เจ็บ...นี่คือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของฉัน
จุก...มึน ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทั่วทั้งร่าง ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว อาการร้าวระบมที่แปลกประหลาดทำให้ฉันต้องพยายามฝืนตัวเองหน่อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ รับภาพที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือผ้าห่มสีขาวสะอาดเหมือนกันกับห้องพักของฉัน ทว่าผนังสีชานั้นกลับบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอน
มันคือห้องหรูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับนักศึกษาซึ่งจ่ายค่าห้องโดยมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเหมือนเคยมาที่นี่ก่อนหน้า
“โธ่เว้ย!!”
เพล้ง!
เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายที่เหมือนจะขยับไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลับลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มที่ฉันเจอเขาเมื่อวาน...เขาในตอนนี้เปลือยท่อนบนทำให้ฉันเห็นกล้ามเนื้อแน่นที่เต็มไปด้วยรอยสักหน้าตาประหลาด ซ้ำยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ที่เอวอีกด้วย
ฉันเห็นเขาจากข้างหลังเท่านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลในอารมณ์ของเขา มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ในขณะที่บนพื้นก็มีแต่เศษแก้วแตกอยู่เต็มไปหมด
วินาทีที่เขาหันหน้ามามองฉันซึ่งนั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนเข้ากับแดดยามเช้าจากข้างนอกฉายแววความโกรธจนฉันถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาพเมื่อคืนฉายเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
เขากับฉัน...ร่องรอยบนร่างกายของเขาเกิดจากรอยเล็บของฉันทั้งหมด แล้วยังจะทิ้งความเจ็บปวดบนร่างกายที่เหมือนผ่านศึกหนักมาหมาดๆ ทุกอย่างฉายชัดในความรู้สึกจนทั่วใบหน้าเกิดเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกไปในทางเดียวกัน
“สมใจเธอแล้วสิ”
ดวงตาคู่นั้นมองฉันด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างหนัก เขาปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเข้าถึงตัวฉันได้สำเร็จ มือหนาจับเข้าที่ต้นแขนของฉันแล้วบีบอย่างแรงจนความเจ็บนั้นแล่นจากต้นแขนขึ้นมาที่หัวไหล่ เจ็บไปจนถึงแกนกระดูก...
“โอ๊ย!”
แต่เหมือนว่าการทำให้ฉันเจ็บจะไม่ใช่สิ่งที่ชายคนนี้พึงพอใจ
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอคือพวกไอ้มาร์ค แต่ยังนอนให้เธอยั่วอยู่ทั้งคืน เรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ!!”
“คุณพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อยนะ โอ๊ย!”
ยิ่งฉันตอบกลับไปอย่างนั้น แรงบีบก็ยิ่งมากขึ้น มันเหมือนจะหักแขนฉันออกเป็นสองส่วนให้ได้ เจ็บจนน้ำตาของฉันมันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา ผู้หญิงอย่างเธอต่อให้ร้องไห้มากแค่ไหนมันก็ดูตอแหล ปลอม!”
“อึก”
มือที่จับแขนฉันไว้ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยออก นั่นไม่ได้ต่างอะไรจากการผลักฉันอย่างแรงจนความเจ็บปวดทั้งหลายในร่างกายทวีขึ้นไปอีก...
ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดอะไรกันแน่ เมื่อวานเขาเป็นคนลากฉันขึ้นเตียงเองแท้ๆ แต่วันนี้กลับทำเหมือนฉันพังชีวิตของเขา
ฉันยังไม่ทันได้คลายความสงสัย ประตูห้องก็ได้เปิดออกพร้อมกับชายชุดดำอีกหลายคนที่เข้ามาในนี้ นั่นทำให้ความสนใจของชายตรงหน้าเปลี่ยนไป เขาหันไปหาคนเหล่านั้นพร้อมทั้งตะคอกออกมาเสียงดังลั่น
“พวกมึงกลับมาทำเหี้ยอะไร กูบอกให้เฝ้าจันทร์จ๋าเอาไว้แล้วมึงกลับมากัน ทำไม!!”
