“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”
คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ
“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”
“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”
น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”
“ติญ่าเป็นหลานฉัน ไม่ได้มีสายเลือดคัลเลน คุณจะกลัวไปทำไมกัน”
“แต่เรื่องแต่งงานมันต้องคุยกันยาวๆ คุณจะไปเร่งเด็กมันทำไม”
ปึง!
น้าพาได้ยินอย่างนั้นก็ตบโต๊ะขึ้นมาเสียงดัง
“เร่งเหรอ? ฉันเลี้ยงมันมาเกือบสิบปี ข้าวปลาอะไรก็หาให้มันกิน เงินทองของแม่ฉันก็ต้องแบ่งให้มันใช้ หมดเงินไปกับการส่งมันเรียนเดือนละไม่รู้เท่าไร นี่ธุรกิจที่แม่ฉันสร้างไว้กำลังจะล้มคุณรู้บ้างไหม มันควรจะทำอะไรเพื่อบ้านเราบ้างสิ”
ฉันอยากจะเถียงออกไปใจจะขาด ว่าจริงๆ แล้วเงินพวกนั้นเป็นเงินประกันของพ่อแม่ฉันต่างหาก แต่ก็ทำได้แค่ก้มหน้าหุบปากเงียบ...
“แต่ติญ่ายังเด็กอยู่ เพิ่งจะ 22 เท่านั้นเอง ไอ้หมอนั่นแก่กว่าเธอตั้งสิบปี เอาอะไรมาเหมาะสม”
“แล้วใครที่เหมาะสม คุณงั้นสิ?”
บทสนทนาเริ่มจะรุนแรงและลามปามมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรีบลุกขึ้นเพื่อจะห้ามทั้งสองคนไม่ให้ทะเลาะกันมากไปกว่านี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกมือของผู้เป็นน้าฟาดหน้าเข้าให้อย่างจัง
เพียะ!!
“น้าพา...” ฉันยกมือขึ้นกุมแก้มข้างนั้นเอาไว้ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจนชาไปทั้งหน้า แต่นั่นยังไม่เท่าความเจ็บปวดที่หัวใจ ทั้งขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ฉันเลี้ยงแกมาเพื่อให้แกมาทดแทนบุญคุณ ไม่ใช่มาแย่งผัวฉัน เข้าใจไหมนังติญ่า”
ทุกสายตาของทุกคนในบ้านมองมาเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิด ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ บรรยากาศรอบข้างเริ่มกดดันฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับมีหินหนักๆ มาทับร่างเอาไว้ ฉันได้แต่ยืนนิ่ง มองหน้าน้าสองคนสลับกันแล้วตั้งคำถามอยู่ในใจ
ฉันผิดอะไร?
“ขึ้นไปบนห้องแกซะ วันพรุ่งนี้แกต้องไปดูตัวกับคุณคามินทร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
แม้ว่าฉันจะอยากอ้าปากเถียงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ ก็คือการก้มหน้ารับคำแต่โดยดี
“ค่ะ น้าพา”
ถึงไม่อยากคิดน้อยใจคนที่เลี้ยงมา แต่สุดท้ายฉันก็อดไม่ได้อยู่ดี...ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันมักจะถูกน้าพาดุด่า ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตื่นสายต่อให้วันนั้นเป็นวันหยุดก็ตาม กิจกรรมที่โรงเรียนหากไม่ใช่ในเวลาเรียนจะไม่มีสิทธิ์ได้ทำ แม้แต่งานที่ต้องรับผิดชอบอย่างกีฬาสีก็ต้องยอมผิดใจกับเพื่อนเพียงเพราะน้าไม่อนุญาตให้นอนค้างที่อื่น ช่วงวัยเรียนของฉันเลยกลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต่างจากฝันร้าย
แต่ว่าพอฉันไปเรียนต่อมหา’ลัยที่จีน พบว่าความสัมพันธ์ของฉันกับน้าพาดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ท่านโทรมาแต่ละครั้งไม่เคยกระโชกโฮกฮาก ทำให้ฉันเชื่อสนิทใจว่าน้าอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
จนกระทั่งวันนี้...
