้มกล่าว : "ก็มีแค่เจ้าคุณหนูใหญ่มู่เท่านั้นที่พอจะโน้มน้าวท่านผู้สำเร็จราชการแทนได้ ให้เขาได้พักผ่อนเถอะ คณะเจรจาของแคว้นเป่ยจิ้นอีกสองวันก็จะมาถึงแล้ว เขาจะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์สิ"ในใจของมู่จิ่วซีคือความเหยียดหยาม ให้ตายเถอะ แคว้นเป่ยจิ้นหน้าด้านจริงๆก็เหมือ
"ข้าไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเจ้าหรือไง? พอรู้ว่าเจ้าไม่กินไม่ดื่มไม่นอน ข้าก็รีบมาก่อนเป็นอันดับแรก ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก" มู่จิ่วซีพูดออกมาทันที"จริงเหรอ?" ในใจของโม่จุนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง"ถ้าหลอกเจ้าข้ายอมเป็นหมาเลย ไม่เชื่อก็ไปถามใต้เท้าโจวเหยา""เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้เลย?" สายตาโม่จุนมองไปที่นางและถาม"โม่จุน อาการขี้ระแวงใจของเจ้าเป็นเอาหนักมาก แน่นอนว่าข้าเป้นห่วงเจ้า ก็เหมือนที่เจ้าเป็นห่วงข้า พวกเราทุกคนต่างล้วนเป็นห่วงเจ้า เจ้าคือคนสำคัญของพวกเราเข้าใจไหม?" มู่จิ่วซีกรอกตาใส่เขา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนกับเด็กที่อยากกินลูกอมอย่างใดอย่างนั้น"ข้าหมายถึงเจ้า" โม่จุนเหลือบสายตาเบือนออกไปและพูดออกมาอย่างรู้สึกงอน"แน่นอนว่าข้าเป็นห่วงเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อ ข้าจะควักหัวใจเอามาให้เจ้าดูเลยเป็นไง?" มู่จิ่วซีเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาและทำท่าเหมือนกับจะถอดเสื้อผ้าโม่จุนทันใดนั้นก็ถูกท่าทางทีเล่นทีจริงของนางหยอกล้อจนเขาไม่อาจคงสีหน้าเย็นชาเอาไว้ได้"ใครอยากจะดูหัวใจของเจ้า ในใจเจ้าซ่อนไว้แต่หนุ่มรูปงามเต็มไปหมด" โม่จุนหยิ่งผยองขึ้นมาทันที"ฮิฮิ จะเป็นไปได้ยังไง ในใจของข้า เจ้า
โม่จุนยิ้มอย่างเย็นชา : "นิสัยของท่านอ๋องสามมักจะหยิ่งทระนง ส่วนท่านอ๋องสี่เป็นคนสุขุม ทั้งสองมีความแตกต่างกัน อีกอย่างตอนนั้นฝ่าบาทก็ดันมาเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ท่านอ๋องสามเลยคิดว่าเป็นโอกาสอันดี แต่ท่านอ๋องสี่คงคิดว่ายังเตรียมการไม่พร้อม"มู่จิ่วซีคิดดูก็ว่าใช่ จากนั้นก็ยิ้มกล่าว : "พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะปราบไว้ได้ ท่านอ๋องสี่เลยไม่กล้าลงมือหุนหันพลันแล่น บางทีเดิมเขาอาจไม่คิดจะร่วมมือกับศัตรู แต่เพราะความล้มเหลวของท่านอ๋องสาม เขาคงรู้สึกว่าหากไม่ร่วมมือกับศัตรูคนนอกก็คงไม่มีทางสำเร็จ"โม่จุนพยักหน้ากล่าว: "ก็อาจจะ แต่ว่าซีเอ๋อร์ ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าเจ้าจะเปิดโปงแผนการออกมาได้ในพริบตา ทำให้เขาต้องหลบหนีจนหัวซุกหัวซุน ต้องทิ้งทุกอย่างที่เตรียมมาอย่างสูญเปล่า คงจะเกลียดเจ้ามากแน่ๆ""มีคนเกลียดก็หมายถึงว่าข้าโดดเด่นน่ะสิ" มู่จิ่วซีหัวเราะยิ้มแย้มแววตาของโม่จุนแฝงด้วยความอบอุ่นขึ้นมา แม่นางคนนี้เชื่อมันในตัวเองจริงๆ"ใช่แล้ว ข้ายังมีธุระต้องออกไปจัดการ เจ้าทานเสร็จแล้วก็นอนพักผ่อนหน่อย อีกสองวันคณะเจรจาของแคว้นเป่ยจิ้นก็จะมาแล้ว เจ้าจะออกไปเจอคนในสภาพ
