(คามินทร์)
ยัยบ้านี่...ไม่ใช่ผมเพิ่งจะปล่อยไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงได้กลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังกลับมาในสภาพเมาปลิ้น ปรี่เข้ามาจูบผมแบบไม่ให้ตั้งตัวอีก
“คุณ...มาเป็นของฉันได้ไหมคะ?”
แล้วนี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา คนเราจะขอให้คนอื่นมาเป็นของตัวเองก็ต้องมีความสนใจในตัวอีกฝ่ายมากพอ แต่นี่เราไม่ได้รู้จักกัน เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้ประทับใจเลยด้วยซ้ำ
ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าผมนั้นแดงก่ำ ร่างกายของเธอมีความผิดปกติบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนเมาแน่ๆ
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของผมมันก็เกิดอาการเช่นกัน มันทำให้ผมร้อนไปหมดทั้งตัว รู้สึกวูบวาบประหลาดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยแท้ๆ
อาการมันเหมือนกับ...ตอนที่ผมโดนยาก่อนหน้านี้
“คุณมาเป็นของฉันเถอะนะคะ ฉันไม่ไหวแล้ว”
มือเล็กปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผมโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนกำลังฉลองกันอยู่เลยไม่ได้มีใครสนใจตรงนี้ ด้านจาเรดเมื่อเห็นว่าผมเจอปัญหาก็รีบวิ่งตรงเข้ามาดูในทันที
“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อือ มี ปัญหาใหญ่ซะด้วย”
ก็ช่วยอยู่นิ่งๆ สิโว้ย ดูท่าว่าเธอคนนี้ก็คงกำลังโดนยาบ้านั่นด้วยเช่นกัน แต่โดนได้ยังไง โดนวิธีไหน แล้วเอามาโดนผมด้วยได้ยังไงต้องหาทางวินิจฉัยอีกทีซึ่งคงทำตรงนี้ไม่ได้
“ให้ผมจัดการเถอะครับ” จาเรดพยายามยื่นมือมาคว้าตัวเธอไปแต่ผมหยุดเอาไว้ได้ซะก่อน
“ไม่ต้อง นี่เป็นยาที่ฉันเคยโดน แกไปคุ้มกันจันทร์จ๋า อย่าให้เธอดื่มเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า หรือถ้าดื่มไปแล้วมีอาการแปลกๆ ให้รีบมาบอกฉันทันที”
“รับทราบครับบอส”
หลังสั่งงานเสร็จผมก็หันมาหาคนที่อยู่ในอ้อมกอด ร่างเล็กดิ้นดุกดิกโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ส่วนเธอยัยตัวยุ่ง มานี่”
ผมลากยัยตัวปัญหากลับมายังห้องพักของตัวเอง ระหว่างทางก็เหมือนว่าเธอจะหมดสติลงไปเสียดื้อๆ อาการแบบนี้ไม่รู้ว่าโดนไปเยอะแค่ไหน ดูทรงแล้วคงทั้งเมาทั้งโดนยาแน่ๆ ที่สำคัญคือโดนมาจากไหน ใครเป็นคนเอาให้เธอ
“เวลเด้”
ผมเรียกลูกน้องอีกคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
“ครับบอส”
“ไปหาว่าผู้หญิงคนนี้ดื่มเหล้าอะไร ได้มาจากใคร เอาให้ละเอียดที่สุด”
“ได้ครับ”
“อ้อ แล้วก็สั่งให้คนอื่นออกไปให้ห่างหน้าห้องกูด้วย”
“ทำไมครับ? แบบนั้นมันจะไม่ปลอดภัย...”
“กูจะเอาผู้หญิง พอใจยัง!”
ไอ้บ้านี่ ต้องให้ได้ตะคอก
“คะ...ครับบอส ตามคำสั่งเลยครับ”
ทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้ว หญิงสาวถูกโยนลงบนเตียงให้นอนราบไปทั้งอย่างนั้น แต่ชุดเดรสสั้นฟูฟ่องที่เธอสวมก็ได้เลิกขึ้นจนเห็นต้นขาขาว ยิ่งเธอขยับร่างกายไปตามความรู้สึกที่กำลังปะทุ อารมณ์บางอย่างที่กำลังถูกยากระตุ้นในร่างกายของผมมันก็ได้พุ่งขึ้นสูงเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่อย่างนั้นอาจจะปกป้องจันทร์จ๋าไม่ทัน...โธ่เว้ย!
ผมรีบต่อสายไปยังประเทศไทยในทันที โชคดีของยัยนี่ที่สัญญาณมือถือยังคงใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นเธอได้ตายกลางทะเลแน่ๆ
รอไม่กี่วินาทีอีกฝ่ายก็รับสาย
[เออ ว่า]
คนที่ผมเลือกจะโทรหาคือ ภาคินทร์ พี่ชายฝาแฝดของผมเอง อันที่จริงก็ไม่ได้สนิทกันมากหรอก ในสามคนพี่น้องผมกับนาวินทร์สนิทกันมากกว่าไอ้พี่ชายคนโต แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของน้องชายผมมันไม่สมประกอบ จะโทรไปกวนมันก็ยังไงอยู่
“กูมีเรื่องให้ช่วย”
[มึงเนี่ยนะมีเรื่องให้ช่วย โทรผิดหรือเปล่า นี่กูภาคินทร์]
“เออ กูเมมชื่อมึงตัวใหญ่กว่าไอ้วินทร์อีก”
[แล้วลมอะไรพัดเข้าตาถึงได้โทรหากู ขอเนื้อๆ กูง่วง]
“มึงช่วยกูหาได้ไหมว่าไอ้ยาปลุกเซ็กซ์ที่กำลังระบาดๆ อยู่ทุกวันนี้อะ นอกจากให้ยาระงับตามอาการทางสายน้ำเกลือแล้วมันรักษายังไงได้อีก”
ร่างกายของผมมันเริ่มจะแปลกๆ ขึ้นไปทุกที ก่อนออกจากโรงพยาบาลหมอบอกว่าหากโดนครั้งที่สองแล้วเป็นยาตัวเดิมอาการจะแรงขึ้นจนอาจหัวใจวายได้เลย ผมไม่รู้หรอกว่ามันคือยาตัวเดิมไหมแต่ร่างกายมันกำลังตอบสนองรุนแรงจนน่ากลัว
ผมต้องปกป้องจันทร์จ๋า จะมาเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
[มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะ อย่าบอกนะว่าโดน?]
“เออ โดน กำลังอารมณ์ขึ้นเลยเนี่ย เร็วดิ ถามมากว่ะ”
[โดนก็หาผู้หญิงมาเอาสักคน ยากตรงไหนวะ คนอย่างมึงไม่น่าขาดนะผู้หญิงอะ]
เฮ้อ...นี่คือความคิดของประธานบริษัทยักษ์ใหญ่มูลค่าระดับพันล้าน ถ้าด่าพี่ชายตัวเองว่า ปัญญาอ่อน จะมีใครว่าผมไหม
“เออ กูรู้ มีอารมณ์ก็แค่เอาผู้หญิงสักคน แต่มัน...อึก...ไอ้เหี้ย...มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ ครั้งที่แล้วฉีดเข้าเส้นยังต้องรอตั้งหลายชั่วโมง”
[เฮ้ยๆๆ อย่ามาครางใส่สายกูนะไอ้น้องเวร แล้วนี่มึงเป็นไง หนักมากเหรอวะ]
ไม่ต้องมาทำห่วงตอนนี้เลย ไม่ทันแล้วไอ้พี่เวร
“เออ หนักมาก กูขอไปปลดปล่อยก่อน เสร็จแล้วจะโทรหา”
[เออ เดี๋ยวกูเรียกกู้ภัยรอ]
นั่นปากเหรอวะ พูดจบมันก็ตัดสายไป ทิ้งให้ผมอยู่กับอารมณ์ปั่นป่วนที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงหน้าที่นอนบิดซ้ายบิดขวาส่งเสียงครางอู้อี้ในลำคออยู่บนที่นอนของผม แค่ผมแวบไปคุยสายกับพี่ชายไม่กี่นาที กลับมาก็พบว่าเสื้อผ้าของเธอหายออกไปจากตัว เหลือเพียงชั้นในที่ปกปิดร่างกายเอาไว้เสียแล้ว
ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบฝืนตัวเองด้วยการทนมองเรือนร่างของหญิงสาวแล้วไม่ทำอะไรหรอกนะ ถึงผมจะสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่มีอะไรกับใครจนกว่าจะได้จันทร์จ๋าคืนมา แต่นี่มันเหตุสุดวิสัย
ถ้าผมไม่ทำ คนตรงหน้ารวมทั้งผมเองก็อาจจะหัวใจวายตายกันทั้งคู่ มันไม่มีทางเลือก ผมคิดว่าเธอคงเข้าใจ
แค่นั้นแหละ ไม่ต้องถามมาก
“ร้อน...”