“โธ่ คุณหนูของนวล อย่าโกรธคุณพาเธอเลยนะคะ เธอจิตใจไม่ปกติ อาจจะพูดจาแรงไปบ้าง”
ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนของตัวเองโดยที่มีแม่นวลคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง มือสากๆ ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามอายุได้เอื้อมมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มฉันออกอย่างแผ่วเบา ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร
“หนูไม่โกรธหรอกค่ะแม่นวล แต่หนูแค่ไม่เข้าใจ ทำไมน้าต้องโกรธหนู ทำไมต้องสั่งให้หนูเลิกทำในสิ่งที่หนูรัก ถ้าหนูไม่มีห้องเสื้อนั่น หนูคงไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่า...”
“คุณหนูไม่เคยไร้ค่าสำหรับนวลนะคะ”
ได้ยินคำพูดที่เหมือนจะด้อยค่าตัวเอง แม่นวลจึงรีบสวนขึ้นมาทันควัน ก่อนที่จะถอนหายใจไล่ความอึดอัดออกไปแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง
“ตอนที่คุณหนูยังเรียนอยู่ คุณพาเธอท้องค่ะ ตอนนั้นเธอเห่อลูกคนเล็กมากๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เตรียมของเป็นพัลวัน แต่อยู่ดีๆ คุณแมทก็เล่นชู้กับเด็กมหา’ลัย เลยทำให้คุณพาเครียดจนแท้งกลายเป็นซึมเศร้ารักษาอยู่นาน...”
ฉันได้แต่นั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดแทรกขึ้นมา เรื่องที่ได้ยินมันทำให้ความรู้สึกน้อยใจก่อนหน้านี้เบาลงนิดหน่อย หากว่าน้าพาต้องเผชิญเรื่องราวอย่างนั้นมาตลอด มันก็คงไม่แปลกที่เธอจะจิตใจอ่อนไหวจนคิดมากไปเสียทุกเรื่อง ที่ผ่านมา นอกจากความเข้มงวดที่ทำให้ฉันอึดอัดจนเผลอร้องไห้ออกมาหลายครั้ง น้าพาเองก็ดูแลฉันได้ดีไม่ต่างจากแม่ที่เป็นพี่สาวท่าน...
คนที่ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งพี่สาว แม่ และยังลูกในท้อง...จะต้องแกร่งแค่ไหนถึงยังใช้ชีวิตอยู่ได้นะ
“เพราะอย่างนั้นคุณหนูไม่ต้องไปโกรธไปเคืองอะไรคุณเธอหรอกนะคะ ถ้าเธอด่า เธอว่า มาระบายกับนวลได้ค่ะ”
“แม่นวลไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะคะ ยังไงญ่าจะไม่ดื้อ ไม่เถียง ไม่โกรธคุณน้าเลยค่ะ”
ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองน้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจ ทำไมฉันถึงต้องโดนคนกล่าวหาว่าทุกเรื่องเป็นความผิดของฉัน ตั้งแต่ผู้ชายบนเรือนั่น เขาทำเหมือนกับว่าฉันอยากเข้าไปในชีวิตเขา ทำเหมือนฉันเป็นตัวซวย ทั้งที่ความจริงแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรเลย
แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่คนรอบตัวเกิดเรื่อง คนแรกที่ถูกโยนให้มีความผิดมักจะเป็นฉันเสมอ
ฝ่ามือของแม่นวลลูบที่หัวของฉันอีกครั้ง ท่านดึงตัวฉันเข้าไปกอด ใช้ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นปลอบประโลมฉันอย่างเช่นที่เคยทำมาตลอด
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ว่าใครจะว่ายังไง นวลจะคอยดูแล คอยปกป้องคุณหนูเสมอเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะคะแม่นวล”
วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”ตี๊ดดดดดดดดนี่คือเสียงหัวใจของฉันกำลังหยุดเต้น สิ้นคำพูดนั้นของคุณคามินทร์ บรรยากาศรอบข้างก็ได้เงียบลงเหมือนเสียงหัวใจของฉันในตอนนี้เลยพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ ฆ่าฉันให้ตายไปเลยก็ได้นะ“อะ...อันนี้เรื่องจริงเหรอติญ่า?”น้าพาถึงกับพูดไม่ออก เธอละล่ำละลักถามฉันที่ตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่พูดพอเห็นอาการของแต่ละคนในนี้ นอกจากเขาจะไม่สำนึกแล้วยังกอดอกมองมาด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วยเลว...เขานี่มันเลวจริงๆฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร แต่พอฉันอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดแม้สักคำเดียว“ก็ต้องเรื่องจริงสิครับ แล้วไม่ใช่แค่เมื่อวานรอบเดียวด้วยนะ วันนั้นที่ฮ่องกง...”“พอเถอะคามินทร์ ต่อหน้าคุณย่าเลยนะ”น้าพาหันไปดุคนที่เป็นเหมือนหลานชายของท่าน แต่ถามว่าเขาสำนึกไหม หึ ไม่เลยสักนิด ยิ่งหันไปเห็นว่าย่าตัวเองอึ้งพูดไม่ออก เขายิ่งได้ใจ“อ้าว ผมผิดอะไรล่ะครับ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่เพื่อให้ผมกับติญ่าแต่งงานกัน ผมก็จะแต่งแล้วนี่ไง วันไหนดีล่ะ เย
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”น้าพามองหน้าฉันสลับกับสามีของตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ ฉันไม่เข้าใจว่าสายตานั้นมันหมายความว่ายังไงแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป รอจนกระทั่งขึ้นรถของน้าแล้วกลับมาที่บ้านแล้วน้าพาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่เดินขึ้นบ้านไปเงียบๆ โดยมีฉันและน้าแมทเดินตามไปไม่ห่าง“นี่ น้าขอเตือนนะ อย่าไปพูดอะไรที่ทำให้น้าพาอารมณ์เสีย ช่วงนี้น้าเขาจิตใจไม่ค่อยจะปกติ”คำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันถึงกับต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมองน้าเขยของตัวเองด้วยความไม่พอใจ ครั้งแรกฉันเคืองอยู่นิดๆ แต่ไม่พูดเพราะเกรงใจน้าพา ครั้งที่สองฉันไม่พูดเพราะเกรงใจคุณย่าของคุณคามินทร์ แต่ในครั้งนี้ทุกคนต่างก็เดินนำหน้าไปหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทนกับความเจ้าชู้ประตูผีไม่เลือกหน้าของเขาอีกต่อไปอย่างน้อยๆ...ฉันก็ควรจะให้เขาได้รู้ว่าไม่ควรมาพูดอย่างนี้กับฉันอีก“หนูว่าน้าไม่ควรจะพูดคำพูดพวกนี้กับหนู แต่ควรไปดูแลเมียตัวเองมากกว่านะคะ”พอเขาได้ยินอย่างนั้นก็หันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเคืองๆ“อะไร นี่ไม่พอใจเหรอ?”“เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกว่าการกระทำของน้ามันแปลกๆ คงจะดีกว่านี้ถ้าน้าไม่ยุ่งเรื่องของหนูม