น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูโกรธมากกว่าตอนที่พูดอยู่กับฉันหลายเท่า ขนาดที่ว่าชายชุดดำพวกนั้นซึ่งหุ่นล่ำกว่าเขาจนน่าจะสามารถทุ่มเขาลงพื้นได้อย่างง่ายดาย กลับทำได้แค่ยืนก้มหน้าไม่กล้าเถียงอะไรกลับมาเลยสักคำ
“ตอนที่พวกเราขึ้นไปหัวหน้าแจ้งว่าให้ลงมาก่อนเดี๋ยวจะจัดการเอง แต่ไม่คิดว่าพวกนั้นจะถือโอกาสนี้ขับเรือหนีไปครับ” หนึ่งในชายชุดดำกลุ่มนั้นพูดเสียงสั่นๆ
“แล้วติดต่อจาเรดหรือยัง ตอนนี้บนเรือลำนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“ยังครับ ทั้งคุณจาเรดและคุณจันทร์จ๋าไม่ได้เอามือถือไปทั้งคู่ครับ”
ผัวะ!
ท่ามกลางอาการงุนงงของฉันที่ยังไม่ทันหายดี ความตกใจก็เข้ามาแทนที่ซะก่อน เมื่อจู่ๆ หมัดหนักๆ ของชายผู้ถูกเรียกว่า บอส ก็เข้าซัดใบหน้าลูกน้องคนที่เพิ่งพูดจบไปจนชายคนนั้นถึงกับหมดสติ
นะ...นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เมื่อวานก็ฆ่าคนแล้ววันนี้ยังมาทำเรื่องป่าเถื่อนต่อหน้าฉันอีก แม้ว่าในใจจะอยากประณามเขาออกไปมากแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่นั่งเงียบมองภาพตรงหน้าด้วยกลัวว่าถ้าเผลอทำอะไรไม่เข้าตาเขาเข้า รายต่อไปอาจเป็นฉันก็ได้
“กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้มาร์คมันเล็งจันทร์จ๋าอยู่ ให้ดูแลเธอให้ดี แล้วนี่พวกมึงกลับ...โธ่เว้ย!!”
จันทร์จ๋า...ผู้หญิงคนนี้คงจะสำคัญกับเขามากเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ เธอคือใครกัน...คนที่ทำให้เขาโมโหมากถึงขนาดนี้
ในขณะที่ฉันตกอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ เขาที่กำลังโมโหลูกน้องก็ได้หันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง
“เธอน่ะ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเรือมันจะมุ่งหน้าไปไหน ไม่อย่างนั้นเธอได้สลบตามไอ้นั่นไปแน่”
มือของเขาชี้ไปยังชายชุดดำที่สลบเหมือดอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองมายังฉันนั้นไม่มีคำว่าล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังทำเหมือนกับว่าหากฉันตอบคำที่ไม่ถูกใจ บางทีนอกจากสลบแล้วถึงขนาดเอาฉันตายเขาก็ทำได้
แค่คิดอย่างนั้นหัวใจมันก็เหมือนจะหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ
“ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ” ฉันเลือกตอบออกไปตามตรง แม้จะรู้ว่านั่นคือการฝังตัวเองลงหลุมไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตามที
“ไม่เข้าใจ? หรือว่าโดนกระแทกจนสมองกระทบกระเทือนไปหมด ต้องให้กระแทกซ้ำหรือเปล่าถึงจะจำได้”
“นี่คุณ...อั้ก!!”
เพียงแค่ฉันอ้าปากจะประท้วงเขากลับก็ถูกชายหนุ่มพุ่งเข้ามาบีบคางเอาไว้อย่างแรง เขาจ้องหน้าฉันจนแทบจะเปลี่ยนดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดบริเวณคางยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ็บ...”
“แล้วฉันไม่เจ็บเลยมั้ง เธอไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกควักหัวใจออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก คนร่านๆ อย่างเธอมันจะไปรู้อะไร!!”
เป็นอีกครั้งที่เขาทำให้ฉันเจ็บ แล้วก็ออกแรงผลักโดยไม่สนเลยว่าจะทำให้กระดูกส่วนไหนของฉันหักไปหรือเปล่า ความโกรธของเขาที่แสดงออกมาไม่ได้ทำให้ฉันกลัว แต่กลับทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่า
ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ? แล้วฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้คือวันแรกที่ฉันจะใช้ชีวิตในฐานะของผู้ใหญ่ แล้วทำไมชีวิตของฉันต้องเริ่มต้นอย่างน่าอดสูแบบนี้ด้วย
ในขณะที่ฉันนั่งซึม นึกสังเวชให้แก่ชีวิตของตัวเองอยู่นั้น คนที่กำลังเดือดดาลเมื่อครู่เห็นว่าความรุนแรงของเขาทำร้ายฉันไม่ได้ เขาจึงได้ถอยออกไปพร้อมกับคาดโทษฉันเอาไว้
“ออกไปให้พ้นหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอก ฉันในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงดี
บ้านตระกูลวีรวรวรรณ 13 วันต่อมาหลังจากพิธีจบการศึกษา ฉันอยู่เที่ยวต่อที่ฮ่องกงต่อราวๆ เกือบสองอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่งก็คือกำลังรอสัญญาจากโรงงานเรื่องของการผลิตผ้าและตัดเย็บเพื่อส่งไปยังสาขาที่กำลังจะเปิดในประเทศไทย ฉันกำลังจะเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองในชื่อแบรนด์ ตติญา ซึ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้วส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือฉันกำลังเที่ยวเพื่อให้ลืมเรื่องบ้าๆ บนเรือนั่น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรถึงได้มีอะไรกับเขา แล้วยัยเคทหายตัวไปไหนไม่รู้ติดต่อก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเธอนั่นแหละภายในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวที่มีฐานะอย่าง วีรวรวรรณ บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านช่างแตกต่างจากก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกงลิบลับ สวนนอกตัวบ้านเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดสร้างความร่มรื่นส่งกลิ่นหอมอยู่ทุกฤดู ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ไม่ต่างอะไรจากน้ำใจของคนในบ้านหลังนี้ หลังจากที่เสียประมุขของบ้านอย่างคุณยายประไพไปแล้ว ศึกแห่งการแก่งแย่งสมบัติก็ทำให้ทุกอย่างไม่ต่างจากขุมนรกยังดีที่ก่อนคุณยายเสีย ท่านได้แบ่งทรัพย์สินให้ทั้งลูกๆ และหลานๆ อย่างเท่าเทียม ฉันเลยไม่ต้องทนเรื่
“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”“ติญ่าเป็นหลา
วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”ตี๊ดดดดดดดดนี่คือเสียงหัวใจของฉันกำลังหยุดเต้น สิ้นคำพูดนั้นของคุณคามินทร์ บรรยากาศรอบข้างก็ได้เงียบลงเหมือนเสียงหัวใจของฉันในตอนนี้เลยพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ ฆ่าฉันให้ตายไปเลยก็ได้นะ“อะ...อันนี้เรื่องจริงเหรอติญ่า?”น้าพาถึงกับพูดไม่ออก เธอละล่ำละลักถามฉันที่ตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่พูดพอเห็นอาการของแต่ละคนในนี้ นอกจากเขาจะไม่สำนึกแล้วยังกอดอกมองมาด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วยเลว...