ปากเล็กๆ นั่นเอาแต่ส่งเสียงออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา เคล้าไปกับเสียงครางกระเส่าที่ดังเร้าอารมณ์ผมอยู่เป็นระยะๆ
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมคงไล่เธอออกไปจากห้องแทบไม่ทัน แต่นี่ผมเองก็กำลังสติกระเจิดกระเจิงเพราะไอ้ยาบ้าๆ นี่ จึงทำให้ร่างกายผมตอบสนองต่อเสียงนั่นได้อย่างง่ายดาย
“ร้อน...ก็ถอดที่เหลือออกให้หมดสิ”
ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งตัวผมเองก็ร้อนรุ่มไม่แพ้กัน จนท้ายที่สุดแล้วได้ทาบทับลงไปจนรับรู้ได้ถึงเรือนร่างนุ่มนิ่มที่กำลังร้องเรียกหาสัมผัสของผมอยู่ตรงหน้า...
รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่บ้า แต่ผู้หญิงคนนี้ถูกต้องตามสเปกผมทุกส่วน ทั้งทรงผม ใบหน้าออดอ้อนแม้ยามเธอกำลังหวาดกลัว หุ่นที่เหมือนนางแบบจากนิตยสารมาเอง หน้าอกหน้าใจใหญ่เต็มไม้เต็มมือ บั้นท้ายกลมกลึงน่าบีบเคล้น
ไหนๆ เจอของโปรดมาป้อนถึงปาก ก็ขอ กิน ให้มันหนำใจหน่อยก็แล้วกัน
(ตติญา)ร้อน...มันร้อนมากๆ เลย ในร่างกายของฉันเหมือนมีซาวน่าขนาดย่อมๆ อยู่ในนั้น ยิ่งฉันขยับตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนมีไฟร้อนๆ สุมอยู่ในอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าฉันต้องการ...เรื่องนั้นมากกว่าครั้งไหนๆ“เข้าใจทำนะ เนียนดีฉันชอบ”เสียงกระเส่าของชายหนุ่มที่ก่อนหน้าขู่ฉันจะเป็นจะตาย ทว่าตอนนี้เขากำลังกระซิบอยู่ข้างหูของฉัน มือหนาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าอกบีบเคล้นจนเจ็บจี๊ด แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเขาทำรุนแรงมากเท่าไร นั่นก็ไม่ต่างจากการปลุกอารมณ์ประหลาดวูบวาบในตัวฉันให้ตื่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิมฉันเพิ่งรู้ว่านี่คือเขาก็ตอนที่ตัวเองอยู่ในห้องอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีสติจะมาสนใจนักว่าเขาคือใครขอแค่ความรู้สึกประหลาดนี่หายไปจะใครก็ได้ทั้งนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำก่อนที่จะดึงให้เข้าไปประชิดตัวในท่านั่ง มือข้างหนึ่งล้วงต่ำลงมาบริเวณหน้าท้องแบนราบ ออกแรงกดให้แผ่นหลังของฉันแนบไปกับแผงอกของเขามากยิ่งกว่าเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นคือมีบางอย่างที่ทั้งอุ่นทั้งแข็งขืนกำลังดันอยู่กับสะโพกของฉัน“แล้วมันบอกหรือเปล่า
เจ็บ...นี่คือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของฉันจุก...มึน ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทั่วทั้งร่าง ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว อาการร้าวระบมที่แปลกประหลาดทำให้ฉันต้องพยายามฝืนตัวเองหน่อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ รับภาพที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือผ้าห่มสีขาวสะอาดเหมือนกันกับห้องพักของฉัน ทว่าผนังสีชานั้นกลับบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอนมันคือห้องหรูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับนักศึกษาซึ่งจ่ายค่าห้องโดยมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเหมือนเคยมาที่นี่ก่อนหน้า“โธ่เว้ย!!”เพล้ง!เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายที่เหมือนจะขยับไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลับลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มที่ฉันเจอเขาเมื่อวาน...เขาในตอนนี้เปลือยท่อนบนทำให้ฉันเห็นกล้ามเนื้อแน่นที่เต็มไปด้วยรอยสักหน้าตาประหลาด ซ้ำยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ที่เอวอีกด้วยฉันเห็นเขาจากข้างหลังเท่านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลในอารมณ์ของเขา มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ในขณะที่บนพื้นก็มีแต่เศษแก้วแตกอย
บ้านตระกูลวีรวรวรรณ 13 วันต่อมาหลังจากพิธีจบการศึกษา ฉันอยู่เที่ยวต่อที่ฮ่องกงต่อราวๆ เกือบสองอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่งก็คือกำลังรอสัญญาจากโรงงานเรื่องของการผลิตผ้าและตัดเย็บเพื่อส่งไปยังสาขาที่กำลังจะเปิดในประเทศไทย ฉันกำลังจะเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองในชื่อแบรนด์ ตติญา ซึ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้วส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือฉันกำลังเที่ยวเพื่อให้ลืมเรื่องบ้าๆ บนเรือนั่น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรถึงได้มีอะไรกับเขา แล้วยัยเคทหายตัวไปไหนไม่รู้ติดต่อก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเธอนั่นแหละภายในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวที่มีฐานะอย่าง วีรวรวรรณ บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านช่างแตกต่างจากก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกงลิบลับ สวนนอกตัวบ้านเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดสร้างความร่มรื่นส่งกลิ่นหอมอยู่ทุกฤดู ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ไม่ต่างอะไรจากน้ำใจของคนในบ้านหลังนี้ หลังจากที่เสียประมุขของบ้านอย่างคุณยายประไพไปแล้ว ศึกแห่งการแก่งแย่งสมบัติก็ทำให้ทุกอย่างไม่ต่างจากขุมนรกยังดีที่ก่อนคุณยายเสีย ท่านได้แบ่งทรัพย์สินให้ทั้งลูกๆ และหลานๆ อย่างเท่าเทียม ฉันเลยไม่ต้องทนเรื่
“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”“ติญ่าเป็นหลา
วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”ตี๊ดดดดดดดดนี่คือเสียงหัวใจของฉันกำลังหยุดเต้น สิ้นคำพูดนั้นของคุณคามินทร์ บรรยากาศรอบข้างก็ได้เงียบลงเหมือนเสียงหัวใจของฉันในตอนนี้เลยพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ ฆ่าฉันให้ตายไปเลยก็ได้นะ“อะ...อันนี้เรื่องจริงเหรอติญ่า?”น้าพาถึงกับพูดไม่ออก เธอละล่ำละลักถามฉันที่ตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่พูดพอเห็นอาการของแต่ละคนในนี้ นอกจากเขาจะไม่สำนึกแล้วยังกอดอกมองมาด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วยเลว...เขานี่มันเลวจริงๆฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร แต่พอฉันอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดแม้สักคำเดียว“ก็ต้องเรื่องจริงสิครับ แล้วไม่ใช่แค่เมื่อวานรอบเดียวด้วยนะ วันนั้นที่ฮ่องกง...”“พอเถอะคามินทร์ ต่อหน้าคุณย่าเลยนะ”น้าพาหันไปดุคนที่เป็นเหมือนหลานชายของท่าน แต่ถามว่าเขาสำนึกไหม หึ ไม่เลยสักนิด ยิ่งหันไปเห็นว่าย่าตัวเองอึ้งพูดไม่ออก เขายิ่งได้ใจ“อ้าว ผมผิดอะไรล่ะครับ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่เพื่อให้ผมกับติญ่าแต่งงานกัน ผมก็จะแต่งแล้วนี่ไง วันไหนดีล่ะ เย