(คามินทร์)‘แกควรจะเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิงบ้างนะ เพราะทำตัวแย่ๆ แบบนี้ไงหนูจันทร์จ๋าเขาถึงได้ทิ้งแก’แค่เพื่อผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราด้วยซ้ำ ย่าถึงกับหักหน้าผมที่เป็นหลานชายแท้ๆ ต่อหน้าคนอื่น โอเค ผมอาจจะไม่ได้แคร์หรอกว่าคนพวกนั้นจะมองผมยังไง แต่มันก็เคืองอยู่นิดหน่อยที่ย่ากล้าทำกับหลานชายสุดที่รักมากถึงขนาดนี้“กรี๊ด!!!”แค่เดินเข้าบ้านมาเสียงกรีดร้องเหมือนปอบหวีดสยองก็เข้ามาทักทายในทันที ไม่ต้องถามให้มากความหรอกว่ามันคือเสียงใคร ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านในฐานะที่แทบจะเหยียบหัวผมได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น“เอะอะโวยวายอะไรของเธอ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง”ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววิ่งออกมาจากห้องรับแขกของบ้าน เธอวิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ราวกับกำลังมองหาที่พึ่ง และด้านหลังก็มีบางอย่างวิ่งตามออกมาด้วยแง๊ว~เสียงร้องที่แสนจะน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ดังออกมาจากเจ้า ชัลก้า แมวยักษ์พันธุ์คาราคัลที่เป็นแมวขนาดกลาง น้องมีความคล้ายกับเสือมากๆ ด้วยนิสัยที่ยังคงมีความเป็นสัตว์ป่า รูปร่างปราดเปรียวและใบหูสีดำที่โดดเด่นออกมาจากขนสีน้ำตาลของมัน ใบหน้ามีแต้มสีขาวร
(ตติญา)จะว่าไปแล้ว...การถูกไล่ออกจากบ้านก็ไม่ได้แย่เท่าไรฉันออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้เอากระเป๋าเสื้อผ้าออกมาด้วย มีก็แค่บัตรเครดิตที่วงเงินไม่กี่แสน และเดือนนี้ฉันก็ใช้ไปแล้วเกือบเต็มวงเงิน เงินสดที่มีไม่กี่ร้อย เงินในบัญชีอีกหลักพัน ตอนที่ออกมาฉันรู้แค่ว่าตัวเองเสียใจจนไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว แต่พอมาเช่าโรงแรมอยู่หลายวันเข้าเงินก็หมด เลยทำให้ฉันต้องมานั่งตัดสินใจว่าจะกลับไปบ้านไปง้อน้าพา หรือว่าจะลองคืนตึกเอาเงินมัดจำมาใช้ก่อนดีแต่ถ้าทำอย่างนั้น ความฝันที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาก็ต้องพังทลายน่ะสิ สุดท้ายแล้วเพราะคิดไม่ตก บวกกับในไลน์กลุ่มศิษย์เก่าชมรมวงโยธวาทิตโรงเรียนมัธยมที่ฉันเคยเรียน เหล่ารุ่นพี่ได้นัดกันไปดื่มที่คลับใกล้ๆ ฉันที่กำลังเครียดจัดกับปัญหาชีวิตเลยตกลงมากับพวกเขาด้วยแต่พอมาถึง ฉันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากรุ่นพี่ที่ฉันเคยรู้จักอยู่กันเต็มไปหมด อันที่จริงก็รุ่นพี่ในรุ่นพี่อีกทีนั่นแหละ เพียงแต่นอกจากพี่บีม รุ่นพี่ที่อายุมากกว่าฉันหนึ่งปีที่สนิทกัน คนอื่นฉันก็ไม่รู้จักเลย“แหมบีม ได้ข่าวว่าเมียกำลังท้องแก่ไม่ใช่เหรอ พาสาวสวยมาด้วยแบบนี้ระวังเมี
“จริงๆ ไม่รู้จักค่ะ แต่เคยเจอกัน สองสามครั้ง”ทีนี้ทั้งโต๊ะหันมามองฉันด้วยสายตาที่เหมือนกับว่าฉันคือตัวประหลาดยังไงยังงั้น รวมทั้งพี่วินนี่ที่ก่อนหน้านี้กำลังเล็งคุณคามินทร์อยู่เช่นเดียวกัน แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันบนตัวของฉันเลยสักนิด“แค่เคยเจอสองสามครั้ง แน่ใจนะ?”แล้วตามด้วยคุณคามินทร์ที่จุดไฟเผาซ้ำ จะอยู่กันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม“คุณต้องการอะไรจากฉันคะ หรือว่าพอเห็นว่าฉันหงิมๆ รังแกง่ายก็จะเล่นมันทุกทาง เอาเลยสิ ฉันก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน”มีแค่เขาคนเดียวมั้งที่อารมณ์เสียตอนที่เห็นหน้าฉัน ตั้งแต่บนเรือนั่นฉันทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้เขาพอใจและไม่กลับมายุ่งกับฉันอีก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่พาตัวเองกลับเข้ามาในชีวิตของฉัน นี่มันความผิดอะไรของฉันเหรอ?