เสียงหวูดเรือดังขึ้นพร้อมกับลมที่พัดมาอีกรอบหนึ่ง เล่นเอามือที่กำลังจับราวเอาไว้นั้นรีบกำแน่น ตัวฉันก็แค่นี้ แค่ลมพัดก็พร้อมที่จะปลิวออกทะเลไปแล้ว ฉันไม่ใช่พระมหาชนกนะที่จะหาน้ำมันมาทาตัวกินข้าวให้อิ่มแล้วจะพุ่งลงทะเลว่ายน้ำหนีไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นจิตวิญญาณนักสู้ในตัวฉันก็บอกว่าอย่ายอมแพ้ ปลายเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงอยู่นั้นได้พยายามตะเกียกตะกายไปจนกระทั่งเหยียบขอบหน้าต่างห้องที่ใกล้ที่สุดจนได้
ระ...รอดแล้ว
ฉันไม่รอช้าขยับเข้าไปจนกระทั่งเท้าเหยียบตรงนั้นได้อย่างมั่นคงและมือก็จับด้านบนของหน้าต่างเอาไว้ได้ จึงปล่อยมือที่จับราวอยู่แล้วพาตัวเองมุดเข้าห้องนั้นไปอย่างรวดเร็ว
บุญบาปที่หน้าต่างนี้ดันอยู่ติดกับเตียงนอนพอดิบพอดี ทำให้ฉันไม่ต้องเจ็บตัวเพิ่มจากการที่หล่นลงมากระแทกพื้น ร่างของฉันนอนนิ่งอยู่กับที่นอนนิ่มๆ ของโรงแรมบนเรือแห่งนี้ ในขณะที่สายตาเอาแต่มองเพดานที่มีหลอดไฟกลมเสมือนดวงอาทิตย์แห่งความหวัง ความรู้สึกที่เหมือนได้เกิดใหม่ทำให้น้ำตาแห่งความดีใจค่อยๆ ไหลออกมาอย่างช้าๆ
นี่ฉัน...รอดแล้วใช่ไหม?
ทว่าความดีใจนั้นก็ไม่ได้อยู่กับฉันนานนัก
“เธอเป็นใคร?”
เสียงกระแอมของใครบางคนทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมาด้วยความลนลาน ในจังหวะนั้นเองที่มีคนเปิดประตูเข้าห้องมาพอดี เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมสีเทาเข้มของเขารับกับใบหน้าคมและสายตาดุๆ ที่กำลังมองมานั่นได้เป็นอย่างดี ซ้ำเมื่อมองต่ำลงมา ชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิทซึ่งถูกผูกเชือกเอาไว้หลวมๆ ได้ร่นลงมาข้างหนึ่ง เผยรอยสักรูปมังกรของเขาที่เสริมให้ชายตรงหน้าดูน่าเกรงขามขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่เอ๊ะ? ฉันจะมาพิจารณารูปร่างหน้าตาของเขาทำไมกันเนี่ย
“บุกเข้าห้องคนอื่นแล้วยังทำที่นอนเปื้อนอีก จะชดใช้ยังไง”
เสียงดุๆ ของเขาทำให้ฉันก้มลงไปมองที่ชุดของตัวเอง แล้วก็ต้องตาเบิกโพลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าตอนนี้ทั้งตัวด้านหน้าของฉันมีฝุ่นสีดำติดอยู่ หนำซ้ำมันยังลามลงไปเลอะที่นอนสีขาวสะอาดนี่อีกด้วย
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ฉันกระวีกระวาดลงมาจากเตียงในทันที มือไม้พยายามปัดคราบฝุ่นออกจากผ้าห่มและผ้าปูที่นอนของเขา แต่เหมือนว่ายิ่งทำอย่างนั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง
“คนไทย?”
คนตรงหน้าฉันพูดขึ้นมาสั้นๆ ทำให้มือที่กำลังปัดฝุ่นนั้นชะงักลง จะว่าไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเขาก็พูดไทยกับฉันนี่นา เพราะความกลัวทำให้ฉันไม่ทันสังเกต ถึงแม้ว่าที่นี่นั้นจะมีนักศึกษาจากหลายสัญชาติมาเรียน แต่ดูจากอายุหน้าของเขา คงไม่ใช่นักศึกษาแน่ๆ หรือว่าจะเป็นผู้ปกครองของนักศึกษาคนอื่น
แต่ว่า ข้างนอกนั่นก็คนไทยไม่ใช่เหรอ ทำไมดวงของฉันมันช่างสมพงศ์กับคนจากบ้านเกิดขนาดนี้
“มองหน้าฉันทำไมอย่างนั้น?”
“ปะ เปล่าค่ะ” ในเมื่อเขาเป็นคนไทยก็คงจะพอพูดง่ายหน่อย ถึงหน้าตาท่าทางจะน่ากลัวไปบ้างก็เถอะ “คือว่า...เมื่อกี้มันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย...”
“ก็เลยปีนเข้าห้องคนอื่น?”
“บอกแล้วไงคะว่าไม่ได้ตั้งใจ...”
“ถึงจะอย่างนั้นก็ช่างเถอะ รีบออกไปก่อนที่ฉันจะ...”
ยังไม่ทันที่บทสนทนาของเราจะได้ดำเนินต่อไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นที่ข้างนอกพร้อมกับบทสนทนาแสนจะคุ้นหูพวกนั้น
“มันอยู่ในห้องไหนสักห้องนี่แหละ หามันให้เจอ”
ใครน่ะ คงไม่ได้หมายถึงฉันหรอกใช่ไหม เมื่อกี้พวกนั้นมองไม่เห็นฉันไม่ใช่เหรอ หรือว่าจะหาคนอื่น?
“มันรูปร่างเป็นยังไงครับ?” เสียงของชายอีกคนถามขึ้น ทำให้ฉันที่รอฟังพลอยใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปด้วย
ไม่ใช่ฉัน ขอให้ไม่ใช่ฉันทีเถอะ...
“ไม่เห็นหน้าหรอก แต่เห็นกระโปรงแวบๆ ตอนนี้คนอื่นอยู่ในงานกันหมด ส่งคนไปกั้นทางเข้าไว้ ใครอยู่ข้างนอกใส่กระโปรงฟูๆ จัดการให้หมด”
ตายโหง นั่นมันฉันเลยนี่นา...
สายตาของฉันมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าเชิงอ้อนวอน เขาได้ยินแล้วใช่ไหมว่าไอ้พวกข้างนอกนั่นมันตามหาตัวฉันอยู่ เขาคงไม่ได้ใจจืดใจดำถึงขั้นจะส่งฉันให้พวกนั้นหรอกใช่ไหม ถึงแม้ว่าฉันจะทำเรื่องน่าหงุดหงิดด้วยการทำห้องเขาเลอะฝุ่นก็เถอะ
“ไปหาตัวมันให้เจอ ไม่งั้นบอสเอาตายแน่”
สิ้นเสียงของคนข้างนอก ชายที่นั่งอยู่ตรงโซฟาก็จ้องหน้าฉันเขม็ง สายตานิ่งเรียบกำลังสะกดให้ขาฉันอ่อนแรงจนก้าวไม่ออก แต่สุดท้ายฉันก็ยังพาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยเสียงกระซิบ
“ขะ...ขอร้องล่ะค่ะ อย่าบอกพวกนั้นว่าฉันอยู่ในนี้นะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงตั้งคำถาม เป็นจังหวะเดียวกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพอดี
ก๊อก ก๊อก
หัวใจของฉันเต้นแรงเหมือนมีกลองนับพันรัวกระหน่ำอยู่ในนั้น ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่กยิ่งกว่าตอนอยู่ข้างนอกซะอีก ความกลัวตายได้พุ่งสูงปรี๊ดจนทำให้ฉันกล้าทำแม้แต่เรื่องที่ลดศักดิ์ศรีตัวเองอย่างการไหว้คนตรงหน้า
“ขอร้องล่ะค่ะ อย่าบอกพวกนั้นนะว่าฉันอยู่นี่ ฉันไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า พวกนั้นจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ คุณเองก็ทั้งหน้าตาดีทั้งดูใจดี คงไม่ทำ...”
“บอสครับ ตอนนี้มีหนึ่งคนที่น่าสงสัยกำลังหาตัวอยู่ครับ”
คำพูดของคนข้างนอกทำให้ปากที่กำลังขยับพลันหยุดชะงัก ทั้งการคุยภาษาไทยของพวกที่ฆ่าคนข้างนอกนั่น และเขาเองก็เป็นคนไทยแล้วสรรพนามที่พวกนั้นเรียกเขาว่า...บอส
มือที่กำลังไหว้ปลกๆ อยู่นั้นทิ้งลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงในทันที ทั้งตัวของฉันเย็นวาบ จากที่คิดว่าจะรอดแล้วก่อนหน้านี้กลับรู้สึกลำคอแห้งผากเหมือนคนที่ขาดน้ำจนจะตายให้ได้
ยิ่งได้เจอสายตาดุๆ ของเขา ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นใครเลยไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้พบว่ามันดูน่ากลัวขึ้นทั้งที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“คะ...คุณ...”