มู่จิ่วซีรู้สึกว่าเหมือนกับร้านค้าที่นิยมติดกระแสเลยทันใดนั้นนางก็นึกถึงหอหล่านจวี๋และหอหงซิ่วซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของท่านอ๋องสี่ ตอนนี้ไม่ได้ริบยึดเอามา และไม่รู้ว่าใครเป็นคนรับช่วงต่อ นี่คือธุรกิจที่ดีแต่ว่าต่อให้พระพันปีหลวงมอบให้นาง นางก็ไม่กล้าจะรับไว้ กลัวว่าเดี๋ยวจวนมู่จะกลายเป็นอำนาจสูงกลบนาย (อำนาจสูงกลบนาย หมายถึง มีอำนาจมาก มีความสามารถมาก แต่ไม่ประมาณตนจนทำให้กษัตริย์เจ้าแผ่นดินระแวง)มู่จิ่วซีอย่างนางสามารถกำเริบเสิบสาน ทระนงตนได้อย่างอิสระ แต่จวนมู่ไม่อาจทำได้ จวนมู่คือจวนแม่ทัพใหญ่ จำเป็นต้องทำหน้าที่ในฐานะขององคมนตรี หลีกเลี่ยงภัยพิบัติทำลายล้างตระกูลที่จะเข้ามาในสักวันส่วนโม่จุนอันที่จริงก็เหมือนกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงบอกว่าให้เอาข้าวของทรัพย์สินของท่านอ๋องสี่ไว้เป็นสมบัติส่วนกลาง โดยไม่ได้มอบเป็นรางวัลให้กับนางหรือว่าโม่จุน ซึ่งล้วนไม่ใช่เรื่องดีคำคืนอันไร้ซุ่มเสียง มู่จิ่วซีกำลังจัดการกับขวดภาชนะของนางทางด้านนั้นในห้องอยู่ตลอด ลู่เอ๋อร์เหนื่อยจนหาวออกมา ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ทำอะไรเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีละอองฝนตกลงมา ในฤดูหนาวแบบนี้อุณหภูมิลด
คนเปิดประตูเป็นเด็กรับใช้อายุประมาณ 17-18 ปี หลังจากเขาหลีกทางให้ มู่จิ่วซีก็เห็นชายที่นั่งอยู่ตรงกลางเป็นชายอายุประมาณ 30 ต้นๆ หน้าผากขาวสะอาด ใบหน้าสมส่วนหล่อเหลา จมูกเป็นสันโด่งชัดเจน เผยรูปร่างกำยำของชายชาตรีให้เห็นชัด แต่ริมฝีปากสีม่วงกลับเฉียบบาง เป็นความรู้สึกมีเสน่ห์ที่ดูจะไม่ค่อยเข้ากันชุดคลุมยาวผ้าไหมสีขาวข้าวดูหรูหราและสูงศักดิ์ ในมือถือพัดผ้าไหมหยกขาว กำลังโบกพัดไปตามอารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาอันเป็นเอกลักษณ์ให้ความรู้สึกเหมือนผู้ดีมีการศึกษา ที่แท้ก็เป็นชายหนุ่มรูปงามที่น่าดึงดูดผู้คนมากที่สุดก็คือดวงตาของเขาคู่นั้น มู่จิ่วซีไม่คาดคิดว่าดวงตานั้นจะปรากฎให้เห็นสีเขียวเข้มจางๆ เหมือนกับมรกตในคืนมืดมิด เพียงกระพริบตาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดเล็กน้อยใบหน้านี้สำหรับมู่จิ่วซีถือได้ว่าเป็นใบหน้าของคนแปลกหน้า นางเลิกคิ้วเบาๆ นางไม่รู้จักชายคนนี้ สายตามองไปที่มือของเขา สวยงามมาก ทั้งเรียวยาวและเห็นข้อกระดูกชัด มองไม่ออกว่าว่าเป็นคนชอบลอกหนังมนุษย์ ดูไปแล้วเหมือนคนที่ชอบบรรเลงดีดฉินมากกว่าแต่มู่จิ่วซีรู้ว่าเป็นมือของช่างฝีมือ ปกติทั่วไปแล้วก็จะงดงาม เพราะว่าต้องทะนุถนอม รัก
