บ้านตระกูลวีรวรวรรณ 13 วันต่อมา
หลังจากพิธีจบการศึกษา ฉันอยู่เที่ยวต่อที่ฮ่องกงต่อราวๆ เกือบสองอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่งก็คือกำลังรอสัญญาจากโรงงานเรื่องของการผลิตผ้าและตัดเย็บเพื่อส่งไปยังสาขาที่กำลังจะเปิดในประเทศไทย ฉันกำลังจะเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองในชื่อแบรนด์ ตติญา ซึ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้ว
ส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือฉันกำลังเที่ยวเพื่อให้ลืมเรื่องบ้าๆ บนเรือนั่น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรถึงได้มีอะไรกับเขา แล้วยัยเคทหายตัวไปไหนไม่รู้ติดต่อก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเธอนั่นแหละ
ภายในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวที่มีฐานะอย่าง วีรวรวรรณ บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านช่างแตกต่างจากก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกงลิบลับ สวนนอกตัวบ้านเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดสร้างความร่มรื่นส่งกลิ่นหอมอยู่ทุกฤดู ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ไม่ต่างอะไรจากน้ำใจของคนในบ้านหลังนี้ หลังจากที่เสียประมุขของบ้านอย่างคุณยายประไพไปแล้ว ศึกแห่งการแก่งแย่งสมบัติก็ทำให้ทุกอย่างไม่ต่างจากขุมนรก
ยังดีที่ก่อนคุณยายเสีย ท่านได้แบ่งทรัพย์สินให้ทั้งลูกๆ และหลานๆ อย่างเท่าเทียม ฉันเลยไม่ต้องทนเรื่องปวดหัวที่จะเกิดหลังจากนั้น แม้ว่าสุดท้ายแล้วฉันจะต้องมาอยู่กับน้องสาวคนเล็กของแม่อย่าง น้าพา
ที่นิสัยไม่ได้ใจดีอะไรกับฉันเลยก็ตามที“กะอีแค่เครื่องเพชรไม่กี่ชุดจะอะไรนักหนาคะคุณแม่ หนูแค่เอาไปให้เพื่อนยืม ไม่ได้เอาไปทำหายที่ไหนซะหน่อย”
“แกกล้าพูดนะว่าเอาไปให้เพื่อนยืม เกิดเพื่อนพวกนั้นมันเอาไปขายแกจะทำยังไงฮะ!!”
ทันทีที่เดินขึ้นบันไดบ้านมาสิ่งแรกที่ฉันได้ยินเลยคือเสียงของคุณน้าพรประพา หรือน้าพา ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ฉันพอจะพึ่งพาได้ เพราะก่อนที่คุณยายจะเสียพ่อแม่ของฉันต่างก็เสียไปก่อนแล้วทั้งคู่ เลยทำให้ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้าสาวปากร้ายคนนี้มาตลอดจนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย
ท่านกำลังทะเลาะอยู่กับ พิมพิ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธออายุไล่เลี่ยกับฉันแต่ดันสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยดังอย่างที่ตั้งใจ พ่อแม่เลยจับให้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ นี่ได้ยินว่าเพิ่งเรียนจบมาก่อนหน้าฉันไม่กี่เดือนนี่เอง
“คุณแม่คะ จะดูถูกเพื่อนพิมเกินไปแล้วนะคะ เห็นอย่างนี้พิมก็เลือกคบเพื่อนนะ” น้ำเสียงสะดีดสะดิ้งฟังแล้วน่าหมั่นไส้ชวนให้ปลายเท้ากระตุก ก็มีแค่ยัยพิมพิเท่านั้นแหละที่ทำได้
“เหอะ แกน่ะเหรอเลือกคบเพื่อน อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ ครั้งที่แล้วเพื่อนแกมาบ้านของฉันของหายไปตั้งหลายชิ้น ที่ไม่แจ้งความเพราะเห็นแก่หน้าแกหรอกนะ”
“ถ้าคุณแม่อยากแจ้งความก็เอาสิคะ พิมไม่แคร์หรอก”
เสียงฝีเท้าของสองแม่ลูกเหมือนจะเดินตรงมาทางนี้ ฉันจึงได้ลากกระเป๋าเข้าไปในบ้านเพื่อจะทักทายท่านด้วยมารยาทที่เด็กพึงมีต่อผู้ใหญ่
“น้าพา สวัสดีค่ะ”
ทันทีที่เห็นหน้าน้าฉันก็ยกมือขึ้นไหว้ด้วยความนอบน้อม ความคิดถึงบ้านทำให้ฉันคาดหวังปฏิกิริยาที่ดีใจจากผู้เป็นน้าอยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละไม่มีเลย ท่านมองฉันหัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“กลับมาได้แล้วเรอะ อยู่เมืองนอกเมืองนาต้องแต่งตัวติดหรูขนาดนี้เชียว?”