“พูดต่อสิ ถ้าเธอขอร้องได้ถูกใจฉันอาจจะไว้ชีวิตก็ได้”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตัวฉันเย็นวาบยิ่งกว่าเดิม แม้แต่เรี่ยวแรงจะอ้าปากร้องขอชีวิตยังไม่มีด้วยซ้ำ เมื่อกี้...ที่ข้างนอกนั่น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงขนาดนั้นที่ฉันได้กลิ่น คำพูดของพวกเขาที่บอกว่าให้จัดการศพ...ไม่จริงใช่ไหม เรื่องนี้จะต้องไม่จริงแน่ๆ
“บอสครับ” เสียงจากคนหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้งทำให้เราทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน “เราค้นทุกห้องแล้วไม่เจอใคร คิดว่าน่าจะหนีเข้าไปในงานแล้ว”
ทันใดนั้นสายตาของชายผู้ถูกเรียกว่าบอสก็มองตรงมาที่ฉัน ก่อนเขาจะเอื้อนเอ่ยคำที่ทำให้ฉันชาไปทั้งตัว
“มันอยู่นี่ มาเอาตัวมันไป”
“ไม่นะ”
ฉันไม่มีโอกาสได้หนีด้วยซ้ำ สิ้นคำพูดของเขาคนข้างนอกก็กรูเข้ามาล็อกตัวฉันเอาไว้ในทันที ในขณะที่ฉันทำได้แค่กรีดร้องและดีดดิ้นไปมาเพื่อให้รอดออกไปจากตรงนี้ ไอ้ผู้ชายที่ฉันขอให้ช่วยก่อนหน้ากลับกอดอกแล้วยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์จนใจฉันสั่นเลยล่ะ ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังจะเป็นคนสั่งปลิดชีพฉันได้ในตอนนี้น่ะนะ เพราะนั่นทำให้รอยยิ้มนั้นดูสยดสยองจนฉันไม่อยากจะมอง
"ปะ...ปล่อยฉันนะ ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
ฉันพยายามจะแก้ตัว แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย
“เมื่อกี้เธอบอกฉันเองกับปากว่าได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน ตอนนี้จะโกหก?”
“ฉันเปล่าโกหกนะ เมื่อกี้ฉันได้ยินก็จริงแต่ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก สาบานได้เลย”
“มีแต่คนตายเท่านั้นแหละที่จะเอาไปบอกคนอื่นไม่ได้ เฮ้ย! เอาไปฆ่าทิ้ง”
“ไม่ๆๆๆๆ”
แง ฉันจะทำยังไงดี ฉันยังไม่อยากตาย พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วย อนาคตลูกกำลังรุ่งโรจน์ กำลังจะได้เป็นตัวเด่นในงานแฟชั่นโชว์ของมหาวิทยาลัยแล้วแท้ๆ
พอคิดถึงตรงนั้นจู่ๆ ฉันก็ปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมา
“คุณทำร้ายฉันไม่ได้นะ ถ้าเกิดว่าฉันไม่กลับเข้าไปในงานตอนนี้ละก็ จะต้องมีคนออกตามหาแน่ๆ”
“มั่นใจจังนะ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“ฉันคือตติญา ดิไซเนอร์เจ้าของชุดฟินาเล่ในวันนี้ แค่ฉันหายไปไม่กี่นาทีคนก็น่าจะเริ่มออกตามหาแล้ว ในไม่ช้าต้องมีคนมาเจอแน่”
ชายตรงหน้าฉันเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองไปยังชายชุดดำที่ยืนกอดอกอยู่ข้างตัวแล้วหันไปเอ่ยเสียงเรียบ
“งั้นก็ฆ่าเธอก่อนที่จะมีคนมาเจอเลยสิ”
แกรก
ว่าแล้วเขาก็ชักปืนขึ้นมาจ่อหน้าฉันเลยทันที เล่นเอาเด้งตัวไปหลบหลังลูกน้องเขาที่จับแขนฉันอยู่แทบไม่ทัน
“อย่านะ ขอร้องล่ะ ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้ ขอล่ะ เห็นแก่ที่เป็นคนไทยด้วยกันก็ได้”
“งั้นก็ยิ่งตัดสินใจง่าย คนไทยก็แสดงว่าฟังที่ฉันพูดรู้เรื่องสิ”
ยิ่งฉันพูดอะไรออกมามันก็เหมือนมีแต่ยิ่งแย่ แม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ ทว่าในแววตาของเขากลับไม่มีคำว่าล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว ปลายกระบอกปืนที่ชี้มายังฉันคล้ายจะบอกว่าจริงๆ ฉันได้ตายไปแล้ว เหลือแค่เขาลั่นไกเท่านั้น
“คนที่มารู้เรื่องของฉันจะรอดออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ”
วินาทีนั้นเองหัวใจของฉันมันก็เหมือนจะหยุดเต้นลงไปเสียดื้อๆ ทั้งร่างหนักอึ้งเหมือนมีหินหนักๆ มาทับเอาไว้ น้ำตาก็ไหลลงมาจนภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมด
ถึงตอนนี้ฉันไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตายอีกต่อไปแล้ว แค่คิดว่าดีจริงๆ อย่างน้อยๆ ก่อนตายฉันก็ยังไม่ต้องเห็นภาพที่น่าสยดสยองของตัวเอง
ดีจริงๆ...
(คามินทร์)งี่เง่า ก็แค่งานจบการศึกษามหาวิทยาลัยที่พ่อแม่ผมถือหุ้นอยู่ไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้กลับต้องส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นแขกผู้มีเกียรติทุกปี พ่อแม่เองก็ตายไปตั้งนานแล้วไม่รู้จักขายหุ้นไปซะให้มันจบๆ อันที่จริงงานแบบนี้ต้องเป็นหน้าที่ของ ภาคินทร์ พี่ชายคนโตของผม ไอ้หมอนั่นเป็นถึงว่าที่ท่านประธานรุ่นต่อไปของ KL-group บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือและทรัพย์สินมากกว่าหมื่นล้าน เพราะอย่างนั้นเรื่องที่ต้องออกหน้าก็ไม่พ้นทายาทอย่างมันเพียงแต่วันนี้งานของไอ้คินทร์มันดันรัดตัว น้องชายคนเล็กอย่าง นาวินทร์ ที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็กำลังดิ่งจากการอกหัก ผมไม่อยากรับงานที่ยุ่งยากและวุ่นวายอย่างนี้นักหรอก แต่คนที่ขึ้นเรือมาด้วยดันเป็นคนที่ผมอยากเจอ...เธอคนนั้นคือ จันทร์จ๋า ผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจ แต่ความสัมพันธ์ของเรามันก็จบลงไปกว่าสี่ปีแล้ว เหลือเพียงความหลังที่มีแค่ผมตามดูเธออยู่เงียบๆเพียงแต่...เรื่องเหล่านั้นมันไม่สำคัญหรอก ผมเพิ่งจะไปเจออริเก่าที่ด้านนอกแล้วกลับเข้ามาในห้อง ไม่คิดว่าจะเจอสปายที่แอบฟังบุกเข้ามาใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผมมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอย่าง
(ตติญา)รอดแล้วตติญา แกรอดแล้วฉันรีบวิ่งกลับเข้ามาในงานอย่างไม่คิดชีวิต เชื่อไหมว่าเมื่อกี้รองเท้าเกือบหล่นกลางทางอย่างกับฉากในการ์ตูนไม่มีผิด ดีที่ฉันไหวตัวทันรีบกลับไปเก็บเพราะเห็นชายชุดดำหนึ่งในกลุ่มนั้นกำลังเดินตามมาเช่นกันโอ๊ย...นี่เขาจะเอาฉันตายให้ได้เลยใช่ไหม ฉันเคยได้ยินจากเคทลินมาบ้างเรื่องที่ในเมืองนี้มีมาเฟีย แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกันอีกต่างหาก ตอนนี้หัวใจฉันยังเต้นแรงอยู่เลย มือไม้ก็สั่นจนทำอะไรไม่ถูก“แกไปทำอะไรมา ทำไมชุดเปื้อนแบบนั้นล่ะ”เข้ามาถึงหลังเวทีเคที่ก็พุ่งเข้ามาหาในทันที ฉันมองหน้าเธอแล้วพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ความรู้สึกของฉันเหมือนกำลังวิ่งหนีฆาตกรในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แล้วไอ้ฆาตกรนั่นมันก็ยังอยู่บนเรือลำนี้ เรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล ไม่มีทางหนีมีแต่ตายลูกเดียวอ๊ากกก นี่มันสถานการณ์อันตรายแล้ว ฉันควรจะทำยังไงดี ต้องบอกตำรวจดีหรือเปล่า“แก แก!!”“ฮะ”เสียงตะโกนของเคททำให้ฉันได้สติ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเหม่อไปนานแค่ไหน แต่จากสายตาเคท มันคงผ่านไปนานมากแน่ๆ“เป็นอะไรเนี่ย เจอเรื่องอะไรมาห