"ฮาๆๆ! คุณหนูใหญ่มู่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะมองออกมากขนาดนี้ ไม่เลวๆ" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวอย่างดีใจ "เจ้าเหมาะสมจะเป็นคู่ปรับของข้า""คู่ปรับ? เกรงว่าเจ้าไม่ได้มีสิทธิมาเป็นคู่ปรับคุณหนูใหญ่อย่างข้า คู่ปรับที่ดีนั้นมีค่ามาก ข้าไม่เคยเอาคนชั้นต่ำมาเป็นคู่ปรับ" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีฉีกกระชากใบหน้าของเขาตรงๆจื่ออวิ๋นเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างที่คาดไว้ เสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาและกล่าว : "เจ้าบอกว่าข้าชั้นต่ำ?""ถ้าไม่ใช่คนชั้นต่ำแล้วเป็นคนคุณธรรมสูงส่งงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าการลอกหนังหน้าคนทั้งเป็นเป็นเรื่องที่มีความสุขมากหรือไง? คงจะทำให้เจ้ารู้สึกตื่นเต้นสินะ?" มู่จิ่วซีดูถูกคนวิปริตคนนี้จื่ออวิ๋นเฟยทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปและจ้องมู่จิ่วซีอย่างคาดไม่ถึง นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาเองตอนทำเรื่องแบบนั้นรู้สึกตื่นเต้น"ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูกสินะ ฮาๆ ไม่คาดคิดว่าหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธจักร จะป่วยโรคที่ตัวเองก็ไม่อาจรักษาให้หาย เป็นเรื่องน่าตลกจริงๆ""ข้าป่วย? ป่วยโรคอะไร?" ดวงตาของจื่ออวิ๋นเฟยถลึงออกมา"เจ้าเป็นโรคจิตวิปริต!" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างเย็นชา "คนปกติคนหนึ่งกลับโ
จื่ออวิ๋นเฟยตบโต๊ะอย่างแรงและลุกขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือชี้นิ้วมาทางมู่จิ่วซีกล่าวอย่างโมโห : "มู่จิ่วซี เจ้ามันโอหังไม่รู้จักสัมมาคารวะ!""ข้าไม่ใช่โอหัง ข้าแค่มั่นใจ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พวกเรามาเดิมพันกันก็ได้" มู่จิ่วซียักใหล่ บนใบหน้าประดับด้วยรองยิ้มจางๆ"ได้! เดิมพันก็เดิมพัน! ศาสตร์ศัลยกรรมงั้นเหรอ? ข้าก็อยากจะเห็นว่าศาสตร์ศัลกรรมของเจ้าจะสูงส่งสักแค่ไหน!" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวโมโห"เจ้านั่งลงก่อน เป็นถึงหมอเทวดาของยุทธจักร มีมารยาทหน่อยไม่ได้หรือไง?" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "การเดิมพันก็ต้องมีของเดิมพัน หากข้าพอใจ แน่นอนว่าข้าจะยอมเดิมพันด้วย""ถ้าไม่พอใจเจ้าก็จะไม่เดิมพันรึไง?" จื่ออวิ๋นเฟยโมโหอีกครั้ง อีกอย่างใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท นางพอเจอหน้าก็หาเรื่องเขา ยังมาบอกว่าเขาไม่มีมารยาท?"ถ้าไม่พอใจทำไมต้องเดิมพัน ตอนนี้คนที่ไมพอใจคือเจ้า ไม่ใช่ข้าปะ?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างไม่พอใจ"เจ้า....ได้ๆๆ ไม่ว่าเจ้าจะเดิมพันด้วยอะไร ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะแพ้" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวอย่างโมโห"เดิมพันด้วยศาสตร์ศัลยกรรม หากข้าฝีมือดีกว่า เจ้าจะต้องดื่มพิษสาบาน ว่าหลังจากนี้จะไม่ทำหน้ากากหนังมนุษย์อะไรอีก" ม