ฉันถึงกับต้องก้มมองตัวเองอย่างพิจารณา อย่างฉันเนี่ยนะที่เรียกว่าติดหรู หากเสื้อผ้าที่ฉันใส่ทำให้น้าคิดว่านี่คือแบรนด์หรู อย่างนั้นคนออกแบบอย่างฉันก็คงดีใจจนลอยได้แล้ว
“นี่เป็นเสื้อผ้าที่หนูตัดเองตอนอยู่ในคลาสค่ะน้าพา ฟรีหมดเลยนะคะ” ฉันบอกน้าไปด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ทว่ากลับมีคนกระแนะกระแหนด้วยความหมั่นไส้
“เหอะ ทำเป็นอวด”
ฉันไม่แปลกใจหรอกที่พิมพิจะคิดกับฉันอย่างนั้น เพราะเธอไม่ค่อยชอบฉันมาแต่ไหนแต่ไร ฉันเป็นเด็กที่พ่อแม่ตายทั้งคู่ ต้องมาเป็นกาฝากของแม่เธอตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ช่วงนั้นไม่ว่าพิมพิจะไปไหนยังไงก็จะมีฉันตามไปด้วย ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เธอพาเพื่อนวิ่งหนีฉันกลางซอยเปลี่ยวๆ จนทำให้ฉันเกือบถูกข่มขืน พอฉันเอาเรื่องนั้นมาฟ้องน้าพาและยายทำให้เธอต้องถูกตี เลยทำให้เธอยิ่งเกลียดฉันมากกว่าเดิม
“กลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าซะสิ จะได้ลงมากินข้าวกินปลา”
“ค่ะน้าพา” ฉันทำท่าจะเดินขึ้นไปบนบ้าน แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมจะบอกญาติรุ่นเพื่อนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันคนนี้ก่อน “ไปแล้วนะพิมพิ”
“ย่ะ!”
ขึ้นมาบนห้องนอนที่เดิมเป็นห้องของฉัน มันเคยเป็นห้องนอนสีชมพูสดใสสมกับเป็นเด็กผู้หญิงวัยกำลังช่างฝัน มีเตียงนอนและผ้าม่านสีชมพูที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในฝันไม่มีผิด ทว่าตอนนี้นั้นทุกอย่างถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวสะอาด ฝุ่นขึ้นหนาเตอะเพราะไม่ได้รับการทำความสะอาดมานาน
“คุณหนูไม่บอกสักคำว่าจะกลับมาบ้าน นวลจะได้ทำความสะอาดไว้ให้ค่ะ”
เสียงของแม่นวล แม่บ้านซึ่งผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้มานานได้ดังขึ้นจากด้านหลังของฉัน เมื่อหันไปก็พบกับหญิงชราที่อายุน่าจะย่างเข้า 60 ปีเข้าไปแล้วในชุดแม่บ้านกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าอันเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาได้ฉีกยิ้มกว้างอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอกัน
แม่นวลเป็นแม่บ้านที่ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรจากคุณยายคนที่สองของฉันเลยสักนิด ตั้งแต่ฉันจำความได้ก็มีแม่นวลอยู่ในชีวิตแล้ว ทุกครั้งที่ฉันทุกข์ใจ ร้องไห้ หรือดีใจเรื่องอะไรก็ตาม แม่นวลจะเป็นคนแรกๆ ที่ฉันคิดถึง แม้แต่ชุดแรกที่ฉันตัดออกมาเมื่อสมัยตัดชุดรีไซเคิลงานโรงเรียน แม่นวลก็เป็นคนชื่นชมจนจุดประกายความฝันของฉันขึ้นมา
หากนับจริงๆ แล้ว แม่นวลถือเป็นแม่คนหนึ่งของฉันเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูทำเองก็ได้ แม่นวลไปพักเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอกนะคะ นวลรับปากกับคุณหญิงท่านแล้วว่าจะดูแลคุณหนูอย่างดี คุณหนูไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปกินข้าวนะคะ วันนี้กับข้าวไม่เผ็ดเลยสักอย่าง คุณหนูน่าจะชอบ”
ท่านเป็นคนที่รู้เสมอว่าฉันชอบไม่ชอบอะไร ตั้งแต่เด็กฉันมีปมกับเรื่องของกิน ก็เลยมีแม่นวลคอยทำกับข้าวมาเสริมบนโต๊ะให้เสมอ ฉันไม่กินของร้อน ไม่กินของเย็น ท่านก็ทำให้ไม่เคยปริปากบ่น มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีจริงๆ ที่ต่อให้เสียพ่อแม่และคุณยายอันเป็นที่รักยิ่งไป แต่ก็ยังเหลือคนที่ใจดีกับฉันมากๆ คนนี้อยู่อีกคน ฟ้าคงไม่ได้ใจร้ายกับฉันมากขนาดนั้น
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยฉันก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีชมพูแขนนางเงือกอย่างที่ชอบใส่อยู่บ่อยๆ เป็นชุดที่ฉันตัดเองขึ้นมาในปีแรกของการเรียนออกแบบแฟชั่น และเป็นชุดโปรดที่ใส่สบายด้วยเนื้อผ้าที่ฉันเลือกมาเองกับมือ ทั้งยังสุภาพใส่ได้ในทุกโอกาส
“อาบน้ำก็ยังชักช้าอืดอาดเหมือนเดิมเลยนะยะ”
เพียงแค่ฉันเดินลงบันไดมาเท่านั้นก็มีเสียงแว้ดๆ ของพิมพิทักขึ้นมาในทันที ตอนนี้น้าพาและสามีของน้าอย่างน้าแมททิว รวมทั้งพิมพิต่างก็นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ฉันเท่านั้นที่มาท้ายสุด
“ขอโทษค่ะ พอดีช่วยแม่นวลจัดของนิดหน่อย”
“อ๋อ ทำตัวเป็นคนใช้ ชอบแบบนั้นก็ไม่บอก”
สถานการณ์ที่เหมือนเจอได้ทั่วไปในละครหลังข่าวมาเกิดขึ้นในชีวิตของฉันแล้วล่ะ ท่าทางกระแนะกระแหนแบบนั้นเห็นแล้วสะอิดสะเอียนอยากจะอ้วก นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นลูกสาวของน้าพาที่เลี้ยงฉันมากับมือ ฉันคงจะฉะไม่ไว้หน้าไปแล้ว
“นั่งสิ” น้าพาเอ่ยเสียงเรียบเลยทำให้ยัยพิมพิหยุดฝีปากลงชั่วคราว
“คราวนี้ทำไมกลับมาช้านัก เห็นว่าพิธีจบการศึกษาไปตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้วนี่”
น้าแมทเริ่มจับช้อนส้อมหั่นสเต๊กเข้าปากแล้วถามขึ้นมา คนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็เริ่มกินข้าวกันอย่างพร้อมเพรียง
“หนูอยู่คุยกับโรงงานเรื่องสัญญาน่ะค่ะ ใช้โรงงานที่ฮ่องกง เพราะที่นั่นผ้ามีให้เลือกค่อนข้างเยอะแล้วการดีลก็สะดวกดีด้วย”
“โรงงาน? ไม่เห็นเคยบอกน้าเลยว่าเราจะทำอะไรต่อหลังเรียนจบ”
“ยัยญ่าเป็นสาวแล้ว คงไม่ต้องบอกน้าเขยทุกเรื่องหรอกมั้งคะ”
บทสนทนานั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารน่าอึดอัดขึ้นมาในทันที ฉันเองก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่รู้ว่าทั้งน้าพาและน้าเขยคิดอะไรอยู่ แต่ฉันแค่พูดอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ฉันกำลังวางแผนจะย้ายออก แต่ต้องรอเงินพร้อมอีกหน่อยก่อน
“ช่วงนี้แกเรียนจบแล้ว เรื่องห้องเสื้อที่คิดจะทำก็พักซะ”
“ทำไมล่ะคะ?”
ฉันที่เงียบมานานเงยหน้าขึ้นถาม แต่แล้วก็ต้องก้มหน้าลงเพราะเห็นสายตาดุๆ ของน้าพาที่ส่งมาให้
“ฉันจะส่งแกไปแต่งงาน”
“แต่งงาน?/แต่งงาน!!”
ทั้งฉันและน้าเขยพูดขึ้นมาพร้อมกัน นั่นทำให้น้าพายิ่งถลึงตามองเราทั้งคู่พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดจะเงียบปาก เพราะสิ่งที่น้าพาพูดออกมาเกี่ยวข้องโดยตรงกับอนาคตของฉัน
“หนูไม่เข้าใจค่ะ การแต่งงานอะไรกันเหรอคะ?”
“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”“ติญ่าเป็นหลา
วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”ตี๊ดดดดดดดดนี่คือเสียงหัวใจของฉันกำลังหยุดเต้น สิ้นคำพูดนั้นของคุณคามินทร์ บรรยากาศรอบข้างก็ได้เงียบลงเหมือนเสียงหัวใจของฉันในตอนนี้เลยพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ ฆ่าฉันให้ตายไปเลยก็ได้นะ“อะ...อันนี้เรื่องจริงเหรอติญ่า?”น้าพาถึงกับพูดไม่ออก เธอละล่ำละลักถามฉันที่ตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่พูดพอเห็นอาการของแต่ละคนในนี้ นอกจากเขาจะไม่สำนึกแล้วยังกอดอกมองมาด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วยเลว...เขานี่มันเลวจริงๆฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร แต่พอฉันอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดแม้สักคำเดียว“ก็ต้องเรื่องจริงสิครับ แล้วไม่ใช่แค่เมื่อวานรอบเดียวด้วยนะ วันนั้นที่ฮ่องกง...”“พอเถอะคามินทร์ ต่อหน้าคุณย่าเลยนะ”น้าพาหันไปดุคนที่เป็นเหมือนหลานชายของท่าน แต่ถามว่าเขาสำนึกไหม หึ ไม่เลยสักนิด ยิ่งหันไปเห็นว่าย่าตัวเองอึ้งพูดไม่ออก เขายิ่งได้ใจ“อ้าว ผมผิดอะไรล่ะครับ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่เพื่อให้ผมกับติญ่าแต่งงานกัน ผมก็จะแต่งแล้วนี่ไง วันไหนดีล่ะ เย
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”น้าพามองหน้าฉันสลับกับสามีของตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ ฉันไม่เข้าใจว่าสายตานั้นมันหมายความว่ายังไงแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป รอจนกระทั่งขึ้นรถของน้าแล้วกลับมาที่บ้านแล้วน้าพาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่เดินขึ้นบ้านไปเงียบๆ โดยมีฉันและน้าแมทเดินตามไปไม่ห่าง“นี่ น้าขอเตือนนะ อย่าไปพูดอะไรที่ทำให้น้าพาอารมณ์เสีย ช่วงนี้น้าเขาจิตใจไม่ค่อยจะปกติ”คำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันถึงกับต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมองน้าเขยของตัวเองด้วยความไม่พอใจ ครั้งแรกฉันเคืองอยู่นิดๆ แต่ไม่พูดเพราะเกรงใจน้าพา ครั้งที่สองฉันไม่พูดเพราะเกรงใจคุณย่าของคุณคามินทร์ แต่ในครั้งนี้ทุกคนต่างก็เดินนำหน้าไปหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทนกับความเจ้าชู้ประตูผีไม่เลือกหน้าของเขาอีกต่อไปอย่างน้อยๆ...ฉันก็ควรจะให้เขาได้รู้ว่าไม่ควรมาพูดอย่างนี้กับฉันอีก“หนูว่าน้าไม่ควรจะพูดคำพูดพวกนี้กับหนู แต่ควรไปดูแลเมียตัวเองมากกว่านะคะ”พอเขาได้ยินอย่างนั้นก็หันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเคืองๆ“อะไร นี่ไม่พอใจเหรอ?”“เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกว่าการกระทำของน้ามันแปลกๆ คงจะดีกว่านี้ถ้าน้าไม่ยุ่งเรื่องของหนูม
(คามินทร์)‘แกควรจะเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิงบ้างนะ เพราะทำตัวแย่ๆ แบบนี้ไงหนูจันทร์จ๋าเขาถึงได้ทิ้งแก’แค่เพื่อผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราด้วยซ้ำ ย่าถึงกับหักหน้าผมที่เป็นหลานชายแท้ๆ ต่อหน้าคนอื่น โอเค ผมอาจจะไม่ได้แคร์หรอกว่าคนพวกนั้นจะมองผมยังไง แต่มันก็เคืองอยู่นิดหน่อยที่ย่ากล้าทำกับหลานชายสุดที่รักมากถึงขนาดนี้“กรี๊ด!!!”แค่เดินเข้าบ้านมาเสียงกรีดร้องเหมือนปอบหวีดสยองก็เข้ามาทักทายในทันที ไม่ต้องถามให้มากความหรอกว่ามันคือเสียงใคร ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านในฐานะที่แทบจะเหยียบหัวผมได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น“เอะอะโวยวายอะไรของเธอ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง”ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววิ่งออกมาจากห้องรับแขกของบ้าน เธอวิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ราวกับกำลังมองหาที่พึ่ง และด้านหลังก็มีบางอย่างวิ่งตามออกมาด้วยแง๊ว~เสียงร้องที่แสนจะน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ดังออกมาจากเจ้า ชัลก้า แมวยักษ์พันธุ์คาราคัลที่เป็นแมวขนาดกลาง น้องมีความคล้ายกับเสือมากๆ ด้วยนิสัยที่ยังคงมีความเป็นสัตว์ป่า รูปร่างปราดเปรียวและใบหูสีดำที่โดดเด่นออกมาจากขนสีน้ำตาลของมัน ใบหน้ามีแต้มสีขาวร
(ตติญา)จะว่าไปแล้ว...การถูกไล่ออกจากบ้านก็ไม่ได้แย่เท่าไรฉันออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้เอากระเป๋าเสื้อผ้าออกมาด้วย มีก็แค่บัตรเครดิตที่วงเงินไม่กี่แสน และเดือนนี้ฉันก็ใช้ไปแล้วเกือบเต็มวงเงิน เงินสดที่มีไม่กี่ร้อย เงินในบัญชีอีกหลักพัน ตอนที่ออกมาฉันรู้แค่ว่าตัวเองเสียใจจนไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว แต่พอมาเช่าโรงแรมอยู่หลายวันเข้าเงินก็หมด เลยทำให้ฉันต้องมานั่งตัดสินใจว่าจะกลับไปบ้านไปง้อน้าพา หรือว่าจะลองคืนตึกเอาเงินมัดจำมาใช้ก่อนดีแต่ถ้าทำอย่างนั้น ความฝันที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาก็ต้องพังทลายน่ะสิ สุดท้ายแล้วเพราะคิดไม่ตก บวกกับในไลน์กลุ่มศิษย์เก่าชมรมวงโยธวาทิตโรงเรียนมัธยมที่ฉันเคยเรียน เหล่ารุ่นพี่ได้นัดกันไปดื่มที่คลับใกล้ๆ ฉันที่กำลังเครียดจัดกับปัญหาชีวิตเลยตกลงมากับพวกเขาด้วยแต่พอมาถึง ฉันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากรุ่นพี่ที่ฉันเคยรู้จักอยู่กันเต็มไปหมด อันที่จริงก็รุ่นพี่ในรุ่นพี่อีกทีนั่นแหละ เพียงแต่นอกจากพี่บีม รุ่นพี่ที่อายุมากกว่าฉันหนึ่งปีที่สนิทกัน คนอื่นฉันก็ไม่รู้จักเลย“แหมบีม ได้ข่าวว่าเมียกำลังท้องแก่ไม่ใช่เหรอ พาสาวสวยมาด้วยแบบนี้ระวังเมี
“จริงๆ ไม่รู้จักค่ะ แต่เคยเจอกัน สองสามครั้ง”ทีนี้ทั้งโต๊ะหันมามองฉันด้วยสายตาที่เหมือนกับว่าฉันคือตัวประหลาดยังไงยังงั้น รวมทั้งพี่วินนี่ที่ก่อนหน้านี้กำลังเล็งคุณคามินทร์อยู่เช่นเดียวกัน แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันบนตัวของฉันเลยสักนิด“แค่เคยเจอสองสามครั้ง แน่ใจนะ?”แล้วตามด้วยคุณคามินทร์ที่จุดไฟเผาซ้ำ จะอยู่กันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม“คุณต้องการอะไรจากฉันคะ หรือว่าพอเห็นว่าฉันหงิมๆ รังแกง่ายก็จะเล่นมันทุกทาง เอาเลยสิ ฉันก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน”มีแค่เขาคนเดียวมั้งที่อารมณ์เสียตอนที่เห็นหน้าฉัน ตั้งแต่บนเรือนั่นฉันทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้เขาพอใจและไม่กลับมายุ่งกับฉันอีก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่พาตัวเองกลับเข้ามาในชีวิตของฉัน นี่มันความผิดอะไรของฉันเหรอ?“ติญ่า ใจเย็น”พี่บีมพยายามจับมือเพื่อให้ฉันใจเย็นลง แต่ถามจริงๆ ใครเป็นฉันแล้วยังเย็นไหวบ้าง ฉันถูกไล่ออกจากบ้านก็เพราะเขา มีชีวิตที่ไม่สงบสุขก็เพราะเขา แล้วเขายังจะต้องการอะไรจากฉันอีก“ก็แค่ถามความจริง จะโมโหทำไม” ซ้ำเขายังตอกย้ำฉันด้วยการพูดกลั้วหัวเราะ “หรือว่าจริงๆ แค่โมโหที่ฉันทำท่า
“อื้อ”“ชู่ว อย่าเสียงดังไปสิ”ดวงตาของฉันเบิกโพลงมองคนที่เอามือปิดปากตัวเองด้วยความตกใจ เขาดันตัวฉันเข้ามาในห้องก่อนจะส่งสัญญาณไม่ให้ฉันร้องโวยวายออกมา แต่มันใช่เหรอ เขาตามฉันมาทำไม แล้วยังเข้ามาในห้องโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาตอีก“อุนอาอิน” (คุณคามินทร์)เสียงอู้อี้ของฉันพยายามเรียกชื่อของเขาแม้ว่าจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตามที เขาที่ได้ยินดังนั้นก็รีบปล่อยปากฉันให้เป็นอิสระ“เงียบไว้นะ”“เงียบทำไมคะ แล้วนี่คุณเป็นบ้าหรือไงบุกเข้าห้องผู้หญิงแบบนี้ ออกไปเลยนะ!!”แกร๊กในขณะที่ฉันกำลังตกใจกับคนตรงหน้า พูดกับเขาได้แค่ประโยคเดียวเสียงบางอย่างที่หน้าประตูก็ได้ดังขึ้นทันที ยังไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณคามินทร์ที่วิ่งไปหลบข้างตู้ใกล้กับประตูห้องครัวนี่มัน...เกิดอะไรขึ้น แล้วคนที่เข้ามาใหม่ น้าแมทงั้นเหรอ? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาสองคนอาหลานกำลังเล่นอะไรกันอยู่ แต่ฉันไม่สนุกด้วยเลยนะ“เข้ามาทำไมคะ แล้วนี่รู้รหัสห้องเพื่อนหนูได้ยังไง”เขาไม่ได้ตอบคำถามของฉัน แต่กลับเดินตรงเข้ามาพร้อมกับขวดเหล้าสีใสในมือ ขวดของมันดูคุ้นเสียจนฉันต้องใช้เวลา
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