มู่จิ่วซีรู้ว่าท่าเรือซิงหลงแห่งนี้คงมีลับลมคมในอยู่มากมาย แต่ว่านางจำเป็นต้องไปยังกรมพระราชวังนครบาล หนึ่งคือเพื่ออาการบาดเจ็บของเหอเฟิง สองคือนางอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหอเฟิงพอมาถึงกรมพระราชวังนครบาล โจวเหยาพอเห็นสภาพของเหอเฟิงก็ตกใจมาก จากนั้นก็ส่งคนกองหนึ่งไปยังท่าเรือซิงหลงเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งและต้องการใยแมงมุมรอยเท้าม้าให้เจอให้ได้ (ใยแมงมุมรอยเท้าม้า หมายถึง เบาะแส ร่องรอย)มู่จิ่วซีได้ฝังเข็มให้เหอเฟิงหลายครั้งและพบว่าเหอเฟิงเหม่อลอยอยู่เป็นครั้งคราว ราวกับว่าได้รับการกระทบทางจิตใจ อีกทั้งในหูก็ยังมีรอยเลือด เขาคงไม่ได้หูหนวกไปแล้วใช่ไหม?แต่บนตัวเขาไม่ได้มีบาดแผลสาหัส ตรงจุดนี้เองก็แปลกอย่างมากพอถึงเวลาอาหารเย็น เหอเฟิงตื่นขึ้นมาก็เห็นมู่จิ่วซี จี๋เฟิงและหลิวฮั่ว ส่วนท่านผู้สำเร็จราชการแทนโม่จุนก็เพิ่งได้ทราบข่าวและกำลังรีบมา"เหอเฟิง เจ้าฟื้นแล้ว รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?" มู่จิ่วซีถามอย่างอ่อนโยน "ดื่มยาต้มนี้ก่อน จะได้รู้สึกดีขึ้น ข้าใส่พุทราเชื่อมไปด้วย จะได้ไม่ขม"เหอเฟิงดื่มยาอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นจี๋เฟิงก็ช่วยเขาพยุงให้รู้สึกสบายขึ้น"่ท่าน
"เหอเฟิง นี่คือการลงโทษด้วยเสียง เจ้าได้ผ่านมันมาแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว" มู่จิ่วซีรีบปลอบเขา ไม่แปลกทำไมเขาต้องสะบัดหัว สมองของเขาคงจะยังได้ยินเสียงนั้นอยู่ เขาต้องการจะสลัดเสียงทรมานนั้นทิ้งไปโม่จุนเหลือบมองมู่จิ่วซีจากนั้นก็กล่าว : "งั้นเจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าทำไมตกลงไปในแม่น้ำ?"เหอเฟิงก็เหลือบกันไปมองทันทีและกล่าว : "ทางลับ มีทางลับแห่งหนึ่ง มีคนลากข้าเข้าไปในทางลับนั้น จากนั้นก็ดึงผ้าคลุมหัวออกแล้วผลักโยนลงไป ข้าตกลงไปด้านล่างระยะทางไม่ถึงเมตรก็ตกลงน้ำมาแล้ว น้ำได้พัดข้าพุ่งออกไป ข้าพยายามจะลอยตัวบนน้ำ สติเริ่มเลือนลางมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ไม่รู้อะไรอีกแล้วขอรับ...""ทางลับแค่ผลักลงมาเมตรเดียวก็เป็นน้ำ?" มู่จิ่วซีก็จับใจความสำคัญเอาไว้ได้เหอเฟิงก็พยักหน้าและกล่าว : "ใช่ขอรับ เป็นทางลับที่มืดสนิท แม้ว่าข้าน้อยจะถูกคลุมหัวเอาไว้ แต่ก่อนหน้านี้ก็ยังพอจะมีแสงสว่างอยู่บ้าง แต่ที่นั่นไม่มีแม้แต่แสงสว่างเลย จากนั้นก็ถูกคนหนึ่งผลักลงมา ข้าก็ตกลงไปในน้ำแล้ว""ทางระบายน้ำ!" มู่จิ่วซีดวงตาหรี่เล็กลงขณะกล่าว"ทางระบายน้ำใต้ดิน!" โม่จุนก็แทบจะพูดออกมาพร้อมกัน"ทางระบายน้ำก็คือทางระบายน้ำใต้ดิ
