(ตติญา)
รอดแล้วตติญา แกรอดแล้ว
ฉันรีบวิ่งกลับเข้ามาในงานอย่างไม่คิดชีวิต เชื่อไหมว่าเมื่อกี้รองเท้าเกือบหล่นกลางทางอย่างกับฉากในการ์ตูนไม่มีผิด ดีที่ฉันไหวตัวทันรีบกลับไปเก็บเพราะเห็นชายชุดดำหนึ่งในกลุ่มนั้นกำลังเดินตามมาเช่นกัน
โอ๊ย...นี่เขาจะเอาฉันตายให้ได้เลยใช่ไหม ฉันเคยได้ยินจากเคทลินมาบ้างเรื่องที่ในเมืองนี้มีมาเฟีย แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกันอีกต่างหาก ตอนนี้หัวใจฉันยังเต้นแรงอยู่เลย มือไม้ก็สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“แกไปทำอะไรมา ทำไมชุดเปื้อนแบบนั้นล่ะ”
เข้ามาถึงหลังเวทีเคที่ก็พุ่งเข้ามาหาในทันที ฉันมองหน้าเธอแล้วพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ความรู้สึกของฉันเหมือนกำลังวิ่งหนีฆาตกรในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แล้วไอ้ฆาตกรนั่นมันก็ยังอยู่บนเรือลำนี้ เรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล ไม่มีทางหนีมีแต่ตายลูกเดียว
อ๊ากกก นี่มันสถานการณ์อันตรายแล้ว ฉันควรจะทำยังไงดี ต้องบอกตำรวจดีหรือเปล่า
“แก แก!!”
“ฮะ”
เสียงตะโกนของเคททำให้ฉันได้สติ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเหม่อไปนานแค่ไหน แต่จากสายตาเคท มันคงผ่านไปนานมากแน่ๆ
“เป็นอะไรเนี่ย เจอเรื่องอะไรมาหรือเปล่าถึงได้หน้าเหวอแบบนั้น”
ฉันสะดุ้งน้อยๆ กับคำถามของเพื่อน จู่ๆ ลำคอก็แห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ในหัวของฉันนั้นเต็มไปด้วยความคิดมากมายทั้งเรื่องดีและไม่ดี อย่างแรกเลยคือฉันควรจะบอกเพื่อนไหม บอกไปแล้วเธอจะเชื่อหรือเปล่า หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือทำให้เพื่อนกังวลจนทำลายวันจบการศึกษาของเธอ
ไม่ๆๆ ฉันไม่ควรบอก รอให้คืนนี้จบก่อนดีกว่า ในเมื่อมีคนเห็นเขาแล้ว ฉันไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำอะไรหรอก
“มะ...ไม่มีอะไรหรอก แค่ออกไปรับลมแล้วล้มน่ะ”
ฟังดูเป็นข้ออ้างไร้สาระที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้ในตอนนี้เลย แต่พอเห็นว่าเคทไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ เสร็จแล้วฉันจะทำผมให้ใหม่”
“อะ อืม”
ฉันกลับออกมาจากห้องแต่งตัวอีกครั้งในชุดเดรสฟูฟ่องที่เป็นเดรสสั้น นี่เป็นชุดสำรองที่ทางมหา’ลัยได้เตรียมเอาไว้ให้ ปกติแล้วฉันไม่ชอบใส่เดรสสั้นเพราะมันจะโชว์เนื้อขาของฉันเยอะเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามากังวลแล้ว อีกอย่างความกังวลของฉันอยู่ที่อย่างอื่นมากกว่า
หลังจากที่เคททำผมให้ใหม่แล้วพวกเราก็ไปรวมกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ด้านหน้าเวทีตามประกาศของพิธีกร ก่อนจะมีการเดินโชว์ของนางแบบ จะต้องแนะนำตัวดิไซเนอร์แต่ละคนก่อน ในขณะที่พวกเรากำลังโพสท่ารวมอยู่บนเวที สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่เพิ่งเข้างาน เพียงแค่เห็นสายตาคมกริบของชายคนนั้นที่มองตรงมาที่ฉัน ทั้งตัวก็แข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก
เขาเข้ามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะรอเด็ดหัวฉันทันทีที่งานจบ
ไม่นะ...ทั้งที่คิดว่ารอดแล้วแท้ๆ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย วันนี้นอกจากแฟชั่นโชว์ก็ยังมีศิลปะ ดนตรี การแสดง อย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะ ทำไมเขาต้องมาที่นี่
หรือว่าจะเป็นคราวซวยของฉันแล้วจริงๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าญ่า ฉันว่าสีหน้าแกไม่ค่อยดีเลยนะ”
เป็นเคทที่สังเกตเห็นมันอีกครั้ง ฉันรู้ว่าคงซ่อนอาการของตัวเองจากเพื่อนได้ไม่มิดหรอก แต่มันก็ยังลำบากใจที่จะบอกออกไปอยู่ดี
“หรือว่า...จะเกี่ยวกับคุณคามินทร์?”
คำถามของเพื่อนทำให้ฉันหันไปหาเธอด้วยความงุนงง ชื่อที่เธอพูดออกมานั้นคุ้นหูอยู่สักหน่อย หรือว่าจะ...ชื่อที่ได้ยินบนดาดฟ้านั่น คือชื่อของชายคนนั้นงั้นเหรอ?
“เขาคือใครเหรอ?” ฉันแกล้งถามทำเป็นไม่รู้จัก
“คนที่แกมองอยู่คนนั้นไง ที่กำลังเดินมานั่งหน้าเวทีน่ะ”
ฉันมองกลับไปยังด้านหน้าอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้ทิ้งพรรคพวกเอาไว้ข้างหลังแล้วตรงมานั่งที่แถวหน้าเป็นที่เรียบร้อย ข้างกันนั้นเป็นบก.จากนิตยสารชื่อดังของเมือง พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นทำให้ฉันกังวลมากกว่าเดิมถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ด้านเคทลินเธอยังไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะถึงคิวเธอที่ต้องออกไปโชว์ตัว ทว่าเมื่อเรากลับมานั่งที่ของตัวเองตรงด้านล่างเวทีแล้ว เธอก็เริ่มเล่าเกี่ยวกับประวัติของชายคนนั้นให้ฉันฟัง
“นั่นน่ะทายาทคนที่สองของตระกูลคัลเลน เห็นว่าเป็นลูกครึ่งจีน-อิตาลี แต่ว่ามีเชื้อชาติไทย เกิดและโตที่เมืองไทย หน้าที่การงานก็ไม่ต่างจากมาเฟียหรอก ธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจระหว่างประเทศเป็นของเขาทั้งนั้น”
“เธอดูรู้จักเขาดีจังนะ”
ช่วงนี้จะเป็นการโชว์ผลงานของนักศึกษาปีสาม ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาแค่คนละ 1 ชุดต่อคน ราวๆ 15 ชุดได้ เลยทำให้พวกเรามีเวลานิดหน่อยสำหรับคุยนั่นคุยนี่กัน ระหว่างนี้ก็มีการแจกกระดาษสำหรับประเมิน เพื่อให้รุ่นพี่ประเมินรุ่นน้องเป็นการสอบในรายวิชาการตลาดต่อไปอีกด้วย
ระหว่างที่ฉันหยิบกระดาษขึ้นมาประเมินตามหน้าที่ เคทก็พูดต่อโดยที่มือก็ทำเช่นเดียวกับฉัน
“ก็ต้องรู้จักดีสิ ที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักเขาหรอก ก็เขากับตระกูลของเขาน่ะดังจะตาย”
งั้นคนเดียวที่ไม่รู้จักเขาก็คงเป็นฉันนั่นแหละ แต่ตอนนี้อยากจะบอกว่าฉันยิ่งกว่ารู้จักซะอีก แต่มันเป็นการรู้จักที่ไม่ประทับใจเอาซะเลย ฉันอยากจะไปโขกหัวแรงๆ เซ่นความโง่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง ถ้าเกิดว่าฉันไม่ไปรู้เรื่องนั้นเข้า พิธีจบการศึกษานี้ของฉันก็คงไม่เป็นไปด้วยความอึดอัดอย่างนี้หรอก
“แต่ว่านะ ยิ่งเขาดังมากเท่าไรก็ยิ่งน่าสนใจ แกรู้ไหม”
คำพูดของเคททำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเธอด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง
“หมายความว่าไง?”
“ก็นะ...หาได้ยากที่จะได้อยู่ในที่แบบนี้กับหนุ่มฮอตอย่างเขา ฉันได้ยินมาว่าเรื่องผู้หญิงเขาน่ะที่หนึ่งเลย คนอย่างนี้แหละสเปกเลย”
“เดี๋ยวๆๆๆ แกจะมาบอกว่าใครสักคนเป็นสเปกในวันจบการศึกษาไม่ได้นะ ที่นี่ไม่ได้”
เห็นท่าทางกอดอกอย่างภาคภูมิใจพลางส่งสายตาให้อีกฝ่ายของเคทลินแล้วฉันรู้สึกเครียดแปลกๆ เธอไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังเล่นกับอะไรอยู่ นั่นมาเฟีย มาเฟียนะเฮ้ย! ฉันคงไม่รู้สึกอะไรหรอกกับการที่เธอจะเล็งผู้ชายสักคนไปนอนด้วย ถ้าเกิดว่าฉันดันไม่ไปเห็นฉากสยองเข้ากับตาแถมเพิ่งโดนเขาขู่ฆ่ามาด้วย
“ไม่ได้เด็ดขาดเคที่ คนนี้ฉันขอห้าม”
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็หันมาเลิกคิ้วถาม
“ทำไม? จะเก็บไว้กินเองหรือไง”
“ฉันเปล่านะ...”
ใครมันจะไปอยากกินผู้ชายแบบนั้นกัน เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็โสด ซิง ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อนในชีวิต ขนาดมือตัวเองยังไม่เคยเลย ถ้าต้องเอาซิงไปทิ้งกับคนอย่างนั้น ฝันไปเถอะ
“ก็ถ้าเปล่าแกจะห้ามฉันทำไม”
“คนนั้นอันตราย แกก็น่าจะรู้นี่”
“อื้อ ก็เพราะรู้ไงเลยอยากได้ อยากได้มากด้วย”
“เคท...” ฉันเรียกเพื่อนเสียงต่ำ แสดงสีหน้าให้มันรู้ว่าครั้งนี้ฉันขอแล้วจริงๆ แต่ถามว่าได้ผลไหมกับคนอย่างยัยนี่
ไม่ค่ะ!
“ทางเดียวที่ฉันจะหยุดคือผู้ชายคนนั้นเป็นของแก จบนะ ไม่เอาก็อย่าพูดมาก”
แกจะบีบฉันให้ได้เลยใช่ไหมยัยเคท จะต้องให้ฉันงัดไม้ตายออกมาให้ได้เลยใช่ไหม...งั้นก็ได้
“เออ คนนี้ฉันอยากได้ พอใจแกยัง?”
น้ำเสียงของฉันฟังออกอย่างชัดเจนว่ากำลังประชดประชัน แต่เพื่อนรักกลับยิ้มกรุ้มกริ่มตอบกลับมา
“ไม่พอใจค่ะ พูดแค่ปากใครจะไปเชื่อ”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะเชื่อ?”
“คืนนี้ก็ขึ้นเตียงกับเขาให้ได้สิ”
ฉันไม่น่าเลย ปล่อยให้มันถูกฆ่าตายหมกทะเลไปดีไหมเนี่ย ที่ฉันทำอยู่นี่คือการปกป้องแกนะยัยเคทยังจะมาทำเป็นเล่นอยู่ได้ โธ่เว้ย
ในขณะที่ฉันกำลังหงุดหงิดกับเพื่อนของตัวเองอยู่นั้นสายตาก็ได้หันกลับไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน ความรู้สึกเย็นวาบเกิดขึ้นที่กระดูกสันหลัง จนฉันต้องกลับมานั่งหลังตรงด้วยความรวดเร็ว
ดูท่าว่าทางเลือกของฉันในตอนนี้จะมีแค่สองทางเท่านั้น หนึ่งคือปล่อยเพื่อนไปตาย สองคือเข้าไปตายด้วยตัวเอง...
แง ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นเลย
หลังจากการเดินโชว์สิ้นสุดลง ในงานก็มีการจัดปาร์ตี้และคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยวงที่ได้รับการโหวตจากเหล่านักศึกษาในช่วงก่อนที่จะจัดงานขึ้นมา รวมทั้งจะมีการอนุญาตให้นักศึกษาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานของมหา’ลัยเป็นครั้งแรก ตอนนี้ทั้งเพื่อนๆ และเหล่ารุ่นน้องของฉันต่างก็พากันดื่มและโยกย้ายไปตามจังหวะของเสียงเพลง บ้างก็ควงแขนกันออกจากงานไปเป็นคู่ๆ แต่ฉันนี่สิ แค่เหล้าแก้วเดียวยังไม่กล้าดื่มเลยถ้าเกิดว่าไอ้หมอนั่นมันทำเรื่องใหญ่ขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดว่าเขาฆ่าคนอีกโดยที่ฉันรู้ว่าตัวเองมีโอกาสหยุดมันแต่ไม่ยอมทำ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือคนที่โดนคือเพื่อนฉัน“ญ่า”ทันใดนั้นเสียงของเคทก็แทรกเสียงดนตรี EDM ที่ดังกระหึ่มเข้ามากระทบหูของฉัน พอหันไปมองก็พบกับเคทลินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสาวแซ่บซี้ดด้วยเดรสยาวสีแดงสุดโดดเด่น บอกเลยว่าคืนนี้เพื่อนฉันไม่ได้มาเล่นๆ แต่ฉันนี่สิ ยังใส่ชุดเดิมชุดเดียวกับในงานอยู่เลยแล้วสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นบางอย่างในมือของเธอ เป็นเหล้าขวดสวยๆ คล้ายๆ กับที่ฉันเคยเห็นในหนังฝรั่งไม่มีผิด“นี่อะไร?”“เอามาให้”“หา?”“ไม่ต้องหาแล้ว นี่เหล้าที่ดีที่สุดของเรือนี้เลยนะขอบอก ฤทธิ
(คามินทร์)ยัยบ้านี่...ไม่ใช่ผมเพิ่งจะปล่อยไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองไม่ใช่เหรอวะ ทำไมถึงได้กลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังกลับมาในสภาพเมาปลิ้น ปรี่เข้ามาจูบผมแบบไม่ให้ตั้งตัวอีก“คุณ...มาเป็นของฉันได้ไหมคะ?”แล้วนี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา คนเราจะขอให้คนอื่นมาเป็นของตัวเองก็ต้องมีความสนใจในตัวอีกฝ่ายมากพอ แต่นี่เราไม่ได้รู้จักกัน เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้ประทับใจเลยด้วยซ้ำใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าผมนั้นแดงก่ำ ร่างกายของเธอมีความผิดปกติบางอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนเมาแน่ๆไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของผมมันก็เกิดอาการเช่นกัน มันทำให้ผมร้อนไปหมดทั้งตัว รู้สึกวูบวาบประหลาดทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยแท้ๆอาการมันเหมือนกับ...ตอนที่ผมโดนยาก่อนหน้านี้“คุณมาเป็นของฉันเถอะนะคะ ฉันไม่ไหวแล้ว”มือเล็กปัดป่ายไปทั่วร่างกายของผมโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนกำลังฉลองกันอยู่เลยไม่ได้มีใครสนใจตรงนี้ ด้านจาเรดเมื่อเห็นว่าผมเจอปัญหาก็รีบวิ่งตรงเข้ามาดูในทันที“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”“อือ มี ปัญหาใหญ่ซะด้วย”ก็ช่วยอยู่นิ่งๆ สิโว้ย ดูท่าว่าเธอคนนี้ก็คงกำลังโดนยาบ้าน
(ตติญา)ร้อน...มันร้อนมากๆ เลย ในร่างกายของฉันเหมือนมีซาวน่าขนาดย่อมๆ อยู่ในนั้น ยิ่งฉันขยับตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนมีไฟร้อนๆ สุมอยู่ในอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าฉันต้องการ...เรื่องนั้นมากกว่าครั้งไหนๆ“เข้าใจทำนะ เนียนดีฉันชอบ”เสียงกระเส่าของชายหนุ่มที่ก่อนหน้าขู่ฉันจะเป็นจะตาย ทว่าตอนนี้เขากำลังกระซิบอยู่ข้างหูของฉัน มือหนาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าอกบีบเคล้นจนเจ็บจี๊ด แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเขาทำรุนแรงมากเท่าไร นั่นก็ไม่ต่างจากการปลุกอารมณ์ประหลาดวูบวาบในตัวฉันให้ตื่นขึ้นมายิ่งกว่าเดิมฉันเพิ่งรู้ว่านี่คือเขาก็ตอนที่ตัวเองอยู่ในห้องอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีสติจะมาสนใจนักว่าเขาคือใครขอแค่ความรู้สึกประหลาดนี่หายไปจะใครก็ได้ทั้งนั้นเขาพลิกตัวฉันให้นอนคว่ำก่อนที่จะดึงให้เข้าไปประชิดตัวในท่านั่ง มือข้างหนึ่งล้วงต่ำลงมาบริเวณหน้าท้องแบนราบ ออกแรงกดให้แผ่นหลังของฉันแนบไปกับแผงอกของเขามากยิ่งกว่าเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นคือมีบางอย่างที่ทั้งอุ่นทั้งแข็งขืนกำลังดันอยู่กับสะโพกของฉัน“แล้วมันบอกหรือเปล่า
เจ็บ...นี่คือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของฉันจุก...มึน ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้นทั่วทั้งร่าง ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว อาการร้าวระบมที่แปลกประหลาดทำให้ฉันต้องพยายามฝืนตัวเองหน่อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ รับภาพที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือผ้าห่มสีขาวสะอาดเหมือนกันกับห้องพักของฉัน ทว่าผนังสีชานั้นกลับบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ห้องของฉันแน่นอนมันคือห้องหรูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับนักศึกษาซึ่งจ่ายค่าห้องโดยมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเหมือนเคยมาที่นี่ก่อนหน้า“โธ่เว้ย!!”เพล้ง!เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมากะทันหันทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายที่เหมือนจะขยับไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลับลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ วินาทีที่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมสีเทาเข้มที่ฉันเจอเขาเมื่อวาน...เขาในตอนนี้เปลือยท่อนบนทำให้ฉันเห็นกล้ามเนื้อแน่นที่เต็มไปด้วยรอยสักหน้าตาประหลาด ซ้ำยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ที่เอวอีกด้วยฉันเห็นเขาจากข้างหลังเท่านั้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลในอารมณ์ของเขา มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา ในขณะที่บนพื้นก็มีแต่เศษแก้วแตกอย
บ้านตระกูลวีรวรวรรณ 13 วันต่อมาหลังจากพิธีจบการศึกษา ฉันอยู่เที่ยวต่อที่ฮ่องกงต่อราวๆ เกือบสองอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่งก็คือกำลังรอสัญญาจากโรงงานเรื่องของการผลิตผ้าและตัดเย็บเพื่อส่งไปยังสาขาที่กำลังจะเปิดในประเทศไทย ฉันกำลังจะเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองในชื่อแบรนด์ ตติญา ซึ่งทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้วส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือฉันกำลังเที่ยวเพื่อให้ลืมเรื่องบ้าๆ บนเรือนั่น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรถึงได้มีอะไรกับเขา แล้วยัยเคทหายตัวไปไหนไม่รู้ติดต่อก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเธอนั่นแหละภายในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวที่มีฐานะอย่าง วีรวรวรรณ บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านช่างแตกต่างจากก่อนที่ฉันจะไปฮ่องกงลิบลับ สวนนอกตัวบ้านเมื่อก่อนเคยมีต้นไม้ดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมดสร้างความร่มรื่นส่งกลิ่นหอมอยู่ทุกฤดู ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ไม่ต่างอะไรจากน้ำใจของคนในบ้านหลังนี้ หลังจากที่เสียประมุขของบ้านอย่างคุณยายประไพไปแล้ว ศึกแห่งการแก่งแย่งสมบัติก็ทำให้ทุกอย่างไม่ต่างจากขุมนรกยังดีที่ก่อนคุณยายเสีย ท่านได้แบ่งทรัพย์สินให้ทั้งลูกๆ และหลานๆ อย่างเท่าเทียม ฉันเลยไม่ต้องทนเรื่
“แกโตเป็นสาวแล้ว ธุรกิจของครอบครัวเราก็กำลังซบเซา ฉันจะให้แกแต่งงานกับลูกชายตระกูลคัลเลน คุณย่าแม่ของน้าเขยแกบอกว่าอยากให้หลานๆ แต่งงานกัน”คัลเลน? นี่มันตระกูลของน้าแมทไม่ใช่เหรอ แต่นอกเหนือจากนามสกุลของน้าเขย ฉันเหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญเลยสักนิด ฉันเรียนจบออกมาเพื่อจะทำห้องเสื้อ เพื่อเป็นดิไซเนอร์อย่างที่ฉันใฝ่ฝัน เรื่องแต่งงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมฉันต้องพักเรื่องห้องเสื้อด้วยล่ะ“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่อายุ 15 จนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำคิดจะเนรคุณฉันงั้นสิ?”“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานหนูไม่มีสิทธิ์ขัดน้าพาอยู่แล้ว แต่เรื่องห้องเสื้อหนูเตรียมการมาตั้งแต่หนูอยู่ปีสอง ลงทุนกับเว็บไซต์กับโรงงานไปแล้ว หนูเลิกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”“หรือแกอยากให้บ้านนั้นเขามาว่าเอาได้ที่สะใภ้คนนี้มีดีแค่เย็บผ้าโหล อยากให้ฉันขายหน้ามากเลยใช่ไหมฮะ”น้ำเสียงของน้าพาเจอไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นจนฉันไม่กล้าที่จะเถียงต่อ น้าแมทเห็นอย่างนั้นจึงปกป้องฉันด้วยการทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม“เอาจริงเหรอคุณ นั่นหลานชายผมนะ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย”“ติญ่าเป็นหลา
วันต่อมา น้าพาพาฉันมายังคาเฟที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาเตะจมูกคือกลิ่นของเนยอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆ อย่างลงตัว ในทีแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาเสพบรรยากาศอะไรมากมายนัก ทว่าพอได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ตัวคาเฟนี้ทำคล้ายๆ เรือนกระจกที่มีหลังคาทรงจั่ว มองจากข้างนอกดูไม่ได้กว้างขวางมากนักด้วยพื้นที่จำกัด ทว่าเมื่อเข้ามาแล้วได้เงยหน้ามองหลังคาที่สูงขึ้นไปเห็นเป็นโคมไฟระย้า กลับทำให้ในนี้ไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย การเลือกเฟอร์นิเจอร์เป็นลายไม้สีอ่อนซึ่งช่างเข้ากับเรือนกระจกขาวนี่ได้เป็นอย่างดี เพลงรักวัยรุ่นที่เปิดคลอเบาๆ อยู่ตลอดก็ช่วยให้ฉันคลายความกังวลลงไปได้บ้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่น้าพาไม่ยอมพูดกับฉันเลย ฉันรู้ว่าน้าคงทั้งโกรธทั้งรู้สึกผิดหลังจากที่ตบฉันไปช่วงมื้อเย็น หัวค่ำก็ได้ให้แม่นวลเอายาทาแก้ฟกช้ำมาให้ถึงน้าจะใจร้าย แต่ท่านก็เหมือนแม่ฉันคนหนึ่ง ฉันไม่ถือโทษโกรธท่านเลยแม้แต่นิดเดียว“ทำหน้าทำตา สงสัยคงอยากได้ผัวจนตัวสั่น”แต่ฉันไม่คิดว่าน้าพาจะพายัยนี่มาด้วย ทั้งที่นี่คือการดูตัวของฉันแท้ๆ แต่พิมพิกลับดีดดิ้นเหมือนหนอนโดนน้ำร้
“เราเคยนอนด้วยกันมาแล้วครับ”ตี๊ดดดดดดดดนี่คือเสียงหัวใจของฉันกำลังหยุดเต้น สิ้นคำพูดนั้นของคุณคามินทร์ บรรยากาศรอบข้างก็ได้เงียบลงเหมือนเสียงหัวใจของฉันในตอนนี้เลยพูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ ฆ่าฉันให้ตายไปเลยก็ได้นะ“อะ...อันนี้เรื่องจริงเหรอติญ่า?”น้าพาถึงกับพูดไม่ออก เธอละล่ำละลักถามฉันที่ตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนที่พูดพอเห็นอาการของแต่ละคนในนี้ นอกจากเขาจะไม่สำนึกแล้วยังกอดอกมองมาด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วยเลว...เขานี่มันเลวจริงๆฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร แต่พอฉันอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับ เขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดแม้สักคำเดียว“ก็ต้องเรื่องจริงสิครับ แล้วไม่ใช่แค่เมื่อวานรอบเดียวด้วยนะ วันนั้นที่ฮ่องกง...”“พอเถอะคามินทร์ ต่อหน้าคุณย่าเลยนะ”น้าพาหันไปดุคนที่เป็นเหมือนหลานชายของท่าน แต่ถามว่าเขาสำนึกไหม หึ ไม่เลยสักนิด ยิ่งหันไปเห็นว่าย่าตัวเองอึ้งพูดไม่ออก เขายิ่งได้ใจ“อ้าว ผมผิดอะไรล่ะครับ ในเมื่อทุกคนก็มาที่นี่เพื่อให้ผมกับติญ่าแต่งงานกัน ผมก็จะแต่งแล้วนี่ไง วันไหนดีล่ะ เย
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