ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ
“กำลังอดทน?” จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันที ทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน
“มาเอาของหรือคะ ฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไป ทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน
“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอก คุณโอ๋ลูกมาไป จนติดคุณเเล้วรู้ไหม" กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม เเล้วเอ่ยต่อไปว่า “ต้นน้ำแกบอกว่า อยากมีน้องสาว…”
จรีภรณ์ส่งสายตามองสามี เธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้ “คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”
“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
มายาปฏิพัทธ์เขียนโดย เฌอรินทิพย์บทนำ‘ถ้าแกยังไม่ยอมเลิกมีแฟนเป็นผู้หญิง ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!!’เธอยังจำเสียงนี้ได้ดีและไม่มีวันลืม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ปิดเทอมจากมหา’ลัย กลับบ้านมาก็มักจะโดนว่าแบบนี้ทุกครั้ง จนตอนนี้เรียนจบมาสองปีกว่าทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนใจมารดาได้เลย ทุกวันหยุดปีใหม่ปีที่แล้วต้องคิดนานว่าควรจะกลับไปดีไหม?สุดท้ายก็กลับไปและ...‘ฉันเลี้ยงให้แกโตมาชอบผู้ชายด้วยกัน!’เป็นแบบนี้มาตลอดจนเมื่อหลายเดือนก่อนแม่เกิดป่วยกะทันหันและด่วนจากไป ทั้งครอบครัวตอนนี้จากสามคนเหลือเพียงคนเดียว คำสั่งเสียของแม่คือการที่ให้แต่งงานกับผู้ชายมีครอบครัวดีๆ ซึ่งมันแทบไม่มีวันเป็นไปได้เลย เธอไม่ได้รังเกียจผู้ชายแต่ทว่าการคบกับผู้หญิงด้วยกันมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย...อีกอย่าง ในทางตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าสบายใจกว่ากันเยอะทีเดียว“น้องต๋อมอยากสั่งอะไรมาทานไหมครับ”จรีภรณ์หรือ ‘ต๋อม ’ส่ายหน้าแทนคำตอบนั่ง เธอตรงข้ามฝั่งรุ่นพี่หนุ่มที่ทำงานร่วมกัน แม้สายตาจะไม่ได้แสดงออกมาว่าเกลียดผู้ชาย แต่ท่าทางที่ดูเหินห่างก็พอบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่
เสียงพูดคุยดังเข้าผ่านหูของหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียง กลิ่นยาและน้ำหอมจากคนผสมกัน ทำให้ดมจนแทบอยากจะอ้วก ไม่นานนักเสียงที่น่ารำคาญก็ค่อยๆ หายไป จรีภรณ์พยายามปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังเพดานสีขาวสะอาด ตอนนี้ก็พอจะเดาได้ว่าอยู่โรงพยาบาล เธอขยับปรับเปลือกตาเพื่อรับแสงก่อนจะมองเห็นพยาบาลที่กำลังเก็บของอยู่“ฟื้นแล้วหรือคะ ? ฉันจะไปตามคุณหมอมานะคะ”จรีภรณ์เพียงแค่พยักหน้าตอบเพราะยังคงมึนงงกับร่างกายอยู่หญิงสาวหลับตาลงในขณะที่พยาบาลเดินออกจากห้องไป กำลังพยายามนึกภาพก่อนเกิดอุบัติเหตุและก็จำได้ว่าดวงซวยที่ดันไปยืนอยู่ตรงนั้น จนถูกป้ายโฆษณาหล่นใส่เอาได้ ดีที่ยังไม่ตาย ไอ้ต๋อมเอ๊ย...เพิ่งเข้าโรงพยาบาลหนักๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกเลยประตูห้องเปิดเข้ามา เสียงมากมายก็ดังตามมาด้วยจรีภรณ์หันหน้าไปมองผู้มาเยือนที่ไม่รู้จัก“พริมฟื้นแล้วหรือลูก”หญิงสาวยิ่งคิ้วขมวดใหญ่มากกว่าเดิมเมื่อถูกหญิงวัยกลางคนทัก...ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ??“คุณหมอคะ เธอเป็นอะไรทำไมไม่ยอมพูดคะ”จรีภรณ์ยังคงมองด้วยความงุนงงทั้งที่อยากจะเปิดปากพูดว่ากำลังทักคนผิดแต่ทว่าไม่มีแรงมากพอได้แค่นอนนิ่งๆ มองดูคนแปลกหน้าต่อไป ส
กตตน์เดินเข้ามาในบ้าน หลังจากที่ไม่ได้กลับมานอนหลายคืน ด้วยเหตุที่อ้างว่าติดงานเยอะจึงอยู่พักที่คอนโดฯ ส่วนตัว สองเท้าก้าวยาวตรงผ่านห้องรับแขกไปทว่าเสียงของมารดาก็ดักขึ้นเสียก่อน“กว่าจะกลับมาได้ วันๆ ซุกตัวอยู่กับนังผู้หญิงแพศยานั่น”บวรลักษณ์กล่าวว่าลูกชายด้วยความโมโห ทั้งที่หาคนเหมาะสมให้แต่งงานด้วยแล้วยังจะไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกกตตน์หันมาด้วยสีหน้านิ่งๆ แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่กล่าวว่าแบบนี้“ผมกับแพรว เรารักกัน” คำพูดนี้พูดออกมาจากใจจริง ทว่า บวรลักษณ์ได้ยินแล้วไม่รู้สึกเห็นใจในความรักของลูกชายสักนิด“รักแกจริงใจ ! น้ำเน่า…ผู้หญิงแบบนั้นจะรักแก มันรักเงินของแกมากกว่าน่ะสิ !” บวรลักษณ์แทบเลือดขึ้นหน้า ทั้งที่บอกแล้วว่าผู้หญิงอย่างแพรวรุ้งไม่มีทางจริงใจได้ แต่ลูกชายก็ไม่ฟัง หนำซ้ำยังคิดจะแต่งเป็นเมียอีกกตตน์ไม่ฟังที่มารดาพูด เขาหมุนตัวเดินจากไปในทันที“กลับมาก่อนนะ ตาไม้”พูดไปก็เหมือนลมผ่านหูเมื่อลูกชายสุดที่รักเดินลับสายตาไปแล้ว บวรลักษณ์คิดแค่ว่าหากกตตน์แต่งงานเเล้วจะเลิกสนใจแพรวรุ้ง แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะวุ่นวายมากกว่าเดิม หนำซ้ำพริมมาต้องมาทนทุกข์จากการกระทำของลูกชายตัวดีอีก“พู
แสงอาทิตย์ลับของฟ้ามานานแล้ว ทว่าจรีภรณ์ยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม สายตาทอดมองออกไปยังหน้าต่างจากมุมห้องพักตึกสูง หากว่านี้เป็นความฝันก็อยากจะรีบตื่นจากมันเสีย หญิงสาวคนนี้ร่างบอบบางเกินกว่าที่ตัวเองจะถนัดได้ ตัวเล็กผิวขาวน่าทะนุถนอม หากได้เจออาจจะต้องหลงชอบบ้าง แต่ทว่ามันไม่ชินเลยสักนิดกับการที่ต้องมาแบกหน้าอกสะบึ้มทั้งที่ก่อนหน้านั้น ร่างของเธอแบนเรียบเหมือนไม้กระดาน !ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจรีภรณ์หันไปทางกระจกหน้าต่างแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง“เธอเป็นใคร !!”น่าขันจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นปีโคตรซวย โคตรชงใช่ไหม !แล้วตอนนี้ร่างของเธอละ อยู่ที่ไหนกัน ?หญิงสาวนั่งอยู่นานก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจำใครได้บ้าง เบอร์ของใครสักคนที่สามารถติดต่อถึงได้ ว่าร่างอยู่ที่ไหนฮิปโป...ตอนนี้ในสมองคงจะจำได้แค่เบอร์ของคนนี้ ไม่อยากจะโทร.ไปฟังเสียงชวนขนลุกนี้เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ตอนนี้ความอยากรู้มากกว่าทุกสิ่ง จรีภรณ์รีบกดเบอร์ของชายหนุ่มและยกโทรศัพท์แนบหูทันที[สวัสดีครับ]หญิงสาวเงียบนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับอีกฝ่ายยังไงดี“สวัสดีค่
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเเล้ว จรีภรณ์เดินขึ้นมาห้องนอนทันทีเพราะไม่อยากจะยุ่งเรื่องของคนในครอบครัวเท่าไหร่ ทว่าเสียงของคุณแม่สามีก็ดังจนผ่านผนังห้องเข้ามาจนน่าตกใจ อันที่จริงอยากจะบอกว่า ไล่ไปนอนที่ไหนก็ไปเถอะ ถึงยังไงเธอก็ไม่อยากจะนอนด้วยกันอยู่เเล้วจรีภรณ์เดินไปกลางห้องสำรวจรอบๆ พลางถอนหายใจออกมาและตกอยู่ในภวังค์ของตน ไม่รู้จะอยู่ในร่างนี้อีกนานเเค่ไหนกันเชียว ไม่รู้ว่าวิญญาณของพริมมาจะเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้รู้สึกกลายเป็นคนบาปที่แย่ง ร่างของผู้หญิงคนนี้“พริมมา ฉันขอโทษนะ” จรีภรณ์พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกผิด วาบ…รอบผิวกายของเธอกลับรู้สึกเย็นเยือกในทันที เจ้าตัวยกมือลูบที่ต้นเเขนเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเเละเปิดออกคุณพระ ! จรีภรณ์มองเสื้อผ้าตรงหน้า ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ บอกทีว่าคืนนี้เธอต้องใส่ชุดนอนอันบางเบานอนกับผู้ชายคนนั้น !