“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ
...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง