“ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง สองคนนี้เป็นใคร?”เจ้าวิหารของวิหารแห่งทวยเทพและราชาก็เป็นชายชราที่มีผมขาวเช่นกัน เขาดูแก่มาก ถ้าเขาไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดได้ เขาคงได้แต่รอความตาย เช่นเดียวกับปรมาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไรก็ตาม รองเจ้าวิหารดูอ่อนกว่าวัยมาก เขาน่าจะอายุประมาณสี่สิบหรือห้าสิบปี เขาดูมีชีวิตชีวาผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งยกแขนขึ้นกำมือแสดงความเคารพ “ท่านเจ้าวิหาร นี่คือลูกสาวคนโตของตระกูลลาโกริโอซึ่งเป็นตระกูลชั้นสองและนี่คือผู้อาวุโสลำดับที่แปดของพวกเขา พวกเขามาพร้อมกับข่าวสำคัญมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันต้องพาพวกเขามาพบคุณต่อหน้า!”"จริงเหรอ? งั้นลองบอกมาสิ! พักหลังนี้ค่อนข้างน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน ใครจะรู้ว่าข่าวของพวกเขาน่าสนใจแค่ไหน!”เจ้าวิหารเหลือบมองลิลลี่แล้วพูดอย่างช้า ๆทุกคนคิดว่าครั้งนี้ลิลลี่จะทำทุกอย่างพังแต่เธอก็ยกแขนขึ้นกำมือแสดงความเคารพและพูดว่า “สวัสดี ท่านเจ้าวิหาร ข่าวนี้สำคัญสุด ๆ และฉันกลัวว่าตระกูลชนชั้นหนึ่งจะโกรธถ้าพวกเขารู้ว่าฉันเปิดเผยเรื่องนี้ แน่นอนฉันบอกคุณ แต่…”เจ้าวิหารรู้เกี่ยวกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เขาเข้าใจทันทีว่าลิลลี่ต้
“นี่มันเยี่ยมไปเลย แผนของคุณยอดเยี่ยมมาก คุณหนูใหญ่ ฉันคิดด้วยซ้ำวว่าเราอาจจะต้องเดือดร้อนแน่ถ้าคุณบอกข่าวนี้กับพวกเขา ไม่คิดเลยว่าเราจะได้รับรางวัลมากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ได้มาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์!”หลังจากที่พวกเขาออกจากวิหารแห่วงทวยเทพและราชาแล้ว ผู้อาวุโสลำดับที่แปดยังคงกังวลใจอยู่ เขากลัวว่าพวกเขาจะถูกฆ่าหากทำให้เผ่าโบราณไม่พอใจ ตอนนั้นพวกเขาคงจะต้องเดือดร้อนจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งสองคนยังแอบมาที่นี่กันเอง ถ้าพวกเขาตาย นายท่านก็คงไม่รู้ว่าพวกเขาตายได้ยังไงลิลลี่ยิ้มอย่างร่าเริง “ลองคิดดูสิ ตอนนี้ตระกูลลาโกริโอเป็นเพียงตระกูลชนชั้นสอง” เธอพูด “ก่อนอื่นเราอ่อนแอกว่าตระกูลวู๊ดมาก และหลังจากการแข่งขัน เราประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ซึ่งมีอัจฉริยะจำนวนมากเสียชีวิต มันยากที่เราจะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ใครจะไปรู้ว่าเราต้องรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นอีกนานแค่ไหน?”ลิลลี่หยุดพักก่อนที่จะพูดต่อว่า “นั่นคือเหตุผลที่แม้ว่าเราจะไม่บอกสี่เผ่าโบราณเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรมากนักจากการไปสถานที่อันตรายทั้งเจ็ด ทำไมเราไม่แอบเผยแพร่ข้อมูลนี้ไปล่ะ? ด้วยวิ
“ฮ่า ตกลง!"ชายวัยกลางคนหัวเราะและลงไปแจ้งผู้อาวุโสคนอื่น ๆลิลลี่มัวแต่คิดเรื่องที่จะได้รับรางวัล แต่เธอไม่รู้เลยว่าคนของวิหารทวยเทพและราชากำลังคุยกันถึงวิธีการส่งคนไปยังสถานที่อันตรายทั้งเจ็ด เพราะยังไงซะ คนพวกนี้คงจะไม่รีบเร่งไปยังสถานที่เจ็ดอันตรายตามเวลาที่ตระกูลชนชั้นหนึ่งทั้งแปดกำหนดไว้หลังจากที่พวกเขามาถึงตำหนักเทพยดาแล้ว ลิลลี่กับผู้อาวุโสลำดับที่แปดก็สามารถไปพบเจ้าตำหนักได้โดยไม่มีปัญหาและได้รับรางวัลอย่างที่พวกเขาต้องการเจ้าตำหนักของตำหนักเทพยดาใจกว้างกว่าเจ้าวิหารของวิหารทวยเทพและราชากว่าเล็กน้อย พวกเขาให้โอสถมากกว่าสิบเม็ดไม่นานพวกเขาก็ออกจากตำหนักเทพยดา"ไม่ ไม่ เราไม่อาจเรียกร้องรางวัลพวกนี้ได้ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะได้รับมากมายขนาดนี้ แต่นอกจากจะสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเราได้อย่างรวดเร็วแล้ว ตระกูลลาโกริโอก็ยังยากที่จะตามตระกูลวู๊ดได้ทัน!”ระหว่างทางไปตำหนักนภา จู่ ๆ ลิลลี่ก็คิดอะไรบางอย่างได้จึงขมวดคิ้วออกมา“คุณหนูใหญ่ ทรัพยากรเหล่านี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน แม้เราจะตามตระกูลวู๊ดไม่ทัน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ หากเราเรียกร้องมากกว่านี้ พวกเขาอาจจะไม่เต็มใจต่อรองกั