“ใครจะกล้าใส่กัน !” หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าเเต่ละชุดที่คิดว่าต้องไม่ใส่ออกมาจนหมดเเละ…มันก็หมดตู้“แล้วคืนนี้ฉันจะใส่อะไรเนี่ย ลำพังแค่เดรสที่ใส่วันนี้ ลมวาบๆ ที่ขาจนแทบเดินไม่ออกเเล้ว !” จรีภรณ์อยากจะร้องไห้ เเต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก
แสงอรุณสอดผ่านม่านในยามเช้า หญิงสาวพลิกร่างซุกใต้ผ้าห่มหนีแสงด้วยความรำคาญ มือขยับเล็กน้อยแต่ก็ตกใจสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อมือของ ชายหนุ่มทับอยู่ที่หน้าอกของเธอ“เฮ้ย !” จรีภรณ์เด้งตัวขึ้นดึงผ้าห่มและขยับเท้าออกแรงถีบทันทีตุบ ! ร่างของกตตน์ร่วงลงกระแทกพื้น ทำให้เขาตื่นขึ้นในทันที ชายหนุ่มขยับตัวร้องด้วยความเจ็บ เงยหน้าส่งสายตามองหญิงสาว“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย !” กตตน์มองพลางขยับตัวลุกขึ้น จากที่ง่วงอยู่ตอนนี้ตาสว่างขึ้นมาเลยจรีภรณ์มองคนตัวใหญ่ด้วยความไม่พอใจ ต่อให้จะไม่ใช่เจ้าของร่างนี้แต่แรกแต่เมื่อเธอมาอยู่ในร่างนี้แล้วไม่มีทางเด็ดขาดที่จะให้ผู้ชายโดนตัว ถึงแม้จะเป็นการไม่ตั้งใจก็ตามแต่เธอก็ไม่ชอบ“ฉันละเมอ !” หญิงสาวโกหกกตตน์มองหญิงสาวเเละไม่คิดว่าจะละเมอออกมาได้จงใจถีบตกเตียงจรีภรณ์มองหน้าเขาก่อนหันไปทางอื่น ไม่นานนักได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำจึงส่งสายตามองประตูพลางลอบถอนหายใจออกมา ก็ใครให้ใช้นอนไม่ดูเเบบนั้นกันเล่า สมควรโดนเเล้ว !หญิงสาวขยับตัวลงจากเตียง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดที่จะใส่ออกมา ครั้นมองเสื้อผ้าเเต่ละชุดตรงหน้าแล้วก็อยากจะร้องไห้ พริมมาไม่ชอบใส่กางเกงขายาวเลยหรือไงกั
“จะนอนก็นอนไปเถอะน่า !” หญิงสาวข่มเสียงพูดก่อนเดินมาวางกระเป๋าและหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำจรีภรณ์ล้างหน้าและยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานาน แม้จะรู้ว่าผู้หญิงที่มองเห็นไม่ใช่ตัวเธอก็ตามทั้งรูปร่างหน้าตาทุกอย่างต่างกันโดยสิ้นเชิง...เธอรับรู้ถึงความหนาวจากลมที่พัดผ่านกายเธอเข้ามาได้ พลันหันมองว่ามีช่องลมหรือไม่ทว่าในห้องนี้ปิดหมดไม่มีแม้แต่รูหนูเข้า แล้วลมพัดเย็นเยือกนี้มาจากไหน ?แม้จะสงสัยแต่จรีภรณ์ก็ไม่ได้สนใจมากกว่าการถอดเสื้อผ้าของตนเองและลงแช่ในอ่าง…‘ออกไปซะ !’ เสียงสะท้อนดังขึ้น ทว่าไม่มีใครได้ยิน ร่างโปร่งปรากฏชัดเจนและมองไปยังหญิงสาวที่อาบน้ำอยู่ในอ่าง หยดน้ำตาจากขอบตา แดงก่ำไหลลงมาด้วยความเจ็บปวด‘เอาร่างของฉันคืนมา !’แม้ว่าจะพูดดังแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่มีทางได้ยิน วิญญาณสาวเคลื่อนเข้ามาหาจนแทบชิดติดใบหน้าของร่างตัวเอง...แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นมองไม่เห็น ทำได้เพียงแค่ตะโกนสุดเสียงทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน‘ออกไปซะ ! ออกไป !’หญิงสาวเดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าให้แห้งและหวีผม ก่อนเดินไปที่เตียงขยับตัวขึ้นนอนด้วยความเหนื่อยล้าบรรยากาศคืนนี้ดูหนาวผิดปกติจาก
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง