Share

บทที่ 3 ความจริงที่ว่า

แสงอาทิตย์ลับของฟ้ามานานแล้ว ทว่าจรีภรณ์ยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม สายตาทอดมองออกไปยังหน้าต่างจากมุมห้องพักตึกสูง หากว่านี้เป็นความฝันก็อยากจะรีบตื่นจากมันเสีย หญิงสาวคนนี้ร่างบอบบางเกินกว่าที่ตัวเองจะถนัดได้ ตัวเล็กผิวขาวน่าทะนุถนอม หากได้เจออาจจะต้องหลงชอบบ้าง แต่ทว่ามันไม่ชินเลยสักนิดกับการที่ต้องมาแบกหน้าอกสะบึ้มทั้งที่ก่อนหน้านั้น ร่างของเธอแบนเรียบเหมือนไม้กระดาน !

ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

จรีภรณ์หันไปทางกระจกหน้าต่างแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง

“เธอเป็นใคร !!”

น่าขันจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นปีโคตรซวย โคตรชงใช่ไหม !

แล้วตอนนี้ร่างของเธอละ อยู่ที่ไหนกัน ?

หญิงสาวนั่งอยู่นานก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจำใครได้บ้าง เบอร์ของใครสักคนที่สามารถติดต่อถึงได้ ว่าร่างอยู่ที่ไหน

ฮิปโป...ตอนนี้ในสมองคงจะจำได้แค่เบอร์ของคนนี้ ไม่อยากจะโทร.ไปฟังเสียงชวนขนลุกนี้เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ตอนนี้ความอยากรู้มากกว่าทุกสิ่ง จรีภรณ์รีบกดเบอร์ของชายหนุ่มและยกโทรศัพท์แนบหูทันที

[สวัสดีครับ]

หญิงสาวเงียบนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับอีกฝ่ายยังไงดี

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของต๋อม...” จรีภรณ์ข่มน้ำเสียงพูด โดยการเริ่มต้นใหม่จากคนที่ไม่รู้จักหน้ากัน “ฉันติดต่อต๋อมไม่ได้ พอดีเธอเคยให้เบอร์เพื่อนร่วมงานเอาไว้ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอหรือเปล่า ?”

[คุณเป็นเพื่อนน้องต๋อมหรือครับ ?]

“ใช่ค่ะ พอดีฉันอยากรู้ว่าต๋อมพักอยู่ที่ไหนแล้วมีเบอร์ของเธอ ไหมคะ” จรีภรณ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน

[มีครับ แต่คงติดต่อเธอไม่ได้อีกแล้ว เธอเสียชีวิตแล้วครับ…]

อะไรนะ ! หมายความว่าอย่างไร แล้วเธอจะกลับเข้าร่างได้ยังไง

ไม่จริงใช่ไหม !

“หมายความว่ายังไงคะ !” หญิงสาวเริ่มถามเสียงสั่น เพราะใจเริ่มจะรู้แล้วว่าที่อีกฝ่ายพูดอาจเป็นจริงเพียงต้องการได้ยินอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ

[ต๋อมประสบอุบัติเหตุครับ วันนี้เป็นวันสวดที่สี่แล้ว พอครอบเจ็ดวันหลังสวดก็จะเผาครับ]

เผ่าร่างของเธอ บ้าน่า !

“รบกวนขอชื่อวัดด้วยค่ะ” จรีภรณ์พูดเสียงสั่น มันเป็นเรื่องที่บ้าและเหลือเชื่อเกินความจริง แต่มันก็คือความจริงที่ว่า...เธอตายแล้ว !

ชายหนุ่มบอกชื่อวัดก่อนที่หญิงสาวจะกล่าวขอบคุณและวางสายไป ร่ายกายสั่นเทาสับสน มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าร่างของเธอไม่มีแล้วก็เท่ากับว่าตอนนี้มาแย่งร่างของผู้หญิงคนนี้หรือ...!

