“อาว่าสินค้าตัวใหม่ของเราที่นำออกสู่ตลาดไป ยังไม่ค่อยได้รับผลตอบรับที่ดีมากนัก ถ้าจะขยายโรงงานในตอนนี้ อาว่าอย่าเพิ่งเลยจะดีกว่า” ธีทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หลังจากที่กันตภณมีความเห็นคิดว่าการขยายโรงงานผลิตสินค้าเพิ่ม เพื่อผลิตสินค้าให้ทันต่อความต้องการของตลาด
กตตน์นิ่งไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ปล่อยให้พี่ชายเป็นฝ่ายเสนอ ถึงจะไม่ค่อยชอบการกระทำของอาธีทัตเท่าไหร่ แต่ก็เป็นถึงผู้อาวุโสและเพื่อนเก่าแก่ของบิดา “แต่สินค้าของเราเพิ่งจะวางออกสู่ตลาดได้ไม่นาน นอกจากนี้ก็ยังไม่เข้าถึงผู้บริโภคมากพอ ถ้าหากทำการโปรโมทการตลาด ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น น่าจะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นนะครับ” หนึ่งในคณะกรรมการพูดแสดงความคิดเห็น “นั่นสิครับ สินค้าตัวอื่นๆ ที่วางขายก็ยอดดีเกินคาดหมด” คณะกรรมการอีกคนพูดเสริมทันที ไม่สำเร็จผล เพราะคณะกรรมการนั้นเห็นด้วยกับการตัดสินใจของกันตภณและกตตน์ ทำให้ธีทัตรู้สึกไม่ชอบใจที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ด้วย “งั้นเรื่องนี้รอหนูพริมมาอีกทีไหม…ยังไงก็เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน น่าจะ ให้เขามีส่วนกับการตัดสินใจด้วย” ธีทัตพยายามค้านให้ได้มากที่สุด “หลานสองคนมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง” กตตน์ถอนหายใจออกมาก่อนจะปิดแฟ้มรายงานตรงหน้าลง “เเบบนั้นก็ได้ครับ รอให้พริมมาเข้าประชุมด้วยอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อยเริ่มโครงการ” “งั้นการประชุมวันนี้ยุติเท่านี้ ส่วนเรื่องนี้ผมจะนัดการประชุมอีกครั้ง” กันตภณกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปเช่นเดียวกันกับกตตน์ที่ลุกขึ้นเดินตามออกมาติดๆ กตตน์เดินกลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง เขานั่งลงที่โซฟารับรองเอนตัวนอนพิงในท่าที่สบายแล้วหลับตาลง…ครืน…เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมอง และขยับตัวหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงด้านขวาออกมา ดูปลายสายที่โทรเข้ามาก่อนกดรับ [แพรวโทรมากวนหรือเปล่าคะ ?] “ไม่ครับ” ชายหนุ่มตอบ [งั้นกลางวันนี้ไม้มีนัดทานข้าวกับแขกที่ไหนหรือเปล่าคะ] กตตน์รู้สึกดีใจที่แพรวรุ้งโทรมาหาในช่วงที่เขากำลังเหนื่อยพอดี “ไม่มีครับ” ชายหนุ่มตอบ [งั้นเราไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันนะคะ] “ได้สิ” [ดีใจจังค่ะ] กตตน์ยิ้ม “งั้นรอผมหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะไปรับ” [ไม่ต้องหรอก…แพรวรออยู่ข้างล่างแล้วค่ะ] กตตน์ยิ้มที่มุมปาก “โอเค แล้วผมจะรีบลงไป” [ค่ะ แพรวจะรอ] “ครับ” ชายหนุ่มวางสายจากเธอ ลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปที่โต๊ะทำงานหยิบ กระเป๋าสตางค์และกุญแจรถก่อนจะออกจากห้องทำงานไปทันที ร้านอาหารหรูสไตล์อิตาเลี่ยนในย่านใจกลางเมืองเป็นที่นิยมของคนในละแวกนี้ ทั้งรสชาติดีราคาก็ไม่แพงมากนัก หนำซ้ำบรรยากาศยังดู โรแมนติก เหมาะสำหรับคู่รักที่พาออกเดทหรือมารับประทานอาหารด้วยกัน กตตน์นั่งอยู่โต๊ะเกือบสุดท้ายมุมค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัว ชายหนุ่มรับเมนูจากบริกรเปิดอ่านก่อนสั่งอาหารให้ของตนเองและสั่งให้เธอด้วยเช่นกัน “คุณยังจำได้อีกว่าแพรวชอบอะไร” แพรวรุ้งยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม กตตน์ยิ้มตอบเพราะวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีกับเรื่องงานมากเท่าไหร่ “ไม้คะ แพรวจะลองหางานอย่างอื่นทำดูแล้ว…” แพรวรุ้งพูดเกริ่น ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม “แพรวว่าจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ค่ะ ไม้จะได้ไม่ต้องมารอรับส่งทุกวันด้วย มันเลิกดึก แพรวเกรงใจน่ะค่ะ อีกอย่างคุณจะได้มีเวลากลับไปอยู่กับคุณพริม…” “เรื่องของพริมมาผมไม่เคยสนอยู่เเล้ว เเล้วนี่จะออกมาทำงานอะไร จะมาทำงานที่บริษัทไหม ?” กตตน์พูดแทรกขึ้น เพราะตั้งเเต่แต่งงานกับ พริมมาเมื่อกลางปีที่เเล้ว ก็พูดชัดเจนมาตลอดว่า เธอคือภรรยาที่แต่งเพียงในนามเท่านั้นเเต่จะไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารัก แพรวรุ้งส่ายหน้าพลางยิ้มให้กตตน์ “ไม่ค่ะ ไม้ก็รู้ดีว่าถ้าไปทำงานที่บริษัทแล้วจะเป็นยังไง…เรื่องงานแพรวขอจัดการเองนะคะ” “ได้สิ” ชายหนุ่มตอบ ได้จังหวะพอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ระหว่างรับประทานอาหารแพรวรุ้งชวนชายหนุ่มคุยหลายเรื่อง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการทำแบบนี้มันผิด ทั้งที่รู้ว่ากตตน์มีภรรยาแต่งถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว… “ไม้คะ แพรวว่าคุณน่าจะลองใส่ใจคุณพริมหน่อยนะคะ คือแพรวสงสารเธอ…” แพรวรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ทั้งที่จริงแล้วหากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มแต่งงานกับพริมมาเลย “ผมว่าเราพูดเรื่องนี้เข้าใจเเล้วนะ” “ค่ะ แพรวขอโทษ” แพรวรุ้งก้มหน้าลง ทว่าในใจก็รู้สึกโล่งที่กตตน์ยังไม่มีใจให้ภรรยา หากวันไหนที่ทุกอย่างจากตรงนี้แปรเปลี่ยนไป เธอจะไม่ยอมเสียผู้ชายที่รักให้พริมมาเด็ดขาด !หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ กตตน์ไปส่งแพรวรุ้งก่อนกลับมาทำงานต่อที่บริษัท เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน เลขา ฯ ก็บอกว่าพี่ชายเข้ามารอพบอยู่ก่อนเเล้ว“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องมองพี่ชายที่นั่งรออยู่บนโซฟารับรอง เขาก้าวเข้ามาเเละนั่งลงฝั่งตรงข้าม“ออกไปกับแพรวรุ้งมาอีกใช่ไหม ?” กันตภณเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มองน้องชายด้วยความไม่พอใจ หากไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพนักงานคงไม่รู้เลยว่าเจ้าน้องชายออกไปทานมื้อกลางวันกับแพรวรุ้งอีกแล้ว หนำซ้ำฝ่ายหญิงยังมาหาเองถึงที่ด้วย“ครับ มีอะไร ?”“ช่วงนี้พริมไม่อยู่จะทำอะไรก็รักษาน้ำใจเมียเราบ้างนะ ถึงจะเป็นผู้หญิงที่เราไม่รักก็เถอะ” กันตภณตักเตือน“เรื่องนี้พี่ก็รู้ผมไม่สนใจ อีกอย่างถ้าไม่เพราะคุณแม่บังคับให้แต่งงานกับพริมมาเเล้ว…ผมคงไม่มีวันแต่งกับเธอ” กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ถ้าไม่มีอะไรเเล้ว ผมจะทำงานต่อ”กันตภณถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้อีกกี่สิบครั้ง กตตน์ก็ไม่เคยสนใจเเม้เเต่น้อย คงได้เเต่หวังว่าสักวันหนึ่งจะรู้ตัวเองจริงๆ“เอาเถอะ พี่ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เท่าไหร่ เเต่ยังไงวันนี้ก็กลับมานอนที่บ้านด้ว
เป็นอีกคืนที่จรีภรณ์ไม่ได้นอน แม้จะบอกว่าหลับตาสนิทแต่ทว่าในใจกลับคิดหวาดระแวงมากจนเกินไป แม้กระทั่งเดินไปเข้าห้องน้ำกลางดึกยังไม่กล้าด้วยซ้ำไป จนต้องอดกลั้นรอถึงตะวันพ้นขอบฟ้า แล้วรีบจัดการกิจวัตรส่วนตัวในตอนเช้าให้เสร็จอย่างรวดเร็วหญิงสาวไม่ได้แต่งหน้าตามที่มารวีสอนเลยสักนิดเพียงแค่ทา แป้งตลับก็มากเกินพอแล้ว หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาจากห้องพร้อมกับชายหนุ่มเพื่อรับประทานอาหารเช้า“พริม...เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือลูก ทำไมตาคล้ำแบบนั้น” บวรลักษณ์เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง นั่นเพราะว่าเมื่อคืนวานก่อนก็ไม่ได้นอน พอกลับมาเมื่อคืนก็ถูกวิญญาณของพริมมาหลอนจนไม่ได้นอนทั้งคืนอีกจรีภรณ์ยิ้มเจื่อนๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น“แล้วแบบนี้จะไปทำงานไหวหรือคะคุณแม่ ? ให้ยัยพริมพักอีกสักวันจะดีไหม ?” มารวีเอ่ยขึ้นพลางมองน้องสะใภ้อย่างเห็นใจ ใบหน้าคล้ำซีดเซียวแทบไม่มีแรง“ก็ดีนะ ส่วนเรื่องงานที่เราบอกว่าต้องรอพริมตัดสินใจเพื่อประชุม เลื่อนไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้ยัยพริมใช่ว่าจะจำอะไรได้ด้วย” บวรลักษณ์พูดขึ้นลูกชายทั้งสองจึงตอบรับและทานข้าวเช้ากันอย่างเงียบๆ ในขณะที่จรีภรณ์กำลังคิดอยู่
ให้ตายสิ ! เธอรู้สึกอึดอัดเป็นบ้าเลยจรีภรณ์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาเดินซื้อของพร้อมกับ ชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ออกมาเดินข้างนอกพร้อมกับเขาและทุกคนในครอบครัว แต่ก็ไม่แย่เท่ากับในตอนนี้ที่ถูกหลอกและทิ้งให้อยู่กับกตตน์เพียงสองคนตามลำพังไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นแผนของคุณพี่สะใภ้แน่นอน คิดว่าการเดินเที่ยวด้วยกันลำพังสองคนจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ผิดถนัดเลยเพราะ ตาบ้าขี้เก๊กเดินไม่รอเธอ และเดินไปไม่มีจุดหมาย แค่เดินตามก็เหนื่อยจนไม่มีแรงพูดแล้ว รอหน่อยก็ไม่ได้ อย่าห้ามทันนะเดี๋ยวแม่ตบคว่ำเลยคอยดู !หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองหาเก้าอี้นั่งโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่ยังคงเดินนำไปเรื่อยๆ มองแผ่นหลังใหญ่จากหายไปกับฝูงชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอจึงไม่คิดที่จะตามต่อ“เดินเข้าไป ขานี่ทำด้วยเหล็กหรือไง !” บ่นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง‘ทำไมไม่รีบตามไป’ พริมมาปรากฏกายขึ้นนั่งข้างๆ จรีภรณ์“เฮ้ย !” หญิงสาวสะดุ้งตกใจและขยับตัวออกห่างทันที‘เธอยังไม่ชินอีกหรือไง’“ให้ชินก็บ้าแล้ว” พูด
กว่าจะกลับถึงบ้านพระอาทิตย์ก็เกือบจะลับขอบฟ้า พอดีกับที่ทุกคนกลับมาหลังจากไปทำงาน จรีภรณ์เดินถือของเข้ามาในบ้านพลางส่งสายตามองชายหนุ่มร่างสูงและเบ้ปากให้ใส่ด้วยความหมั่นไส้“ทำไมไม่บอกว่าจะแวะซื้อของด้วยแม่จะได้ให้คนขับรถขับไปส่ง” บวรลักษณ์เอ่ยขึ้นในขณะที่เดินเข้ามาหา“นิดหน่อยเองค่ะ” หญิงสาวตอบก่อนจะวางของลงที่พื้นไม่ทันไรสาวใช้สองคนก็เดินเข้ามาหาเเละหยิบขึ้นเดินจากไป จรีภรณ์ไม่ทันจะอ้าปากบอกห้ามด้วยซ้ำว่าไม่ต้องช่วย เเต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็ถอนหายใจออกมาลืมไป…พริมมาเป็นคุณหนูถึงเวลารับประทานอาหารเย็น โต๊ะถูกจัดเรียบร้อย กับข้าวแสน อร่อยจากแม่บ้านฝีมือดี จรีภรณ์นั่งฝั่งตรงข้ามกตตน์พลางเหลือบมองเป็นระยะ ตลอดที่ป้ามาลัยตัดข้าวใส่จาน ใบหน้านิ่งขรึมต่างจากที่เห็นเมื่อตอนเที่ยงโดยสิ้นเชิง เเต่ช่างปะไร ไม่ใช่เรื่องของเธอ มันดีซะอีกที่เขาไม่สนใจเพราะนั่นหมายถึงอิสระของเธอนั่นเอง“จริงสิพริม…พรุ่งนี้เราไปทำงานไหวใช่ไหม ?” บวรลักษณ์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่หันมองลูกสะใภ้จรีภรณ์ไม่รู้ว่างานแบบไหนที่พริมมาทำ ตอนนี้
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อยหนีความรำคาญ มือยกเอื้อมขึ้นปิดนาฬิกาปลุก พลางหรี่ตามองว่าชายหนุ่มข้างตัวนั้นตื่นหรือยัง เมื่อไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของกตตน์เเล้ว จรีภรณ์จึงรีบขยับตัวลุกขึ้นบิดคลายเมื่อยเเละลงจากเตียงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเลือกชุดที่จะใส่ออกทำงานในวันนี้ ต้องยอมรับว่าลืมนึกไปที่จะซื้อชุดทำงานมาด้วยเมื่อวาน หญิงสาวถอนหายใจออกมายอมรับชะตากรรม ร่างของพริมมาดูบอบบางเสื้อผ้าเเต่ละชุดก็ดูหรูสวยงาม ทว่าไม่ใช่รสนิยมของเธอเลยสักนิดรอไม่ถึงห้านาทีประตูห้องน้ำเปิดออก หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มที่เดินออกมาเงียบๆ แล้วอดหมั่นไส้ในใจไม่ได้“วันนี้ช่วงเช้าผมจะไม่เข้าบริษัท คุณติดรถของพี่ไปเเล้วกัน”จรีภรณ์หันมองชายหนุ่ม นึกขึ้นได้ว่าหากไปทำงานเเบบนี้ถ้าไม่มีรถคงจะไม่สะดวกมากพอ อีกอย่างใช่ว่าเธอจะขับรถไม่เป็นเสียหน่อยมีเพื่อนช่วยสอนขับจนสอบใบขับขี่ผ่านอีกทั้งเวลาเที่ยวไกลๆ เธอก็มักเป็นคนขับให้ตลอด เพียงเเต่เมื่อก่อนเเค่เอาเงินเดือนเลี้ยงปากท้องก็แทบเเย่เเล้วเลยไม่มีปัญญาจะออกรถใหม่เเต่ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่มีปัญหาหรอกมั้งที่จะออกรถคันใหม่ เ
หญิงสาวหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน จะว่าเข้าใจก็เข้าใจ จะว่ามีส่วนที่ไม่เข้าใจก็มีอยู่‘เธอจะนั่งทำอะไร !’ เสียงคุ้นหูดังขึ้นทำให้จรีภรณ์นิ่งแข็งเป็นหินไม่กล้าขยับตัวพริมมาตามเธอมาด้วย ! อยากจะร้องไห้วิ่งหนีเลยในตอนนี้‘เปิดอ่านเอกสารเก่ามาอ่านก่อนสิ’“อะ…อืม !” จรีภรณ์รีบทำตามทันที ทว่าจะให้เซ็นได้อย่างไร ลายเซ็นของพริมมาไม่ใช่ลายเซ็นของเธอ “จะให้ฉันเซ็นยังไง...”จรีภรณ์หันไปพูดกับอีกฝ่ายอย่างลืมตัว สีหน้าของวิญญาณสาวดู ซีดขาวน่าตกใจ แต่ก็ยังดูสยองอยู่ดีถึงแม้ว่าจะไม่มีรอยเลือดหรือแผลที่น่ากลัว“ฉัน…”‘เปิดหาในเอกสารดูลายเซ็นเก่าๆ ที่ฉันเคยเซ็นไว้’ น้ำเสียงพริมมาดูเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย ทำให้จรีภรณ์ดูสงบสติลง“หมาย...หมายถึงจะให้ฉันเซ็นแทนเหรอ ?”‘เธออยู่ในร่างฉันนะ จะให้ใครที่ไหนเซ็นอีกละ’ เสียงของพริมมาดังก้องไปทั่ว จรีภรณ์ไม่รอช้าที่จะเดินไปตู้เอกสารเพื่อค้นหาดูลายเซ็นเก่าๆของพริมมาทันที มือไม้สั่นแทบควบคุมไม่อยู่ เมื่อพริ
จรีภรณ์หอบจนแทบหายใจไม่ทัน ไม่เคยรู้สึกเดินแล้วเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะร่างของพริมมาที่อ้อนแอ้นบอบบาง ไม่ถึกเหมือนร่างของเธอจึงยังไม่ชิน สายตาคู่มองไปยังเบื้องหน้าเมื่อเห็นชายหนุ่มเปิดประตูขึ้นรถ ครั้นกำลังจะก้าวเดินตามไปก็ต้องหยุดชะงักลง...พริมมานั่งอยู่ที่เบาะหน้าข้างกตตน์ !เอาแล้วไง เมียสุดรักมาแล้วจรีภรณ์ตัดสินใจลำบากและยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป เพราะว่า พริมมานั่งอยู่ตรงที่นั้นและสายตาก็เอาแต่มองกตตน์ด้วยความอาลัยกตตน์มองภรรยาที่ยืนอยู่นอกรถไม่ยอมเดินมาสักที ชายหนุ่มจึงเปิดกระจกลงและพูดขึ้นว่า“คุณจะกลับบ้านเองใช่ไหม ?”“เปล่า ! ฉันแค่...” จรีภรณ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเข้าไปปรากฏว่าพริมมาหายไปแล้ว หญิงสาวรู้สึกโล่งอกจึงรีบเปิดประตูรถและขึ้นนั่งทันทีกตตน์ขับรถออกไปโดยที่นั่งเงียบๆ ราวกับว่ามีเขาอยู่เพียงคนเดียว บรรยากาศแบบนี้ทำให้จรีภรณ์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะคุยแต่ไม่รู้ว่าจะชวนเขาพูดเรื่องอะไรดี ได้เพียงแค่ถอนหายใจเหลือบมองและเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้เท่านั้นนั่งอยู่ในรถด้วยความหนาว
[คุณเป็นใคร ?]“แล้วคุณเป็นใครคะ” จรีภรณ์ใจเย็นถามอย่างสุภาพ[ฉันเป็นแฟนไม้ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ ?]แค่ฟังเสียงจรีภรณ์ก็รู้สึกได้ว่าไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ หล่อนไม่รู้หรือไงว่าพริมมาแต่งงานแล้ว ! หญิงสาวอดที่จะรู้สึกโมโหแทนไม่ได้“ฉันเป็นเมียของแฟนคุณค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปทันที พลางหันมองพริมมาที่กำลังยืนนิ่งแข็งราวกับรับความจริงนี้ไม่ได้“ไม่ทราบว่ามีอะไรคะ ?”[เอ่อ...ไม่มีค่ะ]เมื่ออีกฝ่ายพูดจบก็ตัดสายทิ้งไปในทันที ไม่มีการสนทนาต่อ ไม่รู้ว่าต้องการอะไร แต่ที่แน่ๆ คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เธอเห็นในร้านอาหารวันนั้นจรีภรณ์ถอนหายใจออกมาวางโทรศัพท์ลงที่เดิม คิดแล้วก็อดสงสาร พริมมาไม่ได้เพราะเจ้าตัวเอาแต่ร้องไห้และก็หายไปกับความมืด จะให้พูดปลอบใจเช่นไรกัน มันไม่มีประโยชน์เพราะยังไงกตตน์ก็คงไม่หันมารักง่ายๆประตูห้องน้ำเปิดออกมาหญิงสาวหันมองชายหนุ่มที่เดินออกมาในชุดคลุม“เมื่อกี้แฟนคุณโทรมา” จรีภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ากตตน์ กลับมองด้วยความขุ่นเคืองทันที เขารีบสาวเท้าเดินเข้ามา