“หากพวกเขาขอให้กำจัดสามคนนี้ พวกเขาก็อาจจะเห็นด้วย!”ผู้อาวุโสลำดับที่แปดพยักหน้าหลังจากใช้ความคิดบางอย่าง “เพราะยังไงซะ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการสูญเสียใด ๆ ถ้าพวกเขาต้องการต่อสู้กับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลวู๊ด เมื่อมีข่าวว่าหนึ่งในสี่เผ่าโบราณจะโจมตีตระกูลลึกลับออกไป มันคงเป็นปัญหาแน่!”ลิลลี่รู้ดีว่าสี่เผ่าโบราณและตระกูลลึกลับยังคงจะรักษาความสงบต่อกันไว้โดยที่ไม่ได้พูดออกมา พวกเขาจะไม่เข้ามาก้าวก่ายซึ่งกันและกันอีกอย่าง สี่เผ่าโบราณยังได้ให้คำสัญญาว่าพวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลลึกลับเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของพวกเขานอกจากนี้ ยังมีความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันเป็นครั้งคราวระหว่างพวกเขากับตระกูลลึกลับ เช่น ตระกูลชนชั้นหนึ่งทั้งแปด แต่ความเป็นไปได้ของสงครามที่เกิดขึ้นจริงนั้นต่ำมากพวกเขามีเรื่องไม่ลงรอยกัน แต่เมื่อเผ่าโบราณโจมตีตระกูลลึกลับ ตระกูลลึกลับอื่น ๆ คงจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านเผ่าโบราณอย่างแน่นอน จนกระทั่งนำไปสู่การทำสงครามกับพวกเขานี่เป็นเพราะตระกูลลึกลับรู้ดีว่าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกหากพวกเข
“แน่ใจเหรอศิษย์พี่? อย่างน้อยเราก็ควรไปแจ้งผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งก่อนไม่ได้เหรอ? ศิษย์พี่ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าคนพวกนี้เป็นใคร แล้วศิษย์พี่จะพาพวกเขาไปพบเจ้าตำหนัก?”ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นแบบนั้นและพูดเตือนศิษย์ชายคนนั้นแล้วศิษย์ชายคนนั้นก็นึกขึ้นได้และถามว่า “จริงสิ พวกคุณเป็นใคร? ฉันรับแต่ของจากพวกคุณโดยไม่รู้ชื่อไม่ได้!”ลิลลี่แนะนำตัวและผู้อาวุโสลำดับที่แปดให้พวกเเขารู้จัก “เรามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ” เธอพูด “เรามีข่าวเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุด ไม่ต้องห่วง ฉันมั่นใจว่าเจ้าตำหนักของคุณจะมาพบเราแน่นอนเมื่อเขารู้ว่าเรามาที่นี่เพื่อบอกข่าวนี้”ผู้อาวุโสลำดับที่แปดก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “มันเป็นเรื่องจริง เขาจะมาเจอเราแน่นอน ลองคิดดูสิ เจ้าตำหนักของคุณอยู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง และตอนนี้เขาก็อายุมากแล้ว ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้เขาอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว เขาอาจจะแข็งแกร่งและเร็วกว่าพวกเราที่เหลือ แต่ถึงอย่างนั้นเขาคงทำได้เพียงรอความตายถ้าเขาไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทพสูงสุด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดเพื่อยืดอายุของเขา…”“ก็ได้ ก็ได้
“ฮ่า ฉันไม่มีทางเลือกหนิ ท่านเจ้าตำหนักคอลลินส์ ้เพราะยังไงซะ ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉันที่จะประหม่า!”ลิลลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “อีกอย่าง ฉันเชื่อว่าคนที่ทรงพลังและมีเมตตาอย่างคุณคงจะไม่ยุ่งกับคนตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเรา ใช่ไหม?”“ฮ่าฮ่า แน่นอน แน่นอน!”เจ้าตำหนักคอลลินส์พิจารณาลิลลี่อีกครั้ง หัวใจของเขารู้สึกเป็นทุกข์ ผู้หญิงคนนี้ยังดูดีอยู่เลย เธอดูเหมือนอายุแค่สามสิบ เธอมีรูปร่างที่ยอดเยี่ยม และเธอยังเป็นแบบที่เขาชอบเขานั่งลงและถามอย่างช้า ๆ ว่า “เอาล่ะ บอกมาสิ คุณนำข่าวอะไรมาบอกฉัน?”“เจ้าตำหนักคอลลินส์ ฉันมาที่นี่เพื่อบอกบางอย่างคุณเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุด!”ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงดวงตาของ โจเอล คอลลินส์ เป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาที่เพิ่งนั่งลงก็รีบลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น “ข่าวเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุด?”แต่เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของเขาจึงโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา “อย่างไรก็ตาม ทำไมคุณถึงมาบอกข่าวนี้กับคนของตำหนักนภาอย่างเรา? เฮ้ ฉันไม่คิดว่าคุณจะใจกว้างขนาดนั้นหรอกนะ!”“เจ้าตำหนักคอลลินส์ คุณเข้าใจได้รวดเร็วมาก
ในที่สุดลิลลี่ก็เผยความคิดของเธอออกมา ‘ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากสำหรับคุณ แต่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันจำเป็นต้องแก้แค้น ฉันต้องแก้แค้นให้ได้!'"เดี๋ยวนะ!"โจเอลรู้สึกงงเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านายท่านของตระกูลวู๊ดคือ แนช วู๊ด ใช่ไหม?” เขาก็พูดต่อว่า “ผู้หญิงของเขาชื่อลิลลี่ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมคุณถึงอยากฆ่าเขาล่ะ?”“ฮึ่ม คนทรยศคนนั้น เขาพบผู้หญิงอีกคนจากแดนมนุษย์ ไม่ต้องสนใจหรอกว่ามันน่าอายแค่ไหน เขายังต้อนรับเธอและลูกชายนอกสมรสคนหนึ่งที่เขาเคยมีด้วยกันกลับเข้ามาในบ้าน และไม่คิดเลยว่านอกจากเขาจะต้อนรับพวกเขากลับมาแล้ว เขายังมอบตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลให้ลูกชายนอกสมรสคนนั้นด้วย แน่นอน ฉันก็ต้องโกรธสิ!”เมื่อลิลลี่นึกถึงเรื่องนี้ ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาในตัวเธออีกครั้ง “ตระกูลวู๊ดแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ” เธอพูด “ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของพวกเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้แล้ว สำหรับไอ้นอกคอกไร้ค่าอย่างเฟนด์ เขาก็มีพรสวรรค์และพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และฉันได้ยินมาว่าเขามีอาวุธวิญญาณที่ทรงพลัง ซึ่งอาจเป็นอาวุธระดับสุดยอด ในระหว่างการแข่งขัน ตระกูลลา
“เอาอย่างนี้ดีไหม? ฉันเข้าใจว่านี่จะเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ เจ้าตำหนักคอลลินส์ ฉันก็ไม่ได้อยากให้คุณมีปัญหา เพราะยังไงซะ ถ้ากำจัดตระกูลวู๊ดทั้งหมดผลกระทบคงร้ายแรงมาก งั้นลองดูว่าแบบนี้คุณจะเห็นด้วยไหม อีกไม่นานตระกูลวู๊ดจะเข้าไปยังสถานที่อันตรายทั้งเจ็ด เราก็ติดต่อกันแล้วฉันจะบอกคุณว่าพวกเขาเข้าไปในสถานที่อันตรายเขตไหน!”“หลังจากที่คุณเข้าไปในสถานที่อันตรายเขตนั้นแล้วพบแนช เฟนด์ และเคนเนธซึ่งผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของพวกเขา ช่วยฉันฆ่าพวกเขาทั้งสามคน มันคงไม่ยากเกินไปใช่ไหม? พื้นที่นั้นมีความโกลาหลอยู่ตลอด ดังนั้นคงไม่ถูกพบเห็นได้ง่าย ๆ หรอก มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าคุณแค่ฆ่าสามคนนี้!”ลิลลี่แกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดความในใจออกมาว่า “และตราบเท่าที่พวกเขาทั้งสามคนตาย ตระกูลลาโกริโอจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอนหากเราโจมตีตระกูลวู๊ด การต่อสู้ระหว่างตระกูลลึกลับคงไม่กระทบอะไรกับคุณใช่ไหม?“ฟังดูมีเหตุผล!”โจเอลพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่ผู้อาวุโสลำดับที่แปดของตระกูลลาโกริโอ “อย่างไรก็ตาม ฉันยังต้องการหารือเรื่องนี้เพิ่มกับคุณหนูใหญ่ของคุณ” เขาบอกกับผู้อาวุโสลำดับที่แปด “ฉ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