เขานี่มันเลวจริงๆฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร แต่พอฉันอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดแม้สักคำเดียว“ก็ต้องเรื่องจริงสิครับ แล้วไม่ใช่แค่เมื่อวานรอบเดียวด้วยนะ วันนั้นที่ฮ่องกง...”“พอเถอะคามินทร์ ต่อหน้าคุณย่าเลยนะ”น้าพาหันไปดุคนที่เป็นเหมือนหลานชายของท่าน แต่ถามว่าเขาสำนึกไหม หึ ไม่เลยสักนิด ยิ่งหันไปเห็นว่าย่าตัวเองอึ้งพูดไม่ออก เขายิ่งได้ใจ“อ้าว ผมผิดอะไรล่ะครับ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่เพื่อให้ผมกับติญ่าแต่งงานกัน ผมก็จะแต่งแล้วนี่ไง วันไหนดีล่ะ เย
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”น้าพามองหน้าฉันสลับกับสามีของตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ ฉันไม่เข้าใจว่าสายตานั้นมันหมายความว่ายังไงแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป รอจนกระทั่งขึ้นรถของน้าแล้วกลับมาที่บ้านแล้วน้าพาก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่เดินขึ้นบ้านไปเงียบๆ โดยมีฉันและน้าแมทเดินตามไปไม่ห่าง“นี่ น้าขอเตือนนะ อย่าไปพูดอะไรที่ทำให้น้าพาอารมณ์เสีย ช่วงนี้น้าเขาจิตใจไม่ค่อยจะปกติ”คำพูดนั้นของเขาทำให้ฉันถึงกับต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมองน้าเขยของตัวเองด้วยความไม่พอใจ ครั้งแรกฉันเคืองอยู่นิดๆ แต่ไม่พูดเพราะเกรงใจน้าพา ครั้งที่สองฉันไม่พูดเพราะเกรงใจคุณย่าของคุณคามินทร์ แต่ในครั้งนี้ทุกคนต่างก็เดินนำหน้าไปหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทนกับความเจ้าชู้ประตูผีไม่เลือกหน้าของเขาอีกต่อไปอย่างน้อยๆ...ฉันก็ควรจะให้เขาได้รู้ว่าไม่ควรมาพูดอย่างนี้กับฉันอีก“หนูว่าน้าไม่ควรจะพูดคำพูดพวกนี้กับหนู แต่ควรไปดูแลเมียตัวเองมากกว่านะคะ”พอเขาได้ยินอย่างนั้นก็หันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเคืองๆ“อะไร นี่ไม่พอใจเหรอ?”“เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกว่าการกระทำของน้ามันแปลกๆ คงจะดีกว่านี้ถ้าน้าไม่ยุ่งเรื่องของหนูม
(คามินทร์)‘แกควรจะเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิงบ้างนะ เพราะทำตัวแย่ๆ แบบนี้ไงหนูจันทร์จ๋าเขาถึงได้ทิ้งแก’แค่เพื่อผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราด้วยซ้ำ ย่าถึงกับหักหน้าผมที่เป็นหลานชายแท้ๆ ต่อหน้าคนอื่น โอเค ผมอาจจะไม่ได้แคร์หรอกว่าคนพวกนั้นจะมองผมยังไง แต่มันก็เคืองอยู่นิดหน่อยที่ย่ากล้าทำกับหลานชายสุดที่รักมากถึงขนาดนี้“กรี๊ด!!!”แค่เดินเข้าบ้านมาเสียงกรีดร้องเหมือนปอบหวีดสยองก็เข้ามาทักทายในทันที ไม่ต้องถามให้มากความหรอกว่ามันคือเสียงใคร ตอนนี้คนที่อยู่ในบ้านในฐานะที่แทบจะเหยียบหัวผมได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น“เอะอะโวยวายอะไรของเธอ คิดว่านี่เป็นบ้านตัวเองหรือไง”ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววิ่งออกมาจากห้องรับแขกของบ้าน เธอวิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ราวกับกำลังมองหาที่พึ่ง และด้านหลังก็มีบางอย่างวิ่งตามออกมาด้วยแง๊ว~เสียงร้องที่แสนจะน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ดังออกมาจากเจ้า ชัลก้า แมวยักษ์พันธุ์คาราคัลที่เป็นแมวขนาดกลาง น้องมีความคล้ายกับเสือมากๆ ด้วยนิสัยที่ยังคงมีความเป็นสัตว์ป่า รูปร่างปราดเปรียวและใบหูสีดำที่โดดเด่นออกมาจากขนสีน้ำตาลของมัน ใบหน้ามีแต้มสีขาวร
