แต่ว่าตอนนางมองใบหน้าในกระจกทองสัมฤทธิ์ว่าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก รอบกายนางก็แผ่ซ่านบรรยากาศอันเย็นเยือกออกมา"ลู่เอ๋อร์!" นางตะโกนเสียงดังไปทางประตูห้องลู่เอ๋อร์รีบวิ่งเข้ามาและกล่าว : "คุณหนู อะไรหรือเจ้าคะ? นี่มันอะไรกัน? หน้ากากเหรอ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?""เจ้าลองสวมดูอย่าขยับ" มู่จิ่วซีรีบสั่งลู่เอ๋อร์มองมู่จิ่วซีเอาหน้ากากมาติดไว้ตรงหน้าของนาง ทันใดนั้นก็สั่นไปทั้งตัวมู่จิ่วซีเอาหน้ากากหนังมนุษย์ไปติดไว้บนหน้าของลู่เอ๋อร์ จากนั้นนางก็มองออกว่าเป็นหน้าของใครเพราะว่าหน้ากากนี้ก็คือใบหน้าของมู่จิ่วซี!ความเหมือนมีมากถึงเจ็ดส่วน หากอ้างอิงเทียบกับใบหน้าดั้งเดิมของนางอย่างละเอียดรอบคอบ ก็คงจะสามารถทำออกมาให้เหมือนมู่จิ่วซีได้ถึงเก้าส่วน"หา! คุณหนู นี่ นี่ไม่ใช่ว่าคือท่านหรอกเหรอ?" ลู่เอ๋อร์เบิกตามองตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็ตกใจร้องขึ้นมามู่จิ่วซีเอาหน้ากากออกและก็กล่าว : "ใครเป็นคนส่งมา?""ลู่อวี่ไปหยิบรายชื่อของขวัญมา นี่ใครเป็นคนทำ น่ากลัวเกินไปแล้ว" ลู่เอ๋อร์รู้สึกขนพองสยองเกล้า ลู่อวี่คือรองหัวหน้าองครักษ์ของเรือนใน"นี่คือหนังหน้าของคนจริงๆ อีกทั้งยังลอกออกมาตอนขณะยั
มู่เทียนซิงเห็นสภาพของลู่เอ๋อร์ที่ต้องให้มาพิสูจน์อีกครั้งและตกใจอย่างมาก"เอ๋? ใครกันที่ทำของแบบนี้ขึ้นมาได้?" มู่จิ่วซีรีบถาม"หมอเทวดาจื่ออวิ๋นเฟยแห่งยุทธจักร" มู่เทียนซิงกล่าว"อะไรนะ!" มู่จิ่วซีชะงักในทันที หมอเทวดาคนนี้นางเฝ้ารอจะได้พบมาตั้งนานแล้ว"ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่ว่ารู้จักจื่ออวิ๋นเฟยหรอกเหรอ? ศาสตร์แพทย์ของเจ้าไม่ใช่ว่าได้รับการสั่งสอนจากเขาหรือไง? เจ้าจะไม่รู้จักได้ยังไง?" มู่เทียนซิงกล่าวอย่างตกใจ"แค่กๆๆ" มู่จิ่วซีนึกถึงข้ออ้างเมื่อก่อนขึ้นมาได้ ดูเหมือนคราวนี้นาจะเอาหินมาทับขาตัวเองแล้ว (เอาหินมาทับขาตัวเอง หมายถึง ทำตัวเอง)"แน่นอนว่าข้ารู้จัก แต่ว่าข้าแค่ไม่รู้ว่าจะฝีมือระดับนี้" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน"บางทีอาจจะเป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะได้รับอันตราย ดังนั้นเลยส่งหน้ากากนี้มาให้ ช่วงเวลาอันตรายแบบนี้ ก็จะสามารถมีคนแทนเจ้าได้" ความคิดของมู่เทียนซิงกับมู่จิ่วซีตรงข้ามกันคนละขั้วแต่ก็ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นวิธีที่สุดยอด อย่างเช่นตอนแลกเปลี่ยนตัวกับท่านอ๋องหก ให้สักคนสวมหน้ากากปลอมเป็นมู่จิ่วซี แบบนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอนมู่จิ่วซีมองพ่อของนาง การมอ
