แสงอาทิตย์ลับของฟ้ามานานแล้ว ทว่าจรีภรณ์ยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม สายตาทอดมองออกไปยังหน้าต่างจากมุมห้องพักตึกสูง หากว่านี้เป็นความฝันก็อยากจะรีบตื่นจากมันเสีย หญิงสาวคนนี้ร่างบอบบางเกินกว่าที่ตัวเองจะถนัดได้ ตัวเล็กผิวขาวน่าทะนุถนอม หากได้เจออาจจะต้องหลงชอบบ้าง แต่ทว่ามันไม่ชินเลยสักนิดกับการที่ต้องมาแบกหน้าอกสะบึ้มทั้งที่ก่อนหน้านั้น ร่างของเธอแบนเรียบเหมือนไม้กระดาน !
ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จรีภรณ์หันไปทางกระจกหน้าต่างแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง “เธอเป็นใคร !!”น่าขันจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นปีโคตรซวย โคตรชงใช่ไหม !แล้วตอนนี้ร่างของเธอละ อยู่ที่ไหนกัน ? หญิงสาวนั่งอยู่นานก่อนจะขยับตัวเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจำใครได้บ้าง เบอร์ของใครสักคนที่สามารถติดต่อถึงได้ ว่าร่างอยู่ที่ไหนฮิปโป...ตอนนี้ในสมองคงจะจำได้แค่เบอร์ของคนนี้ ไม่อยากจะโทร.ไปฟังเสียงชวนขนลุกนี้เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ตอนนี้ความอยากรู้มากกว่าทุกสิ่ง จรีภรณ์รีบกดเบอร์ของชายหนุ่มและยกโทรศัพท์แนบหูทันที [สวัสดีครับ] หญิงสาวเงียบนิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับอีกฝ่ายยังไงดี “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นเพื่อนของต๋อม...” จรีภรณ์ข่มน้ำเสียงพูด โดยการเริ่มต้นใหม่จากคนที่ไม่รู้จักหน้ากัน “ฉันติดต่อต๋อมไม่ได้ พอดีเธอเคยให้เบอร์เพื่อนร่วมงานเอาไว้ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอหรือเปล่า ?” [คุณเป็นเพื่อนน้องต๋อมหรือครับ ?] “ใช่ค่ะ พอดีฉันอยากรู้ว่าต๋อมพักอยู่ที่ไหนแล้วมีเบอร์ของเธอ ไหมคะ” จรีภรณ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน [มีครับ แต่คงติดต่อเธอไม่ได้อีกแล้ว เธอเสียชีวิตแล้วครับ…]อะไรนะ ! หมายความว่าอย่างไร แล้วเธอจะกลับเข้าร่างได้ยังไงไม่จริงใช่ไหม ! “หมายความว่ายังไงคะ !” หญิงสาวเริ่มถามเสียงสั่น เพราะใจเริ่มจะรู้แล้วว่าที่อีกฝ่ายพูดอาจเป็นจริงเพียงต้องการได้ยินอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ [ต๋อมประสบอุบัติเหตุครับ วันนี้เป็นวันสวดที่สี่แล้ว พอครอบเจ็ดวันหลังสวดก็จะเผาครับ]เผ่าร่างของเธอ บ้าน่า ! “รบกวนขอชื่อวัดด้วยค่ะ” จรีภรณ์พูดเสียงสั่น มันเป็นเรื่องที่บ้าและเหลือเชื่อเกินความจริง แต่มันก็คือความจริงที่ว่า...เธอตายแล้ว ! ชายหนุ่มบอกชื่อวัดก่อนที่หญิงสาวจะกล่าวขอบคุณและวางสายไป ร่ายกายสั่นเทาสับสน มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าร่างของเธอไม่มีแล้วก็เท่ากับว่าตอนนี้มาแย่งร่างของผู้หญิงคนนี้หรือ...!รถยนต์คันหรูจอดลงที่ใต้ชายคาคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูรถเปิดออกบวรลักษณ์ก้าวลงจากรถตามด้วยลูกสะใภ้คนโตเเละจรีภรณ์ หญิงสาว ส่งสายตามองบ้านหลังใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าของร่างจะเป็นสะใภ้ของคุณหญิงคุณนาย ที่มีบ้านหลังใหญ่โตคนใช้ไม่ขาดมือเเบบนี้ “เข้าบ้านเถอะลูก” จรีภรณ์พยักหน้าเเทนคำตอบก่อนจะเดินตามเข้าไป เวลานี้ทุกคนต่างเข้าใจว่า ‘พริมมา หรัญสกุล’ เสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ เมื่อเดินมาถึงในบ้านเเล้ว สาวใช้รีบวิ่งเข้ามาหาบวรลักษณ์สั่งให้นำของขึ้นไปไว้ที่ห้องเหมือนเดิม ก่อนจะพาเดินดูรอบๆ บ้าน คฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราน่าอยู่ คนในบ้านก็แสนดี ชีวิตของพริมมาน่าอิจฉาเสียจริง เกิดมาเป็นคุณหนูแต่งงานไปก็ได้ครอบครัวสามีที่ดี แม่สามีเอาใจ พี่สะใภ้ก็น่ารัก ทุกอย่างต่างจากชีวิตของเธอโดยสิ้นเชิง ! เดินมาจนถึงสวนหลังบ้าน บรรยากาศในช่วงบ่ายสี่โมงกำลังดี มีแดดอ่อนๆ มีลมพัดมาเป็นระยะ ที่นี่ดูสบายตาเเละสบายใจ จรีภรณ์สาวเท้าเข้าไปรับลมเบาๆ ที่พัดมาก่อนจะยิ้มออกมา “พอจำได้บ้างไหม?” มารวีเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาหา จรีภรณ์หันหลังกลับไปก่อนจะส่ายหน้าเเทนคำตอบ “เอาเถอะ เรื่องเเบบนี้ต้องใช้เวลา” มารวีกล่าว “นี่ก็เกือบได้เวลากิน มื้อเย็นแล้ว ไปกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไป ทว่า... “เออ…เดี๋ยว…ค่ะ” จรีภรณ์พูดขึ้นทำให้อีกฝ่ายหันมามอง “เออ คือว่าฉัน…ต้องนอนกับ...” “ตาไม้เหรอ” จรีภรณ์ไม่รู้ชื่อผู้ชายคนนั้นแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันจึง พยักหน้าตอบ “ก็ใช่น่ะสิ เป็นผัวเมียกันจะให้ไปนอนกับใคร...เอาละ ไปกินข้าว กันเถอะ” จรีภรณ์อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกทั้งที่มารวีนั้นเดินลับสายตาไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี...เป็นผัวเมียกันก็ต้องนอนด้วยกัน ! จะมีอะไรที่ทรมานไปกว่านี้อีกไหม ? เดินกลับมาข้างในบ้านก็ได้ยินเสียงโวยวายของบวรลักษณ์ขึ้นมา จรีภรณ์ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศข้างในดูไม่ดีมากนัก สายตามองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า “พอเถอะครับคุณแม่ ยังไงเจ้าไม้ก็กลับมาแล้ว” กันตภณเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามารดายังไม่หายขุ่นเคืองน้องชาย บวรลักษณ์สุดจะเอือมกับการกระทำของลูกชายคนเล็ก ทั้งที่บอกว่าให้กลับบ้านมาช่วยดูแลภรรยาในช่วงนี้เสียหน่อย แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธหนำซ้ำยังไม่ไยดีด้วย “เรื่องของแก แต่ถ้าแกไม่มาหุ้นส่วนบริษัทที่แกควรจะได้ฉันจะยกให้ตามาร์คคนเดียว !” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป เหลือเพียงกันตภณที่ส่ายหัวมองน้องชายแล้วถอนหายใจออกมา “วันนี้ก็อยู่ค้างที่บ้านแล้วกัน อย่าให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เลย” ผู้เป็นพี่พูดเตือนพลางยกมือตบบ่าเป็นการปลอบ กตตน์มองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินจากไปก่อนจะหันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ จรีภรณ์สบตามองและพินิจชายหนุ่มตรงหน้าในขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน “คนอะไรขี้เก๊กเป็นบ้า” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไปติดๆหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเเล้ว จรีภรณ์เดินขึ้นมาห้องนอนทันทีเพราะไม่อยากจะยุ่งเรื่องของคนในครอบครัวเท่าไหร่ ทว่าเสียงของคุณแม่สามีก็ดังจนผ่านผนังห้องเข้ามาจนน่าตกใจ อันที่จริงอยากจะบอกว่า ไล่ไปนอนที่ไหนก็ไปเถอะ ถึงยังไงเธอก็ไม่อยากจะนอนด้วยกันอยู่เเล้วจรีภรณ์เดินไปกลางห้องสำรวจรอบๆ พลางถอนหายใจออกมาและตกอยู่ในภวังค์ของตน ไม่รู้จะอยู่ในร่างนี้อีกนานเเค่ไหนกันเชียว ไม่รู้ว่าวิญญาณของพริมมาจะเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้รู้สึกกลายเป็นคนบาปที่แย่ง ร่างของผู้หญิงคนนี้“พริมมา ฉันขอโทษนะ” จรีภรณ์พูดพลางยกมือขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกผิด วาบ…รอบผิวกายของเธอกลับรู้สึกเย็นเยือกในทันที เจ้าตัวยกมือลูบที่ต้นเเขนเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเเละเปิดออกคุณพระ ! จรีภรณ์มองเสื้อผ้าตรงหน้า ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ บอกทีว่าคืนนี้เธอต้องใส่ชุดนอนอันบางเบานอนกับผู้ชายคนนั้น !“ใครจะกล้าใส่กัน !” หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าเเต่ละชุดที่คิดว่าต้องไม่ใส่ออกมาจนหมดเเละ…มันก็หมดตู้“แล้วคืนนี้ฉันจะใส่อะไรเนี่ย ลำพังแค่เดรสที่ใส่วันนี้ ลมวาบๆ ที่ขาจนแทบเดินไม่ออกเเล้ว !” จรีภรณ์อยากจะร้องไห้ เเต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก
แสงอรุณสอดผ่านม่านในยามเช้า หญิงสาวพลิกร่างซุกใต้ผ้าห่มหนีแสงด้วยความรำคาญ มือขยับเล็กน้อยแต่ก็ตกใจสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อมือของ ชายหนุ่มทับอยู่ที่หน้าอกของเธอ“เฮ้ย !” จรีภรณ์เด้งตัวขึ้นดึงผ้าห่มและขยับเท้าออกแรงถีบทันทีตุบ ! ร่างของกตตน์ร่วงลงกระแทกพื้น ทำให้เขาตื่นขึ้นในทันที ชายหนุ่มขยับตัวร้องด้วยความเจ็บ เงยหน้าส่งสายตามองหญิงสาว“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย !” กตตน์มองพลางขยับตัวลุกขึ้น จากที่ง่วงอยู่ตอนนี้ตาสว่างขึ้นมาเลยจรีภรณ์มองคนตัวใหญ่ด้วยความไม่พอใจ ต่อให้จะไม่ใช่เจ้าของร่างนี้แต่แรกแต่เมื่อเธอมาอยู่ในร่างนี้แล้วไม่มีทางเด็ดขาดที่จะให้ผู้ชายโดนตัว ถึงแม้จะเป็นการไม่ตั้งใจก็ตามแต่เธอก็ไม่ชอบ“ฉันละเมอ !” หญิงสาวโกหกกตตน์มองหญิงสาวเเละไม่คิดว่าจะละเมอออกมาได้จงใจถีบตกเตียงจรีภรณ์มองหน้าเขาก่อนหันไปทางอื่น ไม่นานนักได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำจึงส่งสายตามองประตูพลางลอบถอนหายใจออกมา ก็ใครให้ใช้นอนไม่ดูเเบบนั้นกันเล่า สมควรโดนเเล้ว !หญิงสาวขยับตัวลงจากเตียง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดที่จะใส่ออกมา ครั้นมองเสื้อผ้าเเต่ละชุดตรงหน้าแล้วก็อยากจะร้องไห้ พริมมาไม่ชอบใส่กางเกงขายาวเลยหรือไงกั
“จะนอนก็นอนไปเถอะน่า !” หญิงสาวข่มเสียงพูดก่อนเดินมาวางกระเป๋าและหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำจรีภรณ์ล้างหน้าและยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานาน แม้จะรู้ว่าผู้หญิงที่มองเห็นไม่ใช่ตัวเธอก็ตามทั้งรูปร่างหน้าตาทุกอย่างต่างกันโดยสิ้นเชิง...เธอรับรู้ถึงความหนาวจากลมที่พัดผ่านกายเธอเข้ามาได้ พลันหันมองว่ามีช่องลมหรือไม่ทว่าในห้องนี้ปิดหมดไม่มีแม้แต่รูหนูเข้า แล้วลมพัดเย็นเยือกนี้มาจากไหน ?แม้จะสงสัยแต่จรีภรณ์ก็ไม่ได้สนใจมากกว่าการถอดเสื้อผ้าของตนเองและลงแช่ในอ่าง…‘ออกไปซะ !’ เสียงสะท้อนดังขึ้น ทว่าไม่มีใครได้ยิน ร่างโปร่งปรากฏชัดเจนและมองไปยังหญิงสาวที่อาบน้ำอยู่ในอ่าง หยดน้ำตาจากขอบตา แดงก่ำไหลลงมาด้วยความเจ็บปวด‘เอาร่างของฉันคืนมา !’แม้ว่าจะพูดดังแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่มีทางได้ยิน วิญญาณสาวเคลื่อนเข้ามาหาจนแทบชิดติดใบหน้าของร่างตัวเอง...แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นมองไม่เห็น ทำได้เพียงแค่ตะโกนสุดเสียงทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน‘ออกไปซะ ! ออกไป !’หญิงสาวเดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าให้แห้งและหวีผม ก่อนเดินไปที่เตียงขยับตัวขึ้นนอนด้วยความเหนื่อยล้าบรรยากาศคืนนี้ดูหนาวผิดปกติจาก
“อาว่าสินค้าตัวใหม่ของเราที่นำออกสู่ตลาดไป ยังไม่ค่อยได้รับผลตอบรับที่ดีมากนัก ถ้าจะขยายโรงงานในตอนนี้ อาว่าอย่าเพิ่งเลยจะดีกว่า” ธีทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หลังจากที่กันตภณมีความเห็นคิดว่าการขยายโรงงานผลิตสินค้าเพิ่ม เพื่อผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาดกตตน์นิ่งไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ปล่อยให้พี่ชายเป็นฝ่ายเสนอ ถึงจะไม่ค่อยชอบการกระทำของอาธีทัตเท่าไหร่ แต่ก็เป็นถึงผู้อาวุโสและเพื่อนเก่าแก่ของบิดา“แต่สินค้าของเราเพิ่งจะวางออกสู่ตลาดได้ไม่นาน นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าถึงผู้บริโภคมากพอ ถ้าหากทำการโปรโมทการตลาด ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น น่าจะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นนะครับ” หนึ่งในคณะกรรมการพูดแสดงความคิดเห็น“นั่นสิครับ สินค้าตัวอื่นๆ ที่วางขายก็ยอดดีเกินคาดหมด” คณะกรรมการอีกคนพูดเสริมทันทีไม่สำเร็จผล เพราะคณะกรรมการนั้นเห็นด้วยกับการตัดสินใจของกันตภณและกตตน์ ทำให้ธีทัตรู้สึกไม่ชอบใจที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ด้วย“งั้นเรื่องนี้รอหนูพริมมาอีกทีไหม…ยังไงก็เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน น่าจะให้เขามีส่วนกับการตัดสินใจด้วย” ธีทัตพยายามค้านให้ได้มากที่สุด “หลานสองคนมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”กตตน์ถอ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ กตตน์ไปส่งแพรวรุ้งก่อนกลับมาทำงานต่อที่บริษัท เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน เลขา ฯ ก็บอกว่าพี่ชายเข้ามารอพบอยู่ก่อนเเล้ว“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องมองพี่ชายที่นั่งรออยู่บนโซฟารับรอง เขาก้าวเข้ามาเเละนั่งลงฝั่งตรงข้าม“ออกไปกับแพรวรุ้งมาอีกใช่ไหม ?” กันตภณเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มองน้องชายด้วยความไม่พอใจ หากไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพนักงานคงไม่รู้เลยว่าเจ้าน้องชายออกไปทานมื้อกลางวันกับแพรวรุ้งอีกแล้ว หนำซ้ำฝ่ายหญิงยังมาหาเองถึงที่ด้วย“ครับ มีอะไร ?”“ช่วงนี้พริมไม่อยู่จะทำอะไรก็รักษาน้ำใจเมียเราบ้างนะ ถึงจะเป็นผู้หญิงที่เราไม่รักก็เถอะ” กันตภณตักเตือน“เรื่องนี้พี่ก็รู้ผมไม่สนใจ อีกอย่างถ้าไม่เพราะคุณแม่บังคับให้แต่งงานกับพริมมาเเล้ว…ผมคงไม่มีวันแต่งกับเธอ” กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ถ้าไม่มีอะไรเเล้ว ผมจะทำงานต่อ”กันตภณถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้อีกกี่สิบครั้ง กตตน์ก็ไม่เคยสนใจเเม้เเต่น้อย คงได้เเต่หวังว่าสักวันหนึ่งจะรู้ตัวเองจริงๆ“เอาเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เท่าไหร่ เเต่ยังไงวันนี้ก็กลับมานอนที่บ้านด้ว
เป็นอีกคืนที่จรีภรณ์ไม่ได้นอน แม้จะบอกว่าหลับตาสนิทแต่ทว่าในใจกลับคิดหวาดระแวงมากจนเกินไป แม้กระทั่งเดินไปเข้าห้องน้ำกลางดึกยังไม่กล้าด้วยซ้ำไป จนต้องอดกลั้นรอถึงตะวันพ้นขอบฟ้า แล้วรีบจัดการกิจวัตรส่วนตัวในตอนเช้าให้เสร็จอย่างรวดเร็วหญิงสาวไม่ได้แต่งหน้าตามที่มารวีสอนเลยสักนิดเพียงแค่ทา แป้งตลับก็มากเกินพอแล้ว หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาจากห้องพร้อมกับชายหนุ่มเพื่อรับประทานอาหารเช้า“พริม...เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือลูก ทำไมตาคล้ำแบบนั้น” บวรลักษณ์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง นั่นเพราะว่าเมื่อคืนวานก่อนก็ไม่ได้นอน พอกลับมาเมื่อคืนก็ถูกวิญญาณของพริมมาหลอนจนไม่ได้นอนทั้งคืนอีกจรีภรณ์ยิ้มเจื่อนๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น“แล้วแบบนี้จะไปทำงานไหวหรือคะคุณแม่ ? ให้ยัยพริมพักอีกสักวันจะดีไหม ?” มารวีเอ่ยขึ้นพลางมองน้องสะใภ้อย่างเห็นใจ ใบหน้าคล้ำซีดเซียวแทบไม่มีแรง“ก็ดีนะ ส่วนเรื่องงานที่เราบอกว่าต้องรอพริมตัดสินใจเพื่อประชุม เลื่อนไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ยัยพริมใช่ว่าจะจำอะไรได้ด้วย” บวรลักษณ์พูดขึ้นลูกชายทั้งสองจึงตอบรับและทานข้าวเช้ากันอย่างเงียบๆ ในขณะที่จรีภรณ์กำลังคิดอยู่
ให้ตายสิ ! เธอรู้สึกอึดอัดเป็นบ้าเลยจรีภรณ์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาเดินซื้อของพร้อมกับ ชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ออกมาเดินข้างนอกพร้อมกับเขาและทุกคนในครอบครัว แต่ก็ไม่แย่เท่ากับในตอนนี้ที่ถูกหลอกและทิ้งให้อยู่กับกตตน์เพียงสองคนตามลำพังไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นแผนของคุณพี่สะใภ้แน่นอน คิดว่าการเดินเที่ยวด้วยกันลำพังสองคนจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ผิดถนัดเลยเพราะ ตาบ้าขี้เก๊กเดินไม่รอเธอ และเดินไปไม่มีจุดหมาย แค่เดินตามก็เหนื่อยจนไม่มีแรงพูดแล้ว รอหน่อยก็ไม่ได้ อย่าห้ามทันนะเดี๋ยวแม่ตบคว่ำเลยคอยดู !หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองหาเก้าอี้นั่งโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่ยังคงเดินนำไปเรื่อยๆ มองแผ่นหลังใหญ่จากหายไปกับฝูงชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอจึงไม่คิดที่จะตามต่อ“เดินเข้าไป ขานี่ทำด้วยเหล็กหรือไง !” บ่นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง‘ทำไมไม่รีบตามไป’ พริมมาปรากฏกายขึ้นนั่งข้างๆ จรีภรณ์“เฮ้ย !” หญิงสาวสะดุ้งตกใจและขยับตัวออกห่างทันที‘เธอยังไม่ชินอีกหรือไง’“ให้ชินก็บ้าแล้ว” พูด
กว่าจะกลับถึงบ้านพระอาทิตย์ก็เกือบจะลับขอบฟ้า พอดีกับที่ทุกคนกลับมาหลังจากไปทำงาน จรีภรณ์เดินถือของเข้ามาในบ้านพลางส่งสายตามองชายหนุ่มร่างสูงและเบ้ปากให้ใส่ด้วยความหมั่นไส้“ทำไมไม่บอกว่าจะแวะซื้อของด้วยแม่จะได้ให้คนขับรถขับไปส่ง” บวรลักษณ์เอ่ยขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาหา“นิดหน่อยเองค่ะ” หญิงสาวตอบก่อนจะวางของลงที่พื้นไม่ทันไรสาวใช้สองคนก็เดินเข้ามาหาเเละหยิบขึ้นเดินจากไป จรีภรณ์ไม่ทันจะอ้าปากบอกห้ามด้วยซ้ำว่าไม่ต้องช่วย เเต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็ถอนหายใจออกมาลืมไป…พริมมาเป็นคุณหนูถึงเวลารับประทานอาหารเย็น โต๊ะถูกจัดเรียบร้อย กับข้าวแสน อร่อยจากแม่บ้านฝีมือดี จรีภรณ์นั่งฝั่งตรงข้ามกตตน์พลางเหลือบมองเป็นระยะ ตลอดที่ป้ามาลัยตัดข้าวใส่จาน ใบหน้านิ่งขรึมต่างจากที่เห็นเมื่อตอนเที่ยงโดยสิ้นเชิง เเต่ช่างปะไร ไม่ใช่เรื่องของเธอ มันดีซะอีกที่เขาไม่สนใจเพราะนั่นหมายถึงอิสระของเธอนั่นเอง“จริงสิพริม…พรุ่งนี้เราไปทำงานไหวใช่ไหม ?” บวรลักษณ์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่หันมองลูกสะใภ้จรีภรณ์ไม่รู้ว่างานแบบไหนที่พริมมาทำ ตอนนี้
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง