มิรันดากลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบตีสามหญิงสาวรีบอาบน้ำและเข้านอน แต่เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมงก็ยังคงไม่อาจจะข่มตาหลับลงได้
เมื่อสองวันก่อนเธอกับเพื่อนรักอีกสองคนเข้าไปหาเขมทัตเพื่อยืมเงินจำนวน 30 ล้านจริงอย่างที่ผู้ชายผู้ชายคนนั้นพูด เพราะเขมทัตเป็นคนเดียวที่พอจะมีเงินมากขนาดนั้นให้พวกเธอยืมได้
ย้อนไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอและเพื่อนกลับไปหาแม่ครูอรดีที่บ้านเด็กกำพร้าจึงได้รู้ว่าตอนนี้ที่นั่นกำลังเดือดร้อนเพราะเจ้าของที่คนเดิมเสียชีวิตลง ลูกชายก็เลยอยากจะขายที่ดินผืนนั้นให้กับนายทุนเอาไปสร้างเป็นศูนย์การค้า แม่ครูและเด็กจะต้องย้ายออกจากที่นั่นภายในเวลาหนึ่งเดือน ถ้าไม่ย้ายออกก็ต้องจ่ายค่าเช่าย้อนหลังบวกกับค่าที่ดินรวมเป็นเงินถึง 30 ล้าน
เดิมทีที่ดินผืนนั้นเป็นของคุณอรัญญา ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีเมตตา ท่านให้แม่ครูสร้างสถานเลี้ยงเด็กบนที่ดินโดยไม่คิดค่าเช่า จนผ่านมาถึงตอนนี้ก็เกือบสามสิบปีแล้ว
แม้ว่าจะได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลทุกเดือนแต่นั้นก็พอแค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น แล้วเงินจำนวน 30 มิรันดาและเพื่อนก็ไม่รู้จะไปหยิบยืมที่ไหน นอกจากคุณเขมทัตซึ่งเขาเป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างมีฐานะและมักจะมาทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้าอยู่บ่อยๆ
ข้อเสนอที่ผู้ชายคนนั้นยื่นให้ ฟังดูก็น่าสนใจ เพราะถ้าเขาให้เงินพวกเธอมากอย่างที่พูดจริงๆ ก็เท่ากับว่าแม่ครูและเด็กๆ จะไม่ต้องย้ายออก
มิรันดาและเพื่อนเติบโตมาจากที่นั่น มีแม่ครูคอยเลี้ยงดูและส่งเสียจนได้เข้าเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ พอชั้นมัธยมก็ขอทุนจากทางโรงเรียน วันหยุดก็ไปรับจ้างหาเงินค่าขนมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตอนนี้มิรันดาและโยศิตาเรียนอยู่ชั้นปีสี่แล้ว ส่วนชนิศาก็เรียนจบชั้นปวส. แม้ว่าตอนนี้จะออกมาเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแล้วแต่ก็ยังแวะไปหาแม่ครูอยู่เสมอ เพราะถือว่าที่นั่นเป็นบ้าน และแม่ครูก็คือคนที่มีบุญคุณกับพวกเธอมากกว่าใครทั้งหมด
“รัน นอนไม่หลับเหรอ” ชนิศาตื่นมาในเวลาตีห้าก็เห็นมิรันดาทำอาหารอยู่ในครัว
“อือ ขอโทษนะนิ รันทำให้นิต้องตื่นเลย”
“ไม่เป็นไร คิดเรื่องนั้นใช่ไหม”
“อือ ไม่รู้ว่าพี่ต้นจะหาเงินมาให้พวกเรายืมได้ไหม”
“นิว่ามันยากอยู่นะ เงินมากขนาดนั้น แล้วพวกเราสามคนก็เป็นแค่คนธรรมดาไม่มีทรัพย์สินอะไรไปค้ำประกันกับเขาเลย”
“นั้นสิ แล้วถ้ามีคนอื่นเสนอให้เงินเราล่ะ”
“บ้าน่ารันจะมีใครให้เงินเราเยอะขนาดนั้น”
“ถ้ามีล่ะ”
“ถ้ามีจริงเขาก็คงหวังอะไรในตัวรันแหละ เมื่อคืนเจออาเสี่ยกระเป๋าหนักอีกแล้วใช่ไหม”
“อือ กระเป๋าหนักจริง แต่ไม่ใช่เสี่ย หน้าตางี้หล่อมาก น่าจะเป็นลูกครึ่ง”
“รันไปรู้จักเขาได้ยังไง”
“เขาน่าจะเป็นเพื่อนคุณศิลา”
“อ๋อ คงรวยน่าดูเนาะ”
“เขาเสนอเงินให้เราแลกกับอะไรบางอย่าง”
“อย่าบอกนะว่าเขาขอซื้อตัวรัน”
“ไม่ใช่อย่างั้นสักหน่อย อย่างรันน่ะใครเขาจะซื้อแพงขนาดนั้น อย่างรันแค่แสนเดียวก็วิ่งไปหาเขาแล้ว”
“ถ้าแม่ครูมาได้ยินคงเป็นลงไปหลายตลบแน่”
“ใครจะกล้าพูดให้ได้ยินกันล่ะ”
“แล้วรันรับข้อเสนอของเขาหรือยัง”
“ยังเลย เรื่องนี้เราตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก แล้วนี้โยไปไหน เราอยากปรึกษาเรื่องนี้สักหน่อย” มิรันดาถามถึงเพื่อนอีกคน เพราะเมื่อคืนเธอกลับมาถึงบ้านทุกคนก็เข้านอนกันแล้ว
“ออกไปกับพี่กร แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาแหละเพราะพี่กรต้องไปทำงานแต่เช้า”
“สองคนนี้เขากลับมาคบกันจริงๆ แล้วใช่ไหม”
“ก็คงอย่างั้นแหละ ตั้งแต่พี่กรกลับมาจากเมืองนอกก็เห็นควงกันตลอด”
“ก็ดีเหมือนกันนะ เราว่าเหมาะสมกันดี” มิรันดาก็อยากให้เองตัวเองมีความสุขกับคนที่เหมาะสม
20.30 น. มาร์โค่ผับ
“รันมองหาอะไรอยู่ นัดใครไว้หรือเปล่า” โจ้เพื่อนร่วมงานผู้ชายถาม
“เปล่าจ้ะ”
“เปล่าอะไรเราเห็นรันมองไปทางประตูทุกห้านาทีเลยนะ”
“ก็แค่สงสัยว่าทำไม่วันนี้ลูกค้าถึงไม่ค่อยเยอะเหมือนทุกวัน”
“คืนวันธรรมดาก็อย่างนี้แหละ แต่ก็ดีแล้วเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไงมาก”
“ไม่เหนื่อยก็จริงแต่ทริปก็จะน้อยตามไปด้วย” น้ำตาลเพื่อนอีกคนพูดขึ้น
เพราะแขกที่นี่แต่ละคนกระเป๋าหนักกันทั้งนั้น บางครั้งรายได้จากทริปยังมากกว่าเงินเดือนด้วยซ้ำ
มิรันดาเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้สองเดือน เพราะถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมเธอจะไปทำงานเป็นผู้ช่วยครูสอนที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง
“นั้นสิเมื่อคืนได้ทริปเยอะมาก เราชักอยากจะทำงานที่นี่ต่อแล้วสิ” มิรันดารู้สึกเสียดายถ้าเปิดเทอมจะต้องเลิกทำงานที่นี่
“ลองคุยกับผู้จัดการดูสิ เผื่อเขาจะให้มาทำเฉพาะคืนวันหยุด” น้ำตาลก็อยากให้มิรันดามาทำงานด้วยเพราะเพื่อนร่วมกันคนนี้ทั้งนิสัยดีและขยันทำงาน
“ขอบใจนะน้ำตาลที่แนะนำ เดี๋ยวเราจะหาโอกาสคุยกับเขาดู”
ถึงแม้จะได้ทริปมากขึ้น ทำงานเยอะขึ้นมากกว่าเดิมมากแค่ไหนหรือจะทำงานยังไงจำนวนเงินที่ได้ก็คงไม่พอที่จะช่วยแม่ครูอยู่ดี
เมื่อตอนบ่ายเธอปรึกษาเรื่องนี้กับโยศิตาแล้วทุกคนก็ลงความเห็นว่าเธอควรรับข้อเสนอของผู้ชายคนนั้นเพราะเงื่อนไขมันไม่ได้ยากอะไรเลย แต่เธอคิดว่าจะบอกความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเขมทัตก่อน
มิรันดาแอบเข้ามาในห้องน้ำ หญิงสาวกดโทรออกไปยังนามบัตรที่ผู้ชายคนนั้นให้ไว้ แต่โทรเท่าไหร่ก็เข้าระบบฝากข้อความและขณะนี้ก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงถ้าเธอยังติดต่อเขาไม่ได้ เงิน 30 ล้านก็คงจะหายไปในพริบตา
หญิงสาวเริ่มกังวลว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืนอาจจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น มิรันดาถอนหายใจอีกครั้งเธอรู้สึกหมดหวังจนแทบไม่มีแรงเดินออกจากห้องน้ำ
“น้ำตาลเห็นคุณศิลาไหม”
“น่าจะอยู่ในห้องทำงานข้างหลัง”
“เราขอไปหาคุณศิลาหน่อยนะ”
“อือ”
มิรันดาเดินมายังหลังร้านที่เป็นห้องทำงานของคุณศิลาซึ่งเป็นเจ้าของผับแห่งนี้ เธอเคาะประตูห้องทำงานรอจนเข้าอนุญาตจึงเปิดเข้าไป
“คุณศิลายุ่งอยู่ไหมคะ”
“ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า หรือแขกข้างนอกมีปัญหา” ศิลากำลังทำท่าจะลุกแต่มิรันดาก็รีบห้าม
“เปล่าค่ะ รันอยากรบกวนคุณศิลานิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“คือรันมีธุระจะคุยกับคุณมาร์คัส เขาทิ้งนามบัตรไว้แต่รันโทรไม่ติด คุณพอจะมีเบอร์อื่นไหมคะ” หญิงสาวยื่นนามบัตรสีทองให้กับศิลาดู
“เรื่องด่วนหรือเปล่าละ”
“นิดหน่อยค่ะ รันต้องคุยกับเขาก่อนเที่ยงคืน”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ”
ศิลากดโทรออกไปยังเบอร์ของแพทริค พอฝ่ายนั้นรับก็รีบถามถึงเพื่อนของตนจึงได้รู้ว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่ที่ผับอีกแห่งหนึ่ง
“รัน ขอเบอร์คุณหน่อย”
มิรันดาบอกเบอร์โทรของตนให้กับศิลาเพื่อให้เขาบอกไปยังคนปลายสายให้ติดต่อเธอหลังจากที่ทำธุระเสร็จ
“เดี๋ยวจะติดต่อมาเอง”
“มันจะเกินเที่ยงคืนไหมไหมคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกถ้ามันเกินฉันจะช่วยพูดให้เองว่าเธอโทรหาเขาก่อนเที่ยงคืนแล้ว แต่เขามัวทำอย่างอื่นอยู่ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย”
“ขอบคุณนะคะคุณศิลา”
คุยธุระเสร็จมิรันดาก็ขอตัวออกมาทำงานต่อ ระหว่างนั้นหญิงสาวก็คอยยกโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาดูเรื่อยเพราะกลัวว่าถ้าเขาโทรกลับมาตัวเองจะมารู้เพราะเปิดเป็นระบบสั่นไว้
ผู้ชายคนนั้นเป็นความหวังเดียวที่เธอเหลืออยู่ในตอนนี้ ถ้าเขาทำได้อย่างที่พูดจริงเธอจะยอมยกให้เขาเป็นผู้มีพระคุณอันดับสองในชีวิตรองลงมาจากแม่ครูเลยทีเดียว
แต่ดูเหมือนว่าความหวังจะริบหรี่เพราะตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาแล้วแต่เขาก็ยังไม่โทรกลับมา
มิรันดาเลิกงานในเวลาตีสอง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้งแต่ก็ไม่มีเบอร์ที่ไม่ได้รับสายเลย หญิงสาวเดินคอตกออกมาทางด้านหลังผับเพื่อเดินไปถนนใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกซอยเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ขณะเดินออกมาจากผับได้นิดเดียวก็มีผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาขวาง “คุณชื่อมิรันดาใช่ไหมครับ” “ค่ะ” หญิงสาวตอบพลางมองหน้าเขาอย่างงงๆ เพราะเธอจำได้ว่าไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน “นายผมขอคุณกับคุณหน่อย” “นายคุณเป็นใครคะ ถ้าเขาอยากคุยกับฉันทำไมเขาไม่มาเองล่ะ” “เขารอคุณอยู่ในรถ” “อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย ฉันเจอมาเยอะแล้วพวกมิจฉาชีพ แหมเป็นแต่งตัวดูดี กะจะหลอกฉันไปทำเรื่องอย่างว่าละสิ ไม่มีทางหรอกย่ะ” มิรันดาสะบัดหน้าใส่พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาปิดของสถานบันเทิงทุกคนต่างมุ่งหน้ากลับบ้านถ้าเธอยังเสียเวลาคุยกับคนแปลกหน้าอยู่อย่างนี้ก็คงได้ถึงบ้านดึกกว่าทุกวันแน่ๆ “ยุทธ เดี๋ยวผมคุยต่อเอง” ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินเข้า “ผมไปรอที่รถนะครับ” ชายคนแรกเดินออกไปแล้ว แต่คนที่เดินเข้า
มาร์คัสกดปุ่มแผงกั้นลงเมื่อรู้สึกว่ารถจอดสนิท เพื่อคุยกับคนขับและผู้ช่วยที่อยู่ด้านหน้า “บอสครับ บ้านเธอหลังไหนครับ” ยุทธนาซึ่งเป็นคนขับรถและบอดี้การ์ดถามขึ้น “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แพทริคนายรู้ไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ บอสจะเอายังไงดี ถ้าเราไปกดออดแล้วไม่ใช่บ้านเธอผมเกรงว่าจะไม่ดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มหันมาปลุกคนที่หลับอยู่ข้างๆ ทั้งเรียกทั้งเขย่าแต่เจ้าตัวก็หลับไปไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด แล้วมาร์คัสก็เป็นคนพูดขึ้น “ไปเพนเฮาส์เลย” รถคันหรูแล่นออกจากซอยเล็กๆ จากนั้นขึ้นสู่ถนนใหญ่ที่ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาถึงคอนโดหรูซึ่งห้องด้านบนหนึ่งในสี่ห้องเป็นเพนเฮาส์ของมาร์คัส ส่วนคนขับรถและแพทริคพักอยู่ต่ำลงมาอีกชั้น “ให้ผมช่วยไหมครับ” แพทริคเดินมาเปิดประตูรถฝั่งที่มิรันดานั่งอยู่ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปเปิดลิฟต์รอแล้วกัน” ชายหนุ่มช้อนตัวหญิงสาวขึ้นมาอุ้มอย่างเบามือเพราะกลัวคนที่กำลังฝันหวานจะตื่นขึ้นมาโวยวาย พอมาถึงชั้นบนสุดแพทริคก็เปิด
พอรถจอดสนิทแพทริคก็รีบลงไปเปิดประตูให้มิรันดาขึ้นมานั่งคู่กับเจ้านาย ส่วนเขากระเป๋าของเธอไปเก็บหลังรถ จากนั้นก็ตรงไปยังธนาคารที่ใกล้ที่สุด “กระเป๋ามีแค่ใบเดียวใช่ไหม” มาร์คัสถามอย่างแปลกใจเพราะเขาเคยพาผู้หญิงไปเที่ยวแม้จะไปแค่ไม่กี่วันกระเป๋าของพวกหล่อนก็ไม่ต่ำกว่าสองใบ “ค่ะ” “เอาสมุดบัญชีมาด้วยไหม” “ค่ะ ฉันเตรียมมาแล้ว คุณจะให้เงินสดเลยใช่ไหมคะ” “ฉันรู้ว่าถ้าให้เป็นเช็คเธอคงนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะกลัวเช็คจะเด้ง” “คุณนี่รู้ใจฉันที่สุดเลยค่ะ” มิรันดาส่งยิ้มหวานมาให้ มาร์คัสเห็นรอยยิ้มของเธอแล้วก็ใจเต้นแรง ความรู้สึกเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกับไลร่าเมื่อเจ็ดปีก่อน แต่จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่มิรันดาดูไม่สง่างามเท่ากับไลร่า จะเรียกอีกอย่างก็คือทั้งสองคนมีบุคลิกที่แต่งต่างกันอย่างลิบลับ ไลร่าสวยสง่าดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว กิริยามารยาทอ่อนหวานน่ามอง ส่วนมิรันดานั้นดูเหมือนเด็กกำลังโต ไม่มีความเรียบร้อยเลยสักนิดอีกทั้งการแต่งตัวก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั้งไปไม่มีจุดไหนที่ดึงดูดผู้ชายได้เลย แต่มาร์
พอใกล้ถึงเวลานัดมิรันดาก็รีบโทรบอกแพทริคให้ไปรอเธอที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกลเพราะเธอกลัวว่าแม่ครูจะเห็นเธอมีคนมารับ เธอกลัวว่าความลับจะแตกและแม่ครูจะเอาเงินมาคืนมาร์คัส “ทำไมมายืนรอตรงนี้ล่ะ” มาร์คัสถามอย่างไม่ไว้ใจ เพราะเธอตอนแรกเธอบอกว่าให้ไปรับที่บ้านเด็กกำพร้า “ฉันหิวไงก็เลยมาซื้ออะไรกินรองท้อง คุณกินไหม” มิรันดาจิ้มฟุตลองที่หันเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งให้เขา “ไม่ล่ะ ฉันไม่หิว” “ไม่หิวหรือไม่กล้ากินกันแน่” “เพราะอะไรถึงคิดว่าฉันไม่กล้ากิน มันก็แค่ไส้กรอกธรรมดาไม่ใช่เหรอ” มาร์คัสถามขึ้น “แหม ก็พวกคนรวยน่ะ เขาไม่ค่อยกินอะไรแบบนี้กันหรอก แต่จะบอกให้นะ ของบางอย่างราคาไม่แพงแต่มันก็อร่อย คุณไม่เคยลองจะรู้เหรอ” “กินไปเถอะฉันกลัวเธอไม่อิ่ม” “ฉันว่าคุณไม่กล้ากินมากกว่า” มิรันดาอยากให้เขาได้ลองทานฟุตลองชีทที่ตัวเองใส่ซอสมะเขือเทศซอสพริกและมายองเนส ลงไปผสมกัน เธอคิดว่ามันอร่อยกว่าไส้กรอกที่เธอทานกับเขาเช้านั้นเสียอีก “งั้นเอามาสิ” มิรันดาจิ้มไส้กรอกยื่นให้อีกคน
กลับมาถึงห้องมิรันดาก็รีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เอาน้ำหอมสองขวดถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไอจีและเฟซบุ๊ก ยังไม่ทันได้ดูว่ามีคนมากดถูกใจเยอะไหมโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน “สวัสดีค่ะพี่ต้น” “รันอยู่ที่บ้านหรือเปล่า” “เปล่าค่ะพี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าคะ” “พี่ติดต่อโยไม่เลย ถ้ารันเจอบอกโทรหาพี่ด้วยนะพี่มีเรื่องจะคุยกับเขา” “ได้ค่ะ ถ้ารันเจอรันจะรีบโทรหาพี่ต้นนะคะ” “คุณคุยกับใครมิรันดา” เสียงมาร์คัสตะโกนถาม “พี่ต้นค่ะ พอดีว่าเขาโทรถามอะไรนิดหน่อย” “แต่ในสัญญาระบุไว้แล้วว่าเธอจะติดต่อเขาอีก” “ก็แค่คุยกันทางโทรศัพท์เองนะคะ ไม่ได้มีอะไรเลย” “แล้วมันเรียกว่าติดต่อกันไหมล่ะ” “ฉันก็แค่คุยกับเขาเอง ไม่กี่นาที ถ้าไม่เชื่อคุณจะลองดูก็ได้ว่าสายล่าสุดฉันคุยไปนิดเดียว” “นิดเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อมาอยู่กับฉันก็ต้องเชื่อฟังฉัน” พูดจบเขาก็คว้าโทรศัพท์ของเธอปาลงบนพื้นอย่างแรง จนมันแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี “คุณมาร์คัส มันจะเกินไปแล้วนะ” “เธอไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับ
จากที่คิดว่าจะอ่อนโยนและพูดดีทำดีกับมิรันดาให้มากขึ้น แต่หญิงสาวก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วเธอไม่ฟัง เขาก็ไม่อยากเสียวเวลา เขาขึ้นมาพลิกกายเหนือร่างอีกครั้ง “คุณคงไม่ทำอีกใช่ไหม ก็คุณเพิ่งทำไป” “มันก็แค่ครั้งเดียว มิรันดาเชื่อสิคุณจะมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม” “แต่ฉันเจ็บ” “มันก็แค่แป๊บเดียวไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้เราจะมีความสุขด้วยกันนะรัน” มิรันแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเมื่อเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่นและน้ำเสียงนั้นก็ฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เธอยินยอมพร้อมใจให้กับเขาไปอีกครั้ง มาร์คัสเป็นประกายเมื่อเห็นท่าทางของเธออ่อนอ่อนลงเขาเลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากนุ่มอีกครั้ง มิรันดาไม่ได้ขัดขืน แถมยังตอบรับด้วยความเต็มใจ เมื่อปลายลิ้นหนาส่งเข้ามาในโพรงปากร้อน กวาดเอาหวานอย่างกระหาย มาร์คัสไม่เคยรู้สึกอยากจูบกับใครจนแทบจะกลืนกินมาก่อนเลย แต่กับมิรันดาเขาแทบไม่อยากจะหยุดจูบเลยสักนิดเสียงชายหนุ่มครางต่ำในลำคออย่างพอใจเมื่อหญิงสาวเริ่มเรียนรู้ที่จะหยอกเย้ากับลิ้นของเขาอย่ากล้าๆ กลัว ท่าทางไม่ประสานั้นกลับกระตุ้นความต้องการของเข้าไปอย่า
มาร์คัสมอบประสบการณ์อันเร่าร้อนให้กับมิรันดาจนหญิงสาวหมดแรงอยู่ในอ้อมกอด เสียงกรีดร้องของเธอยังก้องอยู่ในหู เขาผ่านผู้หญิงมาก็มากมายจนนับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบเธอมาก่อน มิรันดาทำให้เขากลายเป็นคนไม่รู้จักพอ อยากได้แล้วอยากได้อีกถ้าเธอไม่หมดแรงจนหลับเขาก็ไม่หยุด เช้านี้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข เขามองหน้ามิรันดาแล้วยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจเป็นยิ้มที่เขาไม่เคยมีมานานกว่าห้าปีแล้ว ร่างที่นอนหลับอยู่ขยับเข้าหาความอบอุ่นในเวลาเกือบเที่ยง มิรันดารู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายปาดร้าวไปทั้งตัว “ตื่นแล้วเหรอ” “คุณมาร์ค” น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “ลุกไหวไหมครับ หิวหรือเปล่า” น้ำเสียงและกิริยาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปจากเดิมจนเธอรู้สึกได้ “ไหวค่ะ คุณพาฉันมานอนห้องนี้เหรอคะ” “ครับ ห้องนั้นมันเละเทะเกินกว่าจะนอน” “ค่ะ” เธอก้มหน้าซุกกับผ้าห่มไม่กล้าสบตาเขา “รัน หน้าคุณแดงมาก” เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธออาย แต่พอเอามือไปเกลี่ยไรผมออกจากไปหน้าก็รู้สึกถึงความร้อนที่ปลายน
ทันทีที่ร่างสูงของมาร์คัสเดินเข้ามายังห้องรับแขกจัสมินก็รีบวิ่งมากอดพี่ชายอย่างประจบ “เรียบร้อยไหมคะพี่” “ยังจ้ะ ติดปัญหานิดหน่อย แล้วนี่จอมทัพมาหรือยัง” “มาแล้วค่ะ น้องให้ไปทำอะโวคาโดปั่นนมสดอยู่ในครัวนู่นค่ะ” “แม่บ้านก็มีทำไมต้องให้เขาทำล่ะ” “ก็พี่จอมทำอร่อยที่สุด” “แสดงว่าช่วงพี่ไม่อยู่ใช้ให้เขามาทำให้บ่อยเหรอ” “ไม่ได้ใช้เลยนะคะ เขาก็แวะมาตามคำสั่งของพี่นั่นแหละ” “อ้อ แล้วมาบ่อยไหม” “วันเว้นวันค่ะ อันที่จริงพี่ไม่ต้องให้เขามาบ่อยๆ ก็ได้ เกรงใจเขา” “ก็พี่เป็นห่วงน้อง”อันที่จริงแล้วมาร์คัสไม่เคยสั่งให้จอมทัพมาบ่อยขนาดนั้น เขาบอกแค่ว่าให้แวะเข้ามาดูบ้างก็เท่านั้นเอง แต่คงเป็นเจ้าตัวมากกว่าที่ทำเกินหน้าที่ เขาไม่โกรธจอมทัพเลยแต่กลับเห็นใจด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ว่าจอมทัพชอบน้องสาวของเขาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่อังกฤษพอจัสมินแต่งงานเขาก็คิดว่าจอมทัพคงตัดใจได้ แต่ไม่เลยสักนิด เพราะแววตาที่จอมทัพมองจัสมินนั้นมันเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยมากมายจนปิดไม่มิด จะมีก็เพี
มาร์คัสเล่าเรื่องราวของตัวเองและธุรกิจที่ทำอยู่ให้มิรันดาฟัง เขาเล่าถึงความจำเป็นที่จะต้องมีบอดี้การ์ดอยู่เสมอ แต่ชายหนุ่มไม่ได้บอกว่าภรรยาของตนเองนั้นเสียชีวิตจากการลอบทำร้ายเพื่อหวังจะให้เขาเสียหลักแล้วตนเองจะเข้ามีอำนาจแทนตระกูลของเขาที่ทำธุรกิจเหล่านั้นมานาน “คุณคงเหนื่อยมาก” มิรันดาถามด้วยความเห็นใจ เธอรู้ดีว่าการรับผิดชอบอะไรสักอย่างนั้นมันทั้งเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากแค่ไหน “ผมชินแล้ว” มาร์คัสยิ้มเขารู้สึกดีที่เห็นว่ามิรันดาไม่ได้มีทีท่ารังเกียจอาชีพของเขา “คุณทำทุกอย่างเพราะความเคยชินเหรอคะ แล้วคุณมีความสุขไหม” “ไม่เลยครับ” “แล้วทำไม่ถอยออกมาล่ะคะ คุณจะหาเงินเยอะๆ ไปทำไมกันคะ” “ไม่รู้สิครับ” “ดูเหมือนคุณจะไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยนะคะ” “มีสิ ผมเคยมีเป้าหมายในชีวิต แต่พอไลร่าตายทุกอย่างก็จบ” “คุณไว้ทุกข์มานานถึงห้าปี ฉันชื่นชมคุณนะคะ หาได้ยากมากผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวเหมือนคุณ ฉันขอโทษนะคะที่เอาชุดสีดำของคุณไปเก็บฉันไม่รู้จริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะให้แม่บ้านเอามาคืนให้นะคะ”มิรันดารู้สึกผิด
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเรื่องมากพามิรันดามายังแผนกเสื้อผ้าบุรุษที่อยู่บนชั้นสามของห้างสรรพสินค้า พนักงานขายดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงพวกเธอก็จะเลิกงานแล้ว พนักงานบางส่วนเริ่มเก็บของและเช็กสต๊อกกันแล้ว “คุณจะซื้อชุดของตัวเองเหรอคะ แล้วพาฉันมาทำไม” “ก็พาคุณมาช่วยเลือกไง คุณจะได้ไม่ว่าผมใส่แต่ชุดสีดำ” “คุณจะถือสาคำพูดของฉันทำไมอยากใสแบบไหนก็ตามใจคุณเลย” “บางทีผมก็อยากเปลี่ยน แต่ทุกชุดที่ใส่เลขาผมเป็นคนจัดให้” “แล้วคุณจะใส่แบบไหน” “แบบไหนก็ได้เลือกมาเถอะ” “เลือกแล้วต้องใส่นะ” “อือ ขออย่าฉูดฉาดมากก็พอ” มิรันดาถามไซซ์เสื้อผ้าที่เขาสวมจากนั้นก็เดินไปเลือกกับพนักงานที่ดูเหมือนจะยิ้มออกเมื่อเธอบอกว่าอยากได้เสื้อเชิ้ตสัก 20 ตัว “คุณ เอาเนกไทด้วยไหมคะ” หญิงสาวเดินเข้ามาถามเมื่อได้เสื้อครบ 20 ตัวแล้ว” “คุณอยากซื้ออะไรก็ซื้อเลย” “อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว” มิรันดายิ้มพราว หญิงสาวหยิบเนกไทสีฟ้าน้ำทะเล สีโอลโรส สีเทา สีครีมและสีขาวมาอย่างละหนึ่งเส้
มิรันดาหลับไปถึงสามชั่วโมงพอตื่นมาก็รู้สึกดีขึ้น เธอพยายามไม่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ บางอย่างมันเสียไปแล้วก็ไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้ และการร้องไห้ฟูมฟายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ระหว่างนี้เธอก็เรียบคำพูด เธออยากขอกลับไปอยู่ที่บ้านเช่าอย่างเดิม เพราะคิดแล้วว่าถ้าอยู่กับเขาก็คงหนีไม่พ้นตำแหน่งนางบำเรอ แล้วมิรันดาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนมาร์คัสไม่ได้สวมถุงยางอนามัยนั่นเท่ากับว่าเธอมีโอกาสตั้งท้องหรือติดโรคจากเขา มิรันดารีบลุกจากที่นอนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็วเธอต้องไปร้านยาที่ใกล้ที่สุดเพราะเท่าที่เคยอ่านเจอต้องทานยาภายใน 24 ชั่วโมงแต่ยังไม่ทันได้ออกจากห้องมาร์คัสก็กลับมาจากทำธุระข้างนอกแล้ว “จะไปไหน”เขาถามด้วยน้ำเสียงห้วนเพราะคิดว่ามิรันดาจะหนีกลับบ้าน “ไปซื้อของค่ะ” “ครั้งต่อไปถ้าจะออกไปข้างนอกต้องบอกผมหรือไม่ก็แพทริคก่อน” “ฉันไม่ใช้นักโทษนะ” “แล้วผมเคยพูดไหมล่ะว่าคุณเป็นนักโทษ ออกไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย” “นี่คุณที่ผ่านมาฉันก็ไปไหนมาไหนคนเดียวมาตลอดไม่
ทันทีที่ร่างสูงของมาร์คัสเดินเข้ามายังห้องรับแขกจัสมินก็รีบวิ่งมากอดพี่ชายอย่างประจบ “เรียบร้อยไหมคะพี่” “ยังจ้ะ ติดปัญหานิดหน่อย แล้วนี่จอมทัพมาหรือยัง” “มาแล้วค่ะ น้องให้ไปทำอะโวคาโดปั่นนมสดอยู่ในครัวนู่นค่ะ” “แม่บ้านก็มีทำไมต้องให้เขาทำล่ะ” “ก็พี่จอมทำอร่อยที่สุด” “แสดงว่าช่วงพี่ไม่อยู่ใช้ให้เขามาทำให้บ่อยเหรอ” “ไม่ได้ใช้เลยนะคะ เขาก็แวะมาตามคำสั่งของพี่นั่นแหละ” “อ้อ แล้วมาบ่อยไหม” “วันเว้นวันค่ะ อันที่จริงพี่ไม่ต้องให้เขามาบ่อยๆ ก็ได้ เกรงใจเขา” “ก็พี่เป็นห่วงน้อง”อันที่จริงแล้วมาร์คัสไม่เคยสั่งให้จอมทัพมาบ่อยขนาดนั้น เขาบอกแค่ว่าให้แวะเข้ามาดูบ้างก็เท่านั้นเอง แต่คงเป็นเจ้าตัวมากกว่าที่ทำเกินหน้าที่ เขาไม่โกรธจอมทัพเลยแต่กลับเห็นใจด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ว่าจอมทัพชอบน้องสาวของเขาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่อังกฤษพอจัสมินแต่งงานเขาก็คิดว่าจอมทัพคงตัดใจได้ แต่ไม่เลยสักนิด เพราะแววตาที่จอมทัพมองจัสมินนั้นมันเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยมากมายจนปิดไม่มิด จะมีก็เพี
มาร์คัสมอบประสบการณ์อันเร่าร้อนให้กับมิรันดาจนหญิงสาวหมดแรงอยู่ในอ้อมกอด เสียงกรีดร้องของเธอยังก้องอยู่ในหู เขาผ่านผู้หญิงมาก็มากมายจนนับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบเธอมาก่อน มิรันดาทำให้เขากลายเป็นคนไม่รู้จักพอ อยากได้แล้วอยากได้อีกถ้าเธอไม่หมดแรงจนหลับเขาก็ไม่หยุด เช้านี้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข เขามองหน้ามิรันดาแล้วยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจเป็นยิ้มที่เขาไม่เคยมีมานานกว่าห้าปีแล้ว ร่างที่นอนหลับอยู่ขยับเข้าหาความอบอุ่นในเวลาเกือบเที่ยง มิรันดารู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายปาดร้าวไปทั้งตัว “ตื่นแล้วเหรอ” “คุณมาร์ค” น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “ลุกไหวไหมครับ หิวหรือเปล่า” น้ำเสียงและกิริยาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปจากเดิมจนเธอรู้สึกได้ “ไหวค่ะ คุณพาฉันมานอนห้องนี้เหรอคะ” “ครับ ห้องนั้นมันเละเทะเกินกว่าจะนอน” “ค่ะ” เธอก้มหน้าซุกกับผ้าห่มไม่กล้าสบตาเขา “รัน หน้าคุณแดงมาก” เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธออาย แต่พอเอามือไปเกลี่ยไรผมออกจากไปหน้าก็รู้สึกถึงความร้อนที่ปลายน
จากที่คิดว่าจะอ่อนโยนและพูดดีทำดีกับมิรันดาให้มากขึ้น แต่หญิงสาวก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ในเมื่อพูดกันดีๆ แล้วเธอไม่ฟัง เขาก็ไม่อยากเสียวเวลา เขาขึ้นมาพลิกกายเหนือร่างอีกครั้ง “คุณคงไม่ทำอีกใช่ไหม ก็คุณเพิ่งทำไป” “มันก็แค่ครั้งเดียว มิรันดาเชื่อสิคุณจะมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม” “แต่ฉันเจ็บ” “มันก็แค่แป๊บเดียวไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้เราจะมีความสุขด้วยกันนะรัน” มิรันแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเมื่อเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่นและน้ำเสียงนั้นก็ฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เธอยินยอมพร้อมใจให้กับเขาไปอีกครั้ง มาร์คัสเป็นประกายเมื่อเห็นท่าทางของเธออ่อนอ่อนลงเขาเลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากนุ่มอีกครั้ง มิรันดาไม่ได้ขัดขืน แถมยังตอบรับด้วยความเต็มใจ เมื่อปลายลิ้นหนาส่งเข้ามาในโพรงปากร้อน กวาดเอาหวานอย่างกระหาย มาร์คัสไม่เคยรู้สึกอยากจูบกับใครจนแทบจะกลืนกินมาก่อนเลย แต่กับมิรันดาเขาแทบไม่อยากจะหยุดจูบเลยสักนิดเสียงชายหนุ่มครางต่ำในลำคออย่างพอใจเมื่อหญิงสาวเริ่มเรียนรู้ที่จะหยอกเย้ากับลิ้นของเขาอย่ากล้าๆ กลัว ท่าทางไม่ประสานั้นกลับกระตุ้นความต้องการของเข้าไปอย่า
กลับมาถึงห้องมิรันดาก็รีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เอาน้ำหอมสองขวดถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไอจีและเฟซบุ๊ก ยังไม่ทันได้ดูว่ามีคนมากดถูกใจเยอะไหมโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน “สวัสดีค่ะพี่ต้น” “รันอยู่ที่บ้านหรือเปล่า” “เปล่าค่ะพี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าคะ” “พี่ติดต่อโยไม่เลย ถ้ารันเจอบอกโทรหาพี่ด้วยนะพี่มีเรื่องจะคุยกับเขา” “ได้ค่ะ ถ้ารันเจอรันจะรีบโทรหาพี่ต้นนะคะ” “คุณคุยกับใครมิรันดา” เสียงมาร์คัสตะโกนถาม “พี่ต้นค่ะ พอดีว่าเขาโทรถามอะไรนิดหน่อย” “แต่ในสัญญาระบุไว้แล้วว่าเธอจะติดต่อเขาอีก” “ก็แค่คุยกันทางโทรศัพท์เองนะคะ ไม่ได้มีอะไรเลย” “แล้วมันเรียกว่าติดต่อกันไหมล่ะ” “ฉันก็แค่คุยกับเขาเอง ไม่กี่นาที ถ้าไม่เชื่อคุณจะลองดูก็ได้ว่าสายล่าสุดฉันคุยไปนิดเดียว” “นิดเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อมาอยู่กับฉันก็ต้องเชื่อฟังฉัน” พูดจบเขาก็คว้าโทรศัพท์ของเธอปาลงบนพื้นอย่างแรง จนมันแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี “คุณมาร์คัส มันจะเกินไปแล้วนะ” “เธอไม่มีสิทธิ์มาขึ้นเสียงกับ
พอใกล้ถึงเวลานัดมิรันดาก็รีบโทรบอกแพทริคให้ไปรอเธอที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกลเพราะเธอกลัวว่าแม่ครูจะเห็นเธอมีคนมารับ เธอกลัวว่าความลับจะแตกและแม่ครูจะเอาเงินมาคืนมาร์คัส “ทำไมมายืนรอตรงนี้ล่ะ” มาร์คัสถามอย่างไม่ไว้ใจ เพราะเธอตอนแรกเธอบอกว่าให้ไปรับที่บ้านเด็กกำพร้า “ฉันหิวไงก็เลยมาซื้ออะไรกินรองท้อง คุณกินไหม” มิรันดาจิ้มฟุตลองที่หันเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งให้เขา “ไม่ล่ะ ฉันไม่หิว” “ไม่หิวหรือไม่กล้ากินกันแน่” “เพราะอะไรถึงคิดว่าฉันไม่กล้ากิน มันก็แค่ไส้กรอกธรรมดาไม่ใช่เหรอ” มาร์คัสถามขึ้น “แหม ก็พวกคนรวยน่ะ เขาไม่ค่อยกินอะไรแบบนี้กันหรอก แต่จะบอกให้นะ ของบางอย่างราคาไม่แพงแต่มันก็อร่อย คุณไม่เคยลองจะรู้เหรอ” “กินไปเถอะฉันกลัวเธอไม่อิ่ม” “ฉันว่าคุณไม่กล้ากินมากกว่า” มิรันดาอยากให้เขาได้ลองทานฟุตลองชีทที่ตัวเองใส่ซอสมะเขือเทศซอสพริกและมายองเนส ลงไปผสมกัน เธอคิดว่ามันอร่อยกว่าไส้กรอกที่เธอทานกับเขาเช้านั้นเสียอีก “งั้นเอามาสิ” มิรันดาจิ้มไส้กรอกยื่นให้อีกคน
พอรถจอดสนิทแพทริคก็รีบลงไปเปิดประตูให้มิรันดาขึ้นมานั่งคู่กับเจ้านาย ส่วนเขากระเป๋าของเธอไปเก็บหลังรถ จากนั้นก็ตรงไปยังธนาคารที่ใกล้ที่สุด “กระเป๋ามีแค่ใบเดียวใช่ไหม” มาร์คัสถามอย่างแปลกใจเพราะเขาเคยพาผู้หญิงไปเที่ยวแม้จะไปแค่ไม่กี่วันกระเป๋าของพวกหล่อนก็ไม่ต่ำกว่าสองใบ “ค่ะ” “เอาสมุดบัญชีมาด้วยไหม” “ค่ะ ฉันเตรียมมาแล้ว คุณจะให้เงินสดเลยใช่ไหมคะ” “ฉันรู้ว่าถ้าให้เป็นเช็คเธอคงนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะกลัวเช็คจะเด้ง” “คุณนี่รู้ใจฉันที่สุดเลยค่ะ” มิรันดาส่งยิ้มหวานมาให้ มาร์คัสเห็นรอยยิ้มของเธอแล้วก็ใจเต้นแรง ความรู้สึกเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกับไลร่าเมื่อเจ็ดปีก่อน แต่จะต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่มิรันดาดูไม่สง่างามเท่ากับไลร่า จะเรียกอีกอย่างก็คือทั้งสองคนมีบุคลิกที่แต่งต่างกันอย่างลิบลับ ไลร่าสวยสง่าดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว กิริยามารยาทอ่อนหวานน่ามอง ส่วนมิรันดานั้นดูเหมือนเด็กกำลังโต ไม่มีความเรียบร้อยเลยสักนิดอีกทั้งการแต่งตัวก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั้งไปไม่มีจุดไหนที่ดึงดูดผู้ชายได้เลย แต่มาร์