มู่จิ่วซีสีหน้ากระอักกระอ่วน นางเห็นแววตาอยากจะฆ่านางของโม่จุนก็เลยกล่าวอย่างเขินๆ : "ข้ากลัวว่าพูดออกไปแล้วเจ้าจะโกรธ คืนนี้ข้าขอไปพบดูก่อน พรุ่งนี้ข้าถึงจะบอกเรื่องนี้อย่างละเอียดให้เจ้าฟังเป็นไง?""มู่จิ่วซี!" โม่จุนโกรธจนแทบเป็นฟืนเป็นไฟ นึกไม่ถึงว่านางจะเชื่อใจฮั้วอวิ๋นเทียนมากว่าจะเชื่อใจเขางั้นเหรอ?"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน จิ่วซีหวังดีกับเจ้า เจ้าควรจะให้ความเคารพนางสักหน่อยไหม?" ฮั้วอวิ๋นเทียนกล่าวอย่างเรียบเฉย เพียงแต่สีหน้านั้นไม่ว่าดูยังไงก็เหมือนจะดูภูมิใจอยู่เล็กน้อย"เจ้ามันรนหาที่ตาย!" โม่จุนเอาเท้าข้างหนึ่งทีบออกไปหาฮั้วอวิ๋นเทียนอย่างแรงฮั้วอวิ๋นเทียนก็กระโจนถอยทั้งตัวกลางอากาศเหมือนกับนกสีแดงตัวใหญ่ จากนั้นก็แขนเสื้อก็กางออกอย่างแรงเสียงแหวกอากาศก็ได้ดังตัดขึ้นกลางอากาศ จนเกิดเป็นเสียงดังฟิ้วฟ้าวฮั้วอวิ๋นเทียนกระเด็นถอยไป 10 เมตร ชายทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เส้นผมสีดำปลิวสยาย แววตาสีดำฉาบย้อมไปด้วยความมืดมน"โม่จุน!" มู่จิ่วซีปวดหัวจริงๆ โม่จุนผู้ชายคนนี้พอพูดอะไรขัดหูก็ลงไม้ลงมือ ไม่เคยเห็นผู้ชายเจ้าอารมณ์ขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ"เจ้ากลับเชื่อใจเขา แต่ไม่เชื่อใ
เสียง "โครม!" ดังขึ้น สิงโตหินขนาดใหญ่ก็ถูกโม่จุนเตะจะระเบิด จากนั้นโม่จุนก็ขี่ม้าไปอีกทางหนึ่ง เหลือทิ้งไว้แต่ซากความยุ่งเหยิงและฝุ่งผงองครักษ์ตรงประตูด้านหลังก็ได้เห็นภาพฉากตรงหน้า พวกเขาล้วนตกใจจนกรามหลุด"เร็วเข้า รีบไปแจ้งใต้เท้าโจว""ท่านผู้สำเร็จราชการแทนแข็งแกร่งไปแล้ว""นิสัยอารมณ์ของเขาแย่มากจริงๆ""ข้าว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนคงจะอิจฉา จะต้องอิจฉาแน่ๆ""ผู้ชายขี้อิจฉาที่แท้ก็น่ากลัว"พอโจวเหยาถูกลากออกมาเห็นสิงโตหินสองตัวกลายเป็นเศษซากไปตัวหนึ่งก็สะเทือนตกใจอยู่นาน"ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเป็นคนทีบงั้นเหรอ?" โจวเหยาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ โม่จุนต้องโกรธถึงขั้นไหนถึงได้ทำเรื่องไม่น่าเชื่อถืออย่างกับเด็กๆ ไปได้ยามเฝ้าประตูก็รีบบอกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังอีกรอบ"คุณหนูใหญ่มู่?" โจวเหยาหัวเราะขึ้นมาในทันใด "ดูเหมือนท่านผู้สำเร็จราชการแทนของพวกเราคราวนี้คงจะเสียดายใจจะขาดเลยล่ะสิ ไม่เป็นๆ เดี๋ยวข้าพรุ่งนี้จะไปขอเงินค่าเสียหายสิงโตหินตัวนี้กับพระพันปีหลวงเอง"ส่วนทางด้านนั้น มู่จิ่วซีและฮั้วอวิ๋นเทียนก็ได้มาถึง 'หอหงซิ่ว' ซึ่งเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงโ
ฮั้วอวิ๋นเทียนนิ่งชะงักไปพักหนึ่ง พร้อมกับมองไปยังสายตาอันลึกนั้นของมู่จิ่วซี ทันใดนั้นก็ยิ้มหัวเราะร่ากล่าวออกมา : "จิ่วซี เจ้าสงสัยใครอยู่ใช่ไหม?""ข้าสงสัยคุณหนูอาจื่อ" มู่จิ่วซีพูดออกไปตรงๆ ถ้าเทียบกับการบอกโม่จุนว่าเป็นท่านอ๋องสี่แล้ว มู่จิ่วซีไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไรเมื่อบอกฮั้วอวิ๋นเทียนว่าเป็นอาจื่อถึงอย่างไรฮั้วอวิ๋นเทียนตอนนี้ก็รู้ว่าอาจื่อกำลังหลอกเขาอยู่ไม่มากก็น้อยฮั้วอวิ๋นเทียนสีหน้าเปลี่ยนทันทีและกล่าวอย่างตกใจ : "เจ้าสงสัยอาจื่อหรอ? อาจื่อไม่ได้มีวรยุทธสูงขนาดนั้น ความเร็วและพละกำลังของธนูดอกนั้นแข็งแกร่งมาก""วรยุทธของนางหากไกลจากคำว่าแข็งแกร่งที่เจ้าคิดไว้มาก แน่นอนบางทีเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ข้าบอกเจ้าไว้อย่าง อาการป่วยของนางถูกควบคุมยับยั้งด้วยวรยุทะของนาง อีกทั้งวิถีจิตกำลังภายในของนายก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ข้ามักจะรู้สึกแปลกประหลาดและหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย"มู่จิ่วซีมองเขาต่อไปและกล่าวออกมา : "อาจื่อมีแรงจูงใจสังหารข้า เพราะนางเคยเตือนข้าให้ข้าอยู่ให้ไกลจากเจ้า วันนั้นเจ้าได้รับคำเชิญของข้า นางคงจะตามออกมาและเห็นเข้า ดังนั้นถึงสังหารข้าตอนบ่าย"คิ้วของฮั้วอวิ๋นเที
แต่เขาเข้าใจมู่จิ่วซี มู่จิ่วซีไม่ได้ดูถูกหลอกเขา"เอาล่ะ เจ้าจัดการดูเอาเองแล้วกัน ตอนนี้เจ้าบอกมาก่อนว่าจะเข้าไปพบท่านอ๋องสี่ยังไง" มู่จิ่วซียักไหล่แล้วยิ้มกล่าว"จิ่วซี ข้าพบว่าเจ้าไม่เสียดายความแข่งแกร่งของข้า แต่เสียดายความแข็งแกร่งของโม่จุน" ฮั้วอวิ๋นเทียนถามเปลี่ยนเรื่องมู่จิ่วซีก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดอะไรและหัวเราะขึ้นมาเสียงก้องพร้อมกับกล่าว : "นิสัยอารมณ์ของเจ้าดีกว่าผู้ชายชาติหมาคนนั้นตั้งเยอะ อีกอย่างเจ้าพูดใช้เหตุผล ข้าชอบจะแลกเปลี่ยนความคิดกับคนมีเหตุผล""เป็นเกียรติอย่างมาก" ฮั้วอวิ๋นเทียนทันใดนั้นก็รู้สึกเป็นสุขในใจ เหมือนกับว่าในบางความหมาย อันที่จริงก็เพราะว่านางนั้นเชื่อใจเขา"คืนนี้ท่านอ๋องสี่ได้เลือกสาวงามอายุน้อยจากแคว้นอื่นซึ่งตระกูลพ่อค้าร่ำรวยได้เลือกมาให้ เพื่อมอบให้กับข้าราชการผู้สูงศักดิ์ระดับสูงในพระนคร ใครให้ราคาสูงคนนั้นก็ได้ไป" ฮั้วอวิ๋นเทียนเริ่มพูดเข้าประเด็นมู่จิ่วซีก็นิ่งไปพร้อมกับกล่าว : "ไม่คาดคิดว่าท่านอ๋องสี่จะทำเรื่องแบบนี้? แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการส่งคนเข้าไปยังจวนข้าราชการต่างๆ หรอกเหรอ?" ดวงตาของมู่จิ่วซีหดเล็กลง แบบนี้มันจะโจ่งแจ้งเกินไ