รถยนต์คันหรูจอดลงที่ใต้ชายคาคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูรถเปิดออกบวรลักษณ์ก้าวลงจากรถตามด้วยลูกสะใภ้คนโตเเละจรีภรณ์ หญิงสาว ส่งสายตามองบ้านหลังใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าของร่างจะเป็นสะใภ้ของคุณหญิงคุณนาย ที่มีบ้านหลังใหญ่โตคนใช้ไม่ขาดมือเเบบนี้

“เข้าบ้านเถอะลูก”

จรีภรณ์พยักหน้าเเทนคำตอบก่อนจะเดินตามเข้าไป เวลานี้ทุกคนต่างเข้าใจว่า ‘พริมมา หรัญสกุล’ เสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ

เมื่อเดินมาถึงในบ้านเเล้ว สาวใช้รีบวิ่งเข้ามาหาบวรลักษณ์สั่งให้นำของขึ้นไปไว้ที่ห้องเหมือนเดิม ก่อนจะพาเดินดูรอบๆ บ้าน

คฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราน่าอยู่ คนในบ้านก็แสนดี ชีวิตของพริมมาน่าอิจฉาเสียจริง เกิดมาเป็นคุณหนูแต่งงานไปก็ได้ครอบครัวสามีที่ดี แม่สามีเอาใจ พี่สะใภ้ก็น่ารัก ทุกอย่างต่างจากชีวิตของเธอโดยสิ้นเชิง !

เดินมาจนถึงสวนหลังบ้าน บรรยากาศในช่วงบ่ายสี่โมงกำลังดี มีแดดอ่อนๆ มีลมพัดมาเป็นระยะ ที่นี่ดูสบายตาเเละสบายใจ จรีภรณ์สาวเท้าเข้าไปรับลมเบาๆ ที่พัดมาก่อนจะยิ้มออกมา

“พอจำได้บ้างไหม?” มารวีเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาหา

จรีภรณ์หันหลังกลับไปก่อนจะส่ายหน้าเเทนคำตอบ

“เอาเถอะ เรื่องเเบบนี้ต้องใช้เวลา” มารวีกล่าว “นี่ก็เกือบได้เวลากิน

มื้อเย็นแล้ว ไปกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไป ทว่า...

“เออ…เดี๋ยว…ค่ะ” จรีภรณ์พูดขึ้นทำให้อีกฝ่ายหันมามอง “เออ คือว่าฉัน…ต้องนอนกับ...”

“ตาไม้เหรอ”

จรีภรณ์ไม่รู้ชื่อผู้ชายคนนั้นแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันจึง พยักหน้าตอบ

“ก็ใช่น่ะสิ เป็นผัวเมียกันจะให้ไปนอนกับใคร...เอาละ ไปกินข้าว กันเถอะ”

จรีภรณ์อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกทั้งที่มารวีนั้นเดินลับสายตาไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี...เป็นผัวเมียกันก็ต้องนอนด้วยกัน ! จะมีอะไรที่ทรมานไปกว่านี้อีกไหม ?

เดินกลับมาข้างในบ้านก็ได้ยินเสียงโวยวายของบวรลักษณ์ขึ้นมา จรีภรณ์ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศข้างในดูไม่ดีมากนัก สายตามองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า

“พอเถอะครับคุณแม่ ยังไงเจ้าไม้ก็กลับมาแล้ว” กันตภณเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามารดายังไม่หายขุ่นเคืองน้องชาย

บวรลักษณ์สุดจะเอือมกับการกระทำของลูกชายคนเล็ก ทั้งที่บอกว่าให้กลับบ้านมาช่วยดูแลภรรยาในช่วงนี้เสียหน่อย แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธหนำซ้ำยังไม่ไยดีด้วย

“เรื่องของแก แต่ถ้าแกไม่มาหุ้นส่วนบริษัทที่แกควรจะได้ฉันจะยกให้ตามาร์คคนเดียว !” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงกันตภณที่ส่ายหัวมองน้องชายแล้วถอนหายใจออกมา

“วันนี้ก็อยู่ค้างที่บ้านแล้วกัน อย่าให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เลย”

ผู้เป็นพี่พูดเตือนพลางยกมือตบบ่าเป็นการปลอบ

กตตน์มองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินจากไปก่อนจะหันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ จรีภรณ์สบตามองและพินิจชายหนุ่มตรงหน้าในขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน

“คนอะไรขี้เก๊กเป็นบ้า”

หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไปติดๆ

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status