(ตติญา)จะว่าไปแล้ว...การถูกไล่ออกจากบ้านก็ไม่ได้แย่เท่าไรฉันออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้เอากระเป๋าเสื้อผ้าออกมาด้วย มีก็แค่บัตรเครดิตที่วงเงินไม่กี่แสน และเดือนนี้ฉันก็ใช้ไปแล้วเกือบเต็มวงเงิน เงินสดที่มีไม่กี่ร้อย เงินในบัญชีอีกหลักพัน ตอนที่ออกมาฉันรู้แค่ว่าตัวเองเสียใจจนไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว แต่พอมาเช่าโรงแรมอยู่หลายวันเข้าเงินก็หมด เลยทำให้ฉันต้องมานั่งตัดสินใจว่าจะกลับไปบ้านไปง้อน้าพา หรือว่าจะลองคืนตึกเอาเงินมัดจำมาใช้ก่อนดีแต่ถ้าทำอย่างนั้น ความฝันที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาก็ต้องพังทลายน่ะสิ สุดท้ายแล้วเพราะคิดไม่ตก บวกกับในไลน์กลุ่มศิษย์เก่าชมรมวงโยธวาทิตโรงเรียนมัธยมที่ฉันเคยเรียน เหล่ารุ่นพี่ได้นัดกันไปดื่มที่คลับใกล้ๆ ฉันที่กำลังเครียดจัดกับปัญหาชีวิตเลยตกลงมากับพวกเขาด้วยแต่พอมาถึง ฉันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากรุ่นพี่ที่ฉันเคยรู้จักอยู่กันเต็มไปหมด อันที่จริงก็รุ่นพี่ในรุ่นพี่อีกทีนั่นแหละ เพียงแต่นอกจากพี่บีม รุ่นพี่ที่อายุมากกว่าฉันหนึ่งปีที่สนิทกัน คนอื่นฉันก็ไม่รู้จักเลย“แหมบีม ได้ข่าวว่าเมียกำลังท้องแก่ไม่ใช่เหรอ พาสาวสวยมาด้วยแบบนี้ระวังเมี
“จริงๆ ไม่รู้จักค่ะ แต่เคยเจอกัน สองสามครั้ง”ทีนี้ทั้งโต๊ะหันมามองฉันด้วยสายตาที่เหมือนกับว่าฉันคือตัวประหลาดยังไงยังงั้น รวมทั้งพี่วินนี่ที่ก่อนหน้านี้กำลังเล็งคุณคามินทร์อยู่เช่นเดียวกัน แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันบนตัวของฉันเลยสักนิด“แค่เคยเจอสองสามครั้ง แน่ใจนะ?”แล้วตามด้วยคุณคามินทร์ที่จุดไฟเผาซ้ำ จะอยู่กันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม“คุณต้องการอะไรจากฉันคะ หรือว่าพอเห็นว่าฉันหงิมๆ รังแกง่ายก็จะเล่นมันทุกทาง เอาเลยสิ ฉันก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน”มีแค่เขาคนเดียวมั้งที่อารมณ์เสียตอนที่เห็นหน้าฉัน ตั้งแต่บนเรือนั่นฉันทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้เขาพอใจและไม่กลับมายุ่งกับฉันอีก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่พาตัวเองกลับเข้ามาในชีวิตของฉัน นี่มันความผิดอะไรของฉันเหรอ?“ติญ่า ใจเย็น”พี่บีมพยายามจับมือเพื่อให้ฉันใจเย็นลง แต่ถามจริงๆ ใครเป็นฉันแล้วยังเย็นไหวบ้าง ฉันถูกไล่ออกจากบ้านก็เพราะเขา มีชีวิตที่ไม่สงบสุขก็เพราะเขา แล้วเขายังจะต้องการอะไรจากฉันอีก“ก็แค่ถามความจริง จะโมโหทำไม” ซ้ำเขายังตอกย้ำฉันด้วยการพูดกลั้วหัวเราะ “หรือว่าจริงๆ แค่โมโหที่ฉันทำท่า
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