หลังจากการเดินโชว์สิ้นสุดลง ในงานก็มีการจัดปาร์ตี้และคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยวงที่ได้รับการโหวตจากเหล่านักศึกษาในช่วงก่อนที่จะจัดงานขึ้นมา รวมทั้งจะมีการอนุญาตให้นักศึกษาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานของมหา’ลัยเป็นครั้งแรก ตอนนี้ทั้งเพื่อนๆ และเหล่ารุ่นน้องของฉันต่างก็พากันดื่มและโยกย้ายไปตามจังหวะของเสียงเพลง บ้างก็ควงแขนกันออกจากงานไปเป็นคู่ๆ แต่ฉันนี่สิ แค่เหล้าแก้วเดียวยังไม่กล้าดื่มเลยถ้าเกิดว่าไอ้หมอนั่นมันทำเรื่องใหญ่ขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดว่าเขาฆ่าคนอีกโดยที่ฉันรู้ว่าตัวเองมีโอกาสหยุดมันแต่ไม่ยอมทำ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือคนที่โดนคือเพื่อนฉัน“ญ่า”ทันใดนั้นเสียงของเคทก็แทรกเสียงดนตรี EDM ที่ดังกระหึ่มเข้ามากระทบหูของฉัน พอหันไปมองก็พบกับเคทลินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสาวแซ่บซี้ดด้วยเดรสยาวสีแดงสุดโดดเด่น บอกเลยว่าคืนนี้เพื่อนฉันไม่ได้มาเล่นๆ แต่ฉันนี่สิ ยังใส่ชุดเดิมชุดเดียวกับในงานอยู่เลยแล้วสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นบางอย่างในมือของเธอ เป็นเหล้าขวดสวยๆ คล้ายๆ กับที่ฉันเคยเห็นในหนังฝรั่งไม่มีผิด“นี่อะไร?”“เอามาให้”“หา?”“ไม่ต้องหาแล้ว นี่เหล้าที่ดีที่สุดของเรือนี้เลยนะขอบอก ฤทธิ
(คามินทร์)ยัยบ้านี่...ไม่ใช่ผมเพิ่งจะปล่อยไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงได้กลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังกลับมาในสภาพเมาปลิ้น ปรี่เข้ามาจูบผมแบบไม่ให้ตั้งตัวอีก“คุณ...มาเป็นของฉันได้ไหมคะ?”แล้วนี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา คนเราจะขอให้คนอื่นมาเป็นของตัวเองก็ต้องมีความสนใจในตัวอีกฝ่ายมากพอ แต่นี่เราไม่ได้รู้จักกัน เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้ประทับใจเลยด้วยซ้ำใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าผมนั้นแดงก่ำ ร่างกายของเธอมีความผิดปกติบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนเมาแน่ๆไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของผมมันก็เกิดอาการเช่นกัน มันทำให้ผมร้อนไปหมดทั้งตัว รู้สึกวูบวาบประหลาดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยแท้ๆอาการมันเหมือนกับ...ตอนที่ผมโดนยาก่อนหน้านี้“คุณมาเป็นของฉันเถอะนะคะ ฉันไม่ไหวแล้ว”มือเล็กปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผมโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนกำลังฉลองกันอยู่เลยไม่ได้มีใครสนใจตรงนี้ ด้านจาเรดเมื่อเห็นว่าผมเจอปัญหาก็รีบวิ่งตรงเข้ามาดูในทันที“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”“อือ มี ปัญหาใหญ่ซะด้วย”ก็ช่วยอยู่นิ่งๆ สิโว้ย ดูท่าว่าเธอคนนี้ก็คงกำลังโดนยาบ้าน
(ตติญา)ร้อน...มันร้อนมากๆ เลย ในร่างกายของฉันเหมือนมีซาวน่าขนาดย่อมๆ อยู่ในนั้น ยิ่งฉันขยับตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนมีไฟร้อนๆ สุมอยู่ในอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าฉันต้องการ...เรื่องนั้นมากกว่าครั้งไหนๆ“เข้าใจทำนะ เนียนดีฉันชอบ”เสียงกระเส่าของชายหนุ่มที่ก่อนหน้าขู่ฉันจะเป็นจะตาย ทว่าตอนนี้เขากำลังกระซิบอยู่ข้างหูของฉัน มือหนาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าอกบีบเคล้นจนเจ็บจี๊ด แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเขาทำรุนแรงมากเท่าไร นั่นก็ไม่ต่างจากการปลุกอารมณ์ประหลาดวูบวาบในตัวฉันให้ตื่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิมฉันเพิ่งรู้ว่านี่คือเขาก็ตอนที่ตัวเองอยู่ในห้องอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีสติจะมาสนใจนักว่าเขาคือใครขอแค่ความรู้สึกประหลาดนี่หายไปจะใครก็ได้ทั้งนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำก่อนที่จะดึงให้เข้าไปประชิดตัวในท่านั่ง มือข้างหนึ่งล้วงต่ำลงมาบริเวณหน้าท้องแบนราบ ออกแรงกดให้แผ่นหลังของฉันแนบไปกับแผงอกของเขามากยิ่งกว่าเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นคือมีบางอย่างที่ทั้งอุ่นทั้งแข็งขืนกำลังดันอยู่กับสะโพกของฉัน“แล้วมันบอกหรือเปล่า