มู่จิ่วซีเห็นคนคุ้นหน้าคนนั้นเป็นใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไป๋ชินเตี่ยน เป็นลุงไป๋ของนางเองในใจก็คิดว่าลุงไป๋ทำใจได้เร็วขนาดนี้เลยงั้นเหรอ ?หรือจะบอกว่าลุงไป๋ชอบกิจกรรมพวกนี้ เพราะถึงอย่างไรจ้วงชิงเหมยก็มาจากหอนางโลมยังดีที่นางตอนนี้ได้สวมหมวกสีขาวปีกกว้างและผ้าคลุมหน้าสีขาว นางเองก็อยู่ในชุดของผู้ชาย ผนวกกับนางมีบุคลิกห่าม ๆ เสียงเองก็เปลี่ยน แน่นอนว่าไม่มีใครจำนางว่าเป็นมู่จิ่วซีได้แน่เพราะพอเห็นไป๋ชินเตี่ยนเข้า มู่จิ่วซีก็ยิ่งสนใจมากขึ้นจากนั้นนางก็เห็นใต้เท้ากู้ของกระทรวงครัวเรือน เมื่อก่อนถูกไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้นลอบสังหาร แต่ว่าไม่สำเร็จ เลยทำให้เปิดโปงเรื่องของจินเป้ยออกมาแล้วก็ยังมีจองหงวนราชสำนักอีกหลายคน ทุกคนต่วงล้วนรู้จักกันอีกทั้งยังทักทายกัน แต่ว่าก็ยังมีบางคนที่สวมหมวกปีกกว้างเหมือนกับพวกเขา"คุณชายถัง ท่านนี้คือ?" บ่าวรับใช้ตรงหน้าประตูพอเห็นฮั้วอวิ๋นเทียนก็เชิญอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนและหันไปมองมู่จิ่วซี"ท่านนี้คือน้องชายข้าเอง เจ้าเรียกเขาคุณชายจิ่วก็ได้" ฮั้วอวิ๋นเทียนกล่าว"ได้ขอรับ คุณชายถัง คุณชายจิ่วเชิญขอรับ" บ่าวรับใช้หยิบแท่งเงินตำลึงของฮั้วอวิ๋นเที
แคว้นเกาอวิ๋นสมองของมู่จิ่วซีมึนงง รู้สึกเพียงแค่ร่างกายถูกคนกระชากไปมา โยนไปรอบๆ ในหูยังมีเสียงต่างๆ ลอดเข้ามาอีก“รีบเอากรงเข้ามา นังผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ กล้าแอบไปคบชู้สู่ชายภายนอก ต้องถูกขังกรงหมูแล้วถ่วงน้ำเสียให้ตาย”มู่จิ่วซีเบิกสองตาโพลงสิ่งที่สัมผัสกับสายตาคือแสงตะเกียงสลัวกับพื้นหญ้า รอบด้านมีคนยืนเต็มไปหมดบนตัวนางคือชุดกระโปรงยาวที่เปียกโชก มือเท้าถูกคนมัดไว้ นอนตัวงอราวกับกุ้งอยู่บนพื้นหญ้าห่างออกไปหนึ่งเมตรมีศพของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วยมุมปากของนางค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาประชดประชันนางเป็นถึงราชินีราตรีของกองทหารรับจ้างอันดับหนึ่งของโลก มีแต่นางที่คอยจับคนอื่นมัด เมื่อไรกันที่ต้องมาถูกคนพันธนาการไว้เช่นนี้?นั่นก็เพราะนางข้ามมิติมาแล้ว ดวงวิญญาณข้ามมาอยู่บนตัวของมู่จิ่วซีคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แห่งแคว้นเกาอวิ๋น“ท่านผู้สำเร็จราชการแทน โปรดปล่อยคุณหนูใหญ่ของตระกูลพวกเราเถิด คุณหนูใหญ่กับหมอหลวงเวินถูกใส่ร้าย” หญิงสาวคนหนึ่งกำลังโขกหัวลงพื้นร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างนางมู่จิ่วซีเงยตาทันที ตั้งใจมองให้ชัดข้างหน้าห่างไปสามเมตรมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่