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”น้าพามองหน้าฉันสลับกับสามีของตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ ฉันไม่เข้าใจว่าสายตานั้นมันหมายความว่ายังไงแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป รอจนกระทั่งขึ้นรถของน้าแล้วกลับมาที่บ้านแล้วน้าพาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่เดินขึ้นบ้านไปเงียบๆ โดยมีฉันและน้าแมทเดินตามไปไม่ห่าง“นี่ น้าขอเตือนนะ อย่าไปพูดอะไรที่ทำให้น้าพาอารมณ์เสีย ช่วงนี้น้าเขาจิตใจไม่ค่อยจะปกติ”คำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันถึงกับต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมองน้าเขยของตัวเองด้วยความไม่พอใจ ครั้งแรกฉันเคืองอยู่นิดๆ แต่ไม่พูดเพราะเกรงใจน้าพา ครั้งที่สองฉันไม่พูดเพราะเกรงใจคุณย่าของคุณคามินทร์ แต่ในครั้งนี้ทุกคนต่างก็เดินนำหน้าไปหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทนกับความเจ้าชู้ประตูผีไม่เลือกหน้าของเขาอีกต่อไปอย่างน้อยๆ...ฉันก็ควรจะให้เขาได้รู้ว่าไม่ควรมาพูดอย่างนี้กับฉันอีก“หนูว่าน้าไม่ควรจะพูดคำพูดพวกนี้กับหนู แต่ควรไปดูแลเมียตัวเองมากกว่านะคะ”พอเขาได้ยินอย่างนั้นก็หันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเคืองๆ“อะไร นี่ไม่พอใจเหรอ?”“เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกว่าการกระทำของน้ามันแปลกๆ คงจะดีกว่านี้ถ้าน้าไม่ยุ่งเรื่องของหนูม
(คามินทร์)‘แกควรจะเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิงบ้างนะ เพราะทำตัวแย่ๆ แบบนี้ไงหนูจันทร์จ๋าเขาถึงได้ทิ้งแก’แค่เพื่อผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราด้วยซ้ำ ย่าถึงกับหักหน้าผมที่เป็นหลานชายแท้ๆ ต่อหน้าคนอื่น โอเค ผมอาจจะไม่ได้แคร์หรอกว่าคนพวกนั้นจะมองผมยังไง แต่มันก็เคืองอยู่นิดหน่อยที่ย่ากล้าทำกับหลานชายสุดที่รักมากถึงขนาดนี้“กรี๊ด!!!”แค่เดินเข้าบ้านมาเสียงกรีดร้องเหมือนปอบหวีดสยองก็เข้ามาทักทายในทันที ไม่ต้องถามให้มากความหรอกว่ามันคือเสียงใคร ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านในฐานะที่แทบจะเหยียบหัวผมได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น“เอะอะโวยวายอะไรของเธอ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง”ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววิ่งออกมาจากห้องรับแขกของบ้าน เธอวิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ราวกับกำลังมองหาที่พึ่ง และด้านหลังก็มีบางอย่างวิ่งตามออกมาด้วยแง๊ว~เสียงร้องที่แสนจะน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ดังออกมาจากเจ้า ชัลก้า แมวยักษ์พันธุ์คาราคัลที่เป็นแมวขนาดกลาง น้องมีความคล้ายกับเสือมากๆ ด้วยนิสัยที่ยังคงมีความเป็นสัตว์ป่า รูปร่างปราดเปรียวและใบหูสีดำที่โดดเด่นออกมาจากขนสีน้ำตาลของมัน ใบหน้ามีแต้มสีขาวร
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