“ติญ่า ใจเย็น”พี่บีมพยายามจับมือเพื่อให้ฉันใจเย็นลง แต่ถามจริงๆ ใครเป็นฉันแล้วยังเย็นไหวบ้าง ฉันถูกไล่ออกจากบ้านก็เพราะเขา มีชีวิตที่ไม่สงบสุขก็เพราะเขา แล้วเขายังจะต้องการอะไรจากฉันอีก“ก็แค่ถามความจริง จะโมโหทำไม” ซ้ำเขายังตอกย้ำฉันด้วยการพูดกลั้วหัวเราะ “หรือว่าจริงๆ แค่โมโหที่ฉันทำท่า
“อื้อ”“ชู่ว อย่าเสียงดังไปสิ”ดวงตาของฉันเบิกโพลงมองคนที่เอามือปิดปากตัวเองด้วยความตกใจ เขาดันตัวฉันเข้ามาในห้องก่อนจะส่งสัญญาณไม่ให้ฉันร้องโวยวายออกมา แต่มันใช่เหรอ เขาตามฉันมาทำไม แล้วยังเข้ามาในห้องโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาตอีก“อุนอาอิน” (คุณคามินทร์)เสียงอู้อี้ของฉันพยายามเรียกชื่อของเขาแม้ว่าจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตามที เขาที่ได้ยินดังนั้นก็รีบปล่อยปากฉันให้เป็นอิสระ“เงียบไว้นะ”“เงียบทำไมคะ แล้วนี่คุณเป็นบ้าหรือไงบุกเข้าห้องผู้หญิงแบบนี้ ออกไปเลยนะ!!”แกร๊กในขณะที่ฉันกำลังตกใจกับคนตรงหน้า พูดกับเขาได้แค่ประโยคเดียวเสียงบางอย่างที่หน้าประตูก็ได้ดังขึ้นทันที ยังไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณคามินทร์ที่วิ่งไปหลบข้างตู้ใกล้กับประตูห้องครัวนี่มัน...เกิดอะไรขึ้น แล้วคนที่เข้ามาใหม่ น้าแมทงั้นเหรอ? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาสองคนอาหลานกำลังเล่นอะไรกันอยู่ แต่ฉันไม่สนุกด้วยเลยนะ“เข้ามาทำไมคะ แล้วนี่รู้รหัสห้องเพื่อนหนูได้ยังไง”เขาไม่ได้ตอบคำถามของฉัน แต่กลับเดินตรงเข้ามาพร้อมกับขวดเหล้าสีใสในมือ ขวดของมันดูคุ้นเสียจนฉันต้องใช้เวลา
(คามินทร์)“ไปส่งฉันที่โรงพยาบาลไอ้วินทร์ ส่งคนไปสืบเรื่องเหล้าที่ไอ้บ้านั่นเอามา มันมีขายในคลับของเรา ต้องมีคนของเรารู้เห็นแน่”ทันทีที่ขึ้นมาบนรถผมก็รีบสั่งงานในทันที เรื่องยาที่ผมโดนทีแรกก็คิดว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญ แต่สิ่งที่อาของผมทำ การที่มันเอายามากรอกปากติญ่ามันดูคุ้นจนผมเอะใจในบางอย่าง จึงไม่รอช้าสั่งให้คนของตัวเองไปสืบในทันทีก่อนหน้านี้บนเรือนั่น...ผมไม่ได้โดนยาเป็นครั้งแรก นั่นเป็นครั้งที่สองที่ผมมีอาการอย่างนั้น ส่วนครั้งแรก...เกิดขึ้นในวันนั้นวันที่ไอ้วินทร์ลากว่าที่คู่หมั้นของตัวเองเข้ามาหาผม ยัยนั่นทำให้แม่ของ ดานิกา คนรักของน้องชายฝาแฝดผมต้องตาย เพราะไม่อยากใช้กฎหมายเอาคืนคนชั่ว มันเลยให้ผมจัดการด้วยกฎของแก๊ง คามินแต่ในครั้งนั้น ผมที่ย่ามใจไม่ได้คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีฤทธิ์เดช เลยไม่ทันได้มองว่าเธอมีเข็มฉีดยาเข้ามาด้วย วันนั้นผมโดนฉีดไปครึ่งเข็มโดยไม่ทันระวัง และเพราะไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร ก็เลยฉีดอีกครึ่งเข็มให้เจ้าของยานั่นไปด้วยเลยผมคิดว่ามันคงเป็นยาพิษ แต่เปล่าเลย...มันคือยาปลุกเซ็กซ์ชนิดรุนแรงช่วงนี้มีข่าวยาปลุกเซ็กซ์ระบาดในไทย รัฐบาลก็กำลังปวดหัวและหาวิธี
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