เจ็บ...นี่คือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของฉันจุก...มึน ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทั่วทั้งร่าง ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว อาการร้าวระบมที่แปลกประหลาดทำให้ฉันต้องพยายามฝืนตัวเองหน่อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ รับภาพที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือผ้าห่มสีขาวสะอาดเหมือนกันกับห้องพักของฉัน ทว่าผนังสีชานั้นกลับบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอนมันคือห้องหรูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับนักศึกษาซึ่งจ่ายค่าห้องโดยมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเหมือนเคยมาที่นี่ก่อนหน้า“โธ่เว้ย!!”เพล้ง!เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายที่เหมือนจะขยับไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลับลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มที่ฉันเจอเขาเมื่อวาน...เขาในตอนนี้เปลือยท่อนบนทำให้ฉันเห็นกล้ามเนื้อแน่นที่เต็มไปด้วยรอยสักหน้าตาประหลาด ซ้ำยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ที่เอวอีกด้วยฉันเห็นเขาจากข้างหลังเท่านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลในอารมณ์ของเขา มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ในขณะที่บนพื้นก็มีแต่เศษแก้วแตกอย
บ้านตระกูลวีรวรวรรณ 13 วันต่อมาหลังจากพิธีจบการศึกษา ฉันอยู่เที่ยวต่อที่ฮ่องกงต่อราวๆ เกือบสองอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่งก็คือกำลังรอสัญญาจากโรงงานเรื่องของการผลิตผ้าและตัดเย็บเพื่อส่งไปยังสาขาที่กำลังจะเปิดในประเทศไทย ฉันกำลังจะเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองในชื่อแบรนด์ ตติญา ซึ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้วส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือฉันกำลังเที่ยวเพื่อให้ลืมเรื่องบ้าๆ บนเรือนั่น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรถึงได้มีอะไรกับเขา แล้วยัยเคทหายตัวไปไหนไม่รู้ติดต่อก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเธอนั่นแหละภายในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวที่มีฐานะอย่าง วีรวรวรรณ บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านช่างแตกต่างจากก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกงลิบลับ สวนนอกตัวบ้านเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดสร้างความร่มรื่นส่งกลิ่นหอมอยู่ทุกฤดู ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ไม่ต่างอะไรจากน้ำใจของคนในบ้านหลังนี้ หลังจากที่เสียประมุขของบ้านอย่างคุณยายประไพไปแล้ว ศึกแห่งการแก่งแย่งสมบัติก็ทำให้ทุกอย่างไม่ต่างจากขุมนรกยังดีที่ก่อนคุณยายเสีย ท่านได้แบ่งทรัพย์สินให้ทั้งลูกๆ และหลานๆ อย่างเท่าเทียม ฉันเลยไม่ต้องทนเรื่
“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”“ติญ่าเป็นหลา
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