ไม่นานนัก เย่ฮานและชิงเฟิงก็กลับมา ทั้งสองสีหน้าไม่ค่อยดีนัก"คุณหนูใหญ่ เจินเป่าจายกล่าวว่าไม่ใช่พวกเขาเป็นคนส่ง แต่ว่ามีคนบังคับพวกเขาให้ส่งมา ยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่จะต้องส่งคนมาที่เจินเป่าจาย ก็เลยทิ้งจดหมายไว้ให้คุณหนูใหญ่ฉบับหนึ่งขอรับ"เย่ฮานขณะพูดก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อมู่จิ่วซีรับมาอ่าน เห็นว่าซองจดหมายนั้นสวยมาก คงเป็นคนพิถีพิถันภายในเป็นกระดาษคุณภาพดีแผ่นหนึ่ง พอเปิดออกด้านบนเขียนอักษรไว้หนึ่งบรรทัด"ชื่นชมคุณหนูใหญ่มู่มานานแล้ว หวังว่าจะได้มีวาสนาพบกัน พรุ่งนี้ตอนกลางวันที่หอชมจันทร์ จะรอจนกว่าจะเจอ""ไม่พบเบาะแสร่องรอยอื่นเลยเหรอ?" มู่จิ่วซีเห็นว่าไม่ได้ลงชื่อไว้เลยขมวดคิ้วถามทั้ง 2 คนชิงเฟิงก็กล่าว : "ข้าน้อยถามเถ้าแก่ถึงรูปพรรณคนส่งของขวัญและจดหมายแล้ว บอกว่าเป็นชายคนหนึ่งหน้าตาไม่เลว แต่ดูไม่คล้ายคนแคว้นเกาอวิ๋นขอรับ"มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว : "พรุ่งนี้พวกเจ้ารวมถึงหลิวฮั่วกับเหอเฟิงตามข้าไปด้วยกัน"เย่ฮานและชิงเฟิงรับคำสั่งและไปที่กรมพระราชวังนครบาลรับหลิวฮั่วและเหอเฟิง เหอเฟิงฟื้นฟูกลับมาจากวังวนของการทรมานและอยากมาอยู่ข้าง
"ใช่ขอรับ ฉีเล่อฉี่กลายเป็นใบ้ ล่อให้คุณชายหม่าที่เป็นมกุฎราชกุมารแคว้นเป่ยจิ้นออกมา แต่พวกเราก็ได้ทราบเรื่องนี้นานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะได้ชดเชย...""ไม่ต้องยึดร้านทั้งหมดที่ฉีเล่อฉี่ที่เป็นเจ้าของ ให้นางหลังจากนี้ดูแลฟื้นฟูร่างกายในจวนฉีให้ดี อย่าโผล่หัวเสนอหน้าออกมาสร้างปัญหา" มู่จิ่วซีไว้หน้าฉีหู่ซาน"แล้วคุณหนูฉีคนสามล่ะขอรับ นางเองยังถูกขังอยู่ในกระทรวงราชทัณฑ์" โจวเหยากล่าว"กระทรวงราชทัณฑ์ไม่ใช่ว่าเป็นถิ่นของใต้เท้าฉีหรอกเหรอ? ทารุณนางหน่อยไม่ได้เลยหรือไง? ขังไม่กี่วันก็น้อยใจแล้ว?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างโมโห บังอาจกล้าเอายาเบื่อหนูมาวางยานาง จะดูถูกนางไปแล้ว ก็ยังดีที่ใช้กระเรียนแดง (กระเรียนแดง คือ ชื่อของยาพิษ)"ไม่ใช่ขอรับ ข้าได้ตั้งใจไปหา ใต้เท้าฉีกลัวว่าคุณหนูจะโมโห ก็เลยโบยแส้คุณหนูฉีคนสามไปห้าที เนื้อแตกเลือดซิบ ข้าได้เห็นเองกับตา จากนั้นคุณหนูฉีคนสามก็เหมือนจะคลุ้มคลั่งเล็กน้อย คงจะได้รับผลกระทบจากการถูกโบย""จริงหรือ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วมองโจวเหยาโจวเหยาสีหน้าตึงเครียดทันทีและกล่าว : "ข้าไม่อาจกล้าหลอกคุณหนูใหญ่มู่หลอก นางน่าสังเวชจริงๆ""ใต้เท้าโจว เจ้ากับ
มู่จิ่วซีขณะฟังก็ขมวดคิ้วเบาๆ ในใจก็คิดว่าโม่จุนครั้งนี้คงจะกระทบจิตใจอย่างมาก ถึงแม้ปากจะบอกว่ารับได้ แต่ว่าพอเกิดขึ้นจริงๆ นึกถึงเสด็จพี่ของตนเองทรยศก่อกบฏอย่างไม่ขาดสาย นั่นเท่ากับว่าต้องการจะปลงพระชนม์พระพันปีหลวงและฝ่าบาท รวมถึงสังหารเสด็จน้องอย่างเขาทำไมพวกเขาถึงอยู่อย่างสงบไม่ได้ ใช้ชีวิตดื่มด่ำกับเกียรติยศความมั่งคั่งร่ำรวยสิ ทำไมต้องเดินมาถึงจุดๆ นี้ด้วย ทำให้เขาต้องเผชิญความลำบากรอบด้าน ทำให้เขาเจ็บปวดจนใจแทบขาดคราวก่อนตั้งตัดขาของท่านอ๋องสาม คราวนี้ก็มาเป็นท่านอ๋องสี่ นี่มันเรื่องโศกนาฏกรรมที่สุดของครอบครัว"เขาตอนนี้อยู่ไหน?" มู่จิ่วซีถาม"คงจะอยู่ที่จวนท่านอ๋องสี่ขอรับ เห็นว่าพบทางเดินลับภายในซึ่งมีคนใช้งานอยู่เป็นประจำขอรับ" โจวเหยากล่าว"ข้าจะไปดู แล้วก็จะได้บอกให้เขาไปพักผ่อนด้วย"โจวเหยารีบพยักหน้าและยิ้มกล่าว : "ก็มีแค่เจ้าคุณหนูใหญ่มู่เท่านั้นที่พอจะโน้มน้าวท่านผู้สำเร็จราชการแทนได้ ให้เขาได้พักผ่อนเถอะ คณะเจรจาของแคว้นเป่ยจิ้นอีกสองวันก็จะมาถึงแล้ว เขาจะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์สิ"ในใจของมู่จิ่วซีคือความเหยียดหยาม ให้ตายเถอะ แคว้นเป่ยจิ้นหน้าด้านจริงๆก็เหมือ
"ข้าไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเจ้าหรือไง? พอรู้ว่าเจ้าไม่กินไม่ดื่มไม่นอน ข้าก็รีบมาก่อนเป็นอันดับแรก ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก" มู่จิ่วซีพูดออกมาทันที"จริงเหรอ?" ในใจของโม่จุนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง"ถ้าหลอกเจ้าข้ายอมเป็นหมาเลย ไม่เชื่อก็ไปถามใต้เท้าโจวเหยา""เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้เลย?" สายตาโม่จุนมองไปที่นางและถาม"โม่จุน อาการขี้ระแวงใจของเจ้าเป็นเอาหนักมาก แน่นอนว่าข้าเป้นห่วงเจ้า ก็เหมือนที่เจ้าเป็นห่วงข้า พวกเราทุกคนต่างล้วนเป็นห่วงเจ้า เจ้าคือคนสำคัญของพวกเราเข้าใจไหม?" มู่จิ่วซีกรอกตาใส่เขา ทำไมถึงได้รู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนกับเด็กที่อยากกินลูกอมอย่างใดอย่างนั้น"ข้าหมายถึงเจ้า" โม่จุนเหลือบสายตาเบือนออกไปและพูดออกมาอย่างรู้สึกงอน"แน่นอนว่าข้าเป็นห่วงเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อ ข้าจะควักหัวใจเอามาให้เจ้าดูเลยเป็นไง?" มู่จิ่วซีเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาและทำท่าเหมือนกับจะถอดเสื้อผ้าโม่จุนทันใดนั้นก็ถูกท่าทางทีเล่นทีจริงของนางหยอกล้อจนเขาไม่อาจคงสีหน้าเย็นชาเอาไว้ได้"ใครอยากจะดูหัวใจของเจ้า ในใจเจ้าซ่อนไว้แต่หนุ่มรูปงามเต็มไปหมด" โม่จุนหยิ่งผยองขึ้นมาทันที"ฮิฮิ จะเป็นไปได้ยังไง ในใจของข้า เจ้า
โม่จุนยิ้มอย่างเย็นชา : "นิสัยของท่านอ๋องสามมักจะหยิ่งทระนง ส่วนท่านอ๋องสี่เป็นคนสุขุม ทั้งสองมีความแตกต่างกัน อีกอย่างตอนนั้นฝ่าบาทก็ดันมาเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ท่านอ๋องสามเลยคิดว่าเป็นโอกาสอันดี แต่ท่านอ๋องสี่คงคิดว่ายังเตรียมการไม่พร้อม"มู่จิ่วซีคิดดูก็ว่าใช่ จากนั้นก็ยิ้มกล่าว : "พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะปราบไว้ได้ ท่านอ๋องสี่เลยไม่กล้าลงมือหุนหันพลันแล่น บางทีเดิมเขาอาจไม่คิดจะร่วมมือกับศัตรู แต่เพราะความล้มเหลวของท่านอ๋องสาม เขาคงรู้สึกว่าหากไม่ร่วมมือกับศัตรูคนนอกก็คงไม่มีทางสำเร็จ"โม่จุนพยักหน้ากล่าว: "ก็อาจจะ แต่ว่าซีเอ๋อร์ ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าเจ้าจะเปิดโปงแผนการออกมาได้ในพริบตา ทำให้เขาต้องหลบหนีจนหัวซุกหัวซุน ต้องทิ้งทุกอย่างที่เตรียมมาอย่างสูญเปล่า คงจะเกลียดเจ้ามากแน่ๆ""มีคนเกลียดก็หมายถึงว่าข้าโดดเด่นน่ะสิ" มู่จิ่วซีหัวเราะยิ้มแย้มแววตาของโม่จุนแฝงด้วยความอบอุ่นขึ้นมา แม่นางคนนี้เชื่อมันในตัวเองจริงๆ"ใช่แล้ว ข้ายังมีธุระต้องออกไปจัดการ เจ้าทานเสร็จแล้วก็นอนพักผ่อนหน่อย อีกสองวันคณะเจรจาของแคว้นเป่ยจิ้นก็จะมาแล้ว เจ้าจะออกไปเจอคนในสภาพ
มู่จิ่วซีรู้สึกว่าเหมือนกับร้านค้าที่นิยมติดกระแสเลยทันใดนั้นนางก็นึกถึงหอหล่านจวี๋และหอหงซิ่วซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของท่านอ๋องสี่ ตอนนี้ไม่ได้ริบยึดเอามา และไม่รู้ว่าใครเป็นคนรับช่วงต่อ นี่คือธุรกิจที่ดีแต่ว่าต่อให้พระพันปีหลวงมอบให้นาง นางก็ไม่กล้าจะรับไว้ กลัวว่าเดี๋ยวจวนมู่จะกลายเป็นอำนาจสูงกลบนาย (อำนาจสูงกลบนาย หมายถึง มีอำนาจมาก มีความสามารถมาก แต่ไม่ประมาณตนจนทำให้กษัตริย์เจ้าแผ่นดินระแวง)มู่จิ่วซีอย่างนางสามารถกำเริบเสิบสาน ทระนงตนได้อย่างอิสระ แต่จวนมู่ไม่อาจทำได้ จวนมู่คือจวนแม่ทัพใหญ่ จำเป็นต้องทำหน้าที่ในฐานะขององคมนตรี หลีกเลี่ยงภัยพิบัติทำลายล้างตระกูลที่จะเข้ามาในสักวันส่วนโม่จุนอันที่จริงก็เหมือนกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงบอกว่าให้เอาข้าวของทรัพย์สินของท่านอ๋องสี่ไว้เป็นสมบัติส่วนกลาง โดยไม่ได้มอบเป็นรางวัลให้กับนางหรือว่าโม่จุน ซึ่งล้วนไม่ใช่เรื่องดีคำคืนอันไร้ซุ่มเสียง มู่จิ่วซีกำลังจัดการกับขวดภาชนะของนางทางด้านนั้นในห้องอยู่ตลอด ลู่เอ๋อร์เหนื่อยจนหาวออกมา ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ทำอะไรเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีละอองฝนตกลงมา ในฤดูหนาวแบบนี้อุณหภูมิลด