นี่สวรรค์ตั้งใจทำลายตระกูลกงซุนของเขาชัดๆ ทำไมกัน ทำไมตระกูลกงซุนถึงได้ไปล่วงเกินคนที่เป็นอย่างเทพขุนพลคนนี้ด้วยเห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าเย่เทียนหยู่ได้ทะลวงถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว แต่นี่เป็นไพ่ใบไม้ตายของเขา เขาไม่อยากจะเปิดเผยมันง่ายดายขนาดนั้นเขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเป็นใครกันแน่ที่คิดจะทำลายตระกูลกงซุนจนย่อยยับ และเป็นใครกันที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่เห็นเย่เทียนหยู่อยู่ในสายตาเลย คิดเพียงว่าเขาไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก แต่นในวินาทีนี้ ในที่สุดเขาก็คิดออกแล้ว“ที่กงซุนจื้อถูกผู้อารักขาเฟยหลงตามจับเป็นเพราะเจ้าเหรอ?” กงซุนมิ่วถามด้วยอาการสั่นเทาเย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบอย่างไม่ปิดบัง “ใช่! โทษที่หลานชายคุณทำเรื่องเกินควรก็แล้วกันนะ กล้ามาหลอกลวงและพยายามลวงเกินภรรยาผมตั้งหลายครั้ง”“อย่างที่คิดไม่ผิด ไม่ผิดจริงๆ!”“เสี่ยวจื้อ แกนี่มันหลานตัวดีจริงๆ”กงซุนมิ่วสิ้นหวัง อาจเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงผันผวนมากเกินไป เขาจึงกระอักเลือดออกมาเต็มปากและหมดลมหายใจไปในทันทีพอจะมองออกว่าเขาโกรธและเจ็บปวดอยู่ภายในมากเพียงใด หลานชายคนส
กงซุนจื้อหวาดกลัวจริงๆ โดยเฉพาะการถูกผู้อารักขาเฟยหลงหมายหัวแบบนี้ คุณปู่ของเขาก็ตายไปแล้ว และคนตรงหน้าก็ไม่ได้เพียงน่ากลัว แต่เขายังดันไปยั่วยุอีกฝ่ายเอาไว้มากเขาเสียใจจริงๆ ถ้ารู้ว่าเย่เทียนหยู่น่ากลัวขนาดนี้ ให้เขามีความกล้าอีกนับหมื่นนับพันเท่าเขาก็คงไม่กล้าไปล่วงเกินหลินหว่านหรู ไม่กล้ายั่วยุเย่เทียนหยู่แต่โลกใบนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจในยามนี้ นอกจากการคุกเข่าลงขอร้อง เขาคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ“แค่นี้ก็ยอมคุกเข่าแล้วเหรอ ตอนเริ่มแรกคุณพูดเอาไว้ว่ายังไง?”“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณ?” เย่เทียนหยู่พูดเยาะเย้ยเขา“ไม่หรอกครับ ไม่หรอก คุณมีฐานะสูงส่ง ควรจะเป็นผมที่ก้มหัวให้คุณสิครับ!”“โอ้ ตอนนี้ผมเป็นคนมีฐานะสูงส่ง ไม่ใช่คนที่มาจากภูเขาแล้วเหรอ?”“ขอโทษครับ ขอโทษครับ ก่อนหน้านี้ผมมันโง่เอง ผมมันสมองพิการไม่รู้เรื่องอะไร คุณเป็นผู้มีเมตตากับคนตัวเล็กๆ แบบผม ปล่อยผมไปเถอะนะครับ”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยอมทุกอย่างเลยครับ”กงซุนจื้อรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขาคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่พูด อีกทั้งยังทำโดยไม่คิดจะหลอกลวง เขาพูดจริงทำจริง จนในไม่ช้า
หลินหว่านหรูได้ยินเสียงขอร้องอย่างน่าสงสาร ทำเองเธอตกตะลึงไปทันทีคิดไม่ถึงว่ากงซุนจื้อจะก้มหัวคุกเข่าอย่างไร้ยางอายเช่นนี้นี่มันเหนือคาดสุดๆ!แต่ปัญหาก็คือ นี่มันเป็นเสียงของกงซุนจื้อจริงๆ เธออดไม่ได้ที่จะถาม “กงซุนจื้อจริงๆ เหรอ คงไม่ได้ใช้เสียงที่อัดไว้แล้วมาหลอกฉันใช่ไหม”เย่เทียนหยู่ยิ้มแห้ง ภรรยาเขาคนนี้พลังจินตนาการเปี่ยมล้นดีจริงๆก่อนเขาจะทันได้พูด กงซุนจื้อก็รีบตอบอย่างแทบรอไม่ไหว “ไม่ใช่บันทึกเสียง ถ้าเป็นบันทึกเสียง ผมคงตอบโต้คุณไม่ได้”“คุณชายเย่แข็งแกร่งเกินไป เราไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย ประธานหลิน ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ได้โปรดช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วยนะครับ”ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ในที่สุดหลินหว่านหรูก็แน่ใจว่าเย่เทียนหยู่จับกงซุนจื้อได้ ไม่อย่างนั้นกงซุนจื้อคงไม่กลัวขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลหลินถูกฆ่า เทียนหยู่จึงเลยไปหาคนของตระกูลกงซุนจริงๆ เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อตระกูลหลิน แต่ปู่ของเขาและคนอื่นๆ กลับไม่เคยเข้าใจเขาเลย“นาย นี่นายจัดการพวกเขาได้จริงเหรอ?”“ครับ แต่เรื่องนี้ไม่เหมาะให้คนรู้กันเยอะเท่าไร ให้ดีคุณอย่าบอกใครดีกว่า” เย่เทียนหยู่คิดถึงเรื่
เย่เทียนหยู่ไม่รู้ความคิดของหลินหว่านหรู เขาเก็บโทรศัพท์ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก “กงซุนจื้อ ผมได้ให้โอกาสคุณไปแล้ว แต่ขนาดคนที่มีเมตตาอย่างหลินหว่านหรูยังไม่ยอมคุยกับนายเลย”“อย่าโทษผมก็แล้วกัน เกิดชาติหน้าทำตัวเป็นคนดีเถอะ”“ไม่นะ อย่า...”“ขอร้องละ ขอร้อง จะอะไรผมก็ให้ได้หมดทุกอย่าง”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยกทุกอย่างที่เป็นของตระกูลกงซุนให้คุณ”ทันทีที่กงซุนจื้อได้ยินคำพูดของเย่เทียนหยู่เขาก็กลัวสุดขีดแต่แล้ววินาทีต่อมา มือขวาของเย่เทียนหยู่ก็กดลงเล็กน้อย “ตั้งแต่ตอนที่ผู้อารักขาเฟยหลงปรากฏตัว ตระกูลกงซุนก็ถูกชี้ชัดให้ต้องย่อยยับอยู่แล้ว คุณจะไปมีของอะไรให้ผมได้ยังไง”“ไม่นะ อ้ากกก!”กงซุนจื้อโหยหวน เขาเพียงรู้สึกได้ว่ามีพลังกระแทรกเข้ามาในอวัยวะทั้งห้าและเส้นชีพจรทั้งหกภายในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหัวใจ จากนั้นเขาก็อ้าปากกว้างแล้วล้มลงกระแทกพื้น!จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนชีวิตจะปลิดปลิว เขาก็ยังคุกเข่าขอร้อง เห็นได้ชัดว่าเขาหวังจะได้มีชีวิตต่อไปเพียงใดผู้มากฝีมือรอบด้านมองดูฉากเบื้องหน้าก่อนที่ต่างคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง เพราะความกลัวกำลังแล่นไปถึงพวกเ
หลังจากพบแล้ว เขาก็รีบตรงมาทันที แต่เมื่อเขาเข้ามาด้านใน เขาพบว่าทั้งกงซุนจื้อและกงซุนมิ่วตายแล้ว และคนอื่นๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรวจสอบอย่างระมัดระวังทันที แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆเพียงแต่เมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บ คนที่ลงมือนั้นมีพลังมหาศาล เกรงว่าคงเป็นจอมยุทธ์ที่เกือบเป็นระดับปรมาจารย์คิดไม่ถึงเลยว่า ในเมืองเทียนไห่เล็กๆ นี้จะมีจอมยุทธ์ที่ใกล้กับระดับปรมาจารย์อยู่ด้วยแม้ทั้งคู่จะตายไปแล้ว แต่ร่างของพวกเขาถูกทิ้งไว้ที่นี่ ก็ยังพอใช้เป็นข้อแก้ต่างได้ แค่ว่าเขาเป็นคนจัดการพวกเขาเองก็พอส่วนคนที่เขาพามา ต่างก็เป็นคนที่เขาสนิทด้วย ให้พวกเขาพูดอะไรพวกเขาก็จะพูดอย่างนั้นขณะเดียวกัน เย่เทียนหยู่พาคนสี่ไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย เขาวางพวกเขาลงแล้วจากไปทันทีพวกเขาทั้งสี่มองดูแผ่นหลังของเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาตกตะลึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายมั่นใจมากขนาดนี้ ชายที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวจะสนใจเรื่องว่าพวกเขาจะทรยศต่อตนเองได้ยังไง บางทีเขาอาจจะพูดถูก เขาแค่ไม่อยากฆ่าคนมากเกินไป ก็เลยให้โอกาสตัวเองและคนอื่น ๆ มีชีวิตรอดตามที่เย่เทียนหยู่โทรศัพท์ไป
“อะไรนะกันหว่านหรู หลานรู้ไหมว่าหลานกำลังพูดอะไรออกมา”“คนอย่างเย่เทียนหยู่น่ะเหรอเอาชนะหัวหน้าตระกูลกงซุน?”“อย่าว่าแต่ผู้นำตระกูลกงซุนเลย แค่เขาต้านทานกระบวนท่าของผู้ติดตามผู้นำตระกูลกงซุนได้ ปู่คงไม่ดูถูกเขาขนาดนั้นหรอก!”คุณปู่หลินตะโกนด้วยความโกรธทันทีหลานสาวคนนี้หมกมุ่นอยู่กับเย่เทียนหยู่มากถึงขั้นพูดจาเหนือความเป็นจริงขนาดนี้เลยหรือแต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง หลานสาวไม่เข้าใจโลกแห่งจอมยุทธ์ เธอไม่รู้ว่าจอมยุทธ์อย่างกงซุนมิ่วมีสถานะระดับไหนแต่หลินหว่านหรูไม่เชื่อ และพูดว่า: “สิ่งที่หนูพูดเป็นความจริง หนูเพิ่งคุยกับเทียนหยู่ทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ และเขาก็จัดการกงซุนมิ่วกับพรรคพวกของเขาแล้ว”“เขาทำสำเร็จแล้วเหรอ?”ดวงตาของคุณปู่หลินเต็มไปด้วยความตกใจและความเหลือเชื่อ“ใช่ เทียนหยู่บอกด้วยว่าตระกูลกงซุน วิชาวรยุทธ์ของพวกนั้นอ่อนแอเกินไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ขอบเขาเลย เพราะงั้นพวกปู่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”หลินหว่านหรูตอบกลับ“เป็นไปไม่ได้!”“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”“เขาต้องกำลังหลอกหลานอยู่แน่”คุณปู่หลินส่ายหน้าซ้ำๆ แล้วพูดว่า: “ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราซ่อนก่อนเถอะ ถ้าเขาทำสำเร็
แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เธอเข้าใจเย่เทียนหยู่ผิดทุกครั้งเลยไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างนั้นในครั้งนี้ เธออดไม่ได้ที่จะเชื่อในเย่เทียนหยู่มากกว่าเธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “คุณชายเย่ คุณจัดการพวกเขาแล้วจริงเหรอคะ เป็นคุณฆ่าพวกเขาเองเหรอ?”คำถามนี้ถามเย่เซวียน แต่เขาก็ตอบยืนยันอย่างรวดเร็ว: “แน่นอนสิครับ ประธานหลินไม่เชื่อเหรอ?”“ไม่ใช่นะคะ!”หลินหว่านหรูรีบพูด “ฉันแค่อยากจะยืนยันน่ะค่ะ เพราะคนของตระกูลกงซุนอันตรายเกินไป”“เป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงตระกูลกงซุนจะเป็นแค่มดสำหรับผมก็เถอะ แต่เทียบกับตระกูลหลินก็คงจะเป็นยักษ์ใหญ่ทีเดียว”เย่เซวียนพูดเป็นนัยถึงพลังของตระกูลเย่แล้วถามว่า: “คุณหลิน คุณสนใจไปที่หลงตูเพื่อหาความก้าวหน้าหรือเปล่าครับ ถ้าไปที่นั่น ผมคนนี้สามารถให้ความช่วยเหลือคุณได้มาก”หลินหว่านหรูได้ฟังดังนั้นแล้วจะไม่รู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “ขอบคุณคุณชายเย่นะคะ แต่ตอนนี้ธุรกิจของตระกูลฉันยังแข็งแกร่งไม่พอ เราเลยยังไม่มีแผนการนั้นเลยค่ะ!” เธอรีบตอบ“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ”เขาพูดไปขนาดนั้นแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่รู้จักน้อมรับอีก เย่เซวียนจึงไม่อยากอยู่ที่น
“ขอความเมตตาอะไร? เห็นด้วยตาตัวเองหรือเปล่า” ท่านปู่หลินถาม“ไม่ได้เห็นหรอกค่ะ”“แค่นั้นแหละ เขาคงหาบันทึกเสียงมาหลอกหลาน อีกอย่าง ถ้าหลานเชื่อเขามาก ทำไมเมื่อกี้หลานไม่ถามคุณชายเย่ล่ะ? แค่เปรียบเทียบทั้งสองคน ความจริงก็ปรากฏออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” ท่านปู่หลินถามกลับ“หนูก็เคนคิดแบบนั้นค่ะ แต่เห็นได้ชัดว่าคุณชายเย่กำลังโกหก ถ้าหนูเปิดเผยเขา ก็เป็นการทำให้เขาอับอายไม่ใช่เหรอคะ?” หลินหว่านหรูถามอันที่จริงเธอยังมีข้อกังวลอีกประการหนึ่ง นั่นคือ เย่เทียนหยู่บอกเธอว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร การบอกคนในตระกูลถือเป็นการละเมิดไปแล้วหากเขาบอกคุณชายเย่อีก ก็ไม่รู้ว่ามันจะนำมาปัญหาแบบไหนไปหาเทียนหยู่ อีกอย่างถ้าคุณชายเย่ถูกเปิดเผยว่าเป็นคนพูดโกหก แล้วเกิดโกรธจัด ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างคุณปู่หลินโกรธและทำอะไรไม่ถูก หลานสาวคนนี้ถูกเย่เทียนหยู่หลอกจนจมปลักไปแล้ว แต่เด็กนั่นก็เก่งวรยุทธ์มาก ขนาดหาคนไปจัดการเขายังทำไม่สำเร็จดูท่าคงมีแต่ต้องทำให้หลินหว่านหรูมองแผนการหลอกลวงของเย่เทียนหยู่ออกเท่านั้นในเมื่อตระกูลกงซุนก็เกิดเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจากไปไหน หลินหว่านหรูกลับไปที่ห้อ
ทันทีที่เดินไปถึงข้างรถ เย่เทียนหยู่ก็สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน การแต่งตัวค่อนข้างประหลาด เสื้อเชิ้ตเปิดออกเล็กน้อย ท่าทางก็ดูหยิ่งยโสไม่เกรงกลัวใคร“ไอ้หนู แกรู้ไหมว่าแกทำผิดพลาดอะไรไป?”ชายหนุ่มที่ว่าคือไป๋หยาง เขามองไปยังเย่เทียนหยู่ และเล่นกับไม้เบสบอลในมือด้วยท่าทางที่ดูชั่วร้าย พร้อมกับถามคำถามออกมา“ไม่รู้”เย่เทียนหยู่ส่ายหัว เขาไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ นั่นแหละ แล้วก็ไม่ได้มีใครบอกเขาด้วย“แกไม่รู้งั้นเหรอ?”“ไอ้หนู แกทำอะไรลงไปบ้าง แกจะบอกว่าไม่รู้เลยงั้นเหรอ?” ชายคนที่เพิ่งพาตัวเย่เทียนหยู่มากล่าวด้วยความโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากคุณชายไป๋ เขาคงจะลงมือไปนานแล้วเย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า “มีอะไรก็เชิญพูดมาตรง ๆ เถอะ ฉันไม่ได้มีเวลามามัวไร้สาระกับพวกแกมากขนาดนั้น!”“โอ้ ไอ้เด็กนี่ยังทำตัวหยิ่งอีกด้วย”ชายหนุ่มโกรธจัด ขณะที่เขาเตรียมจะลงมือแต่คุณชายไป๋ก็ได้โบกมือไปมา และพูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ดูสีหน้าท่าทางของไอ้เด็กนี่สิ เกรงว่ามันคงจะไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หรือเผลอไปล่วงเกินใครเขาเข้า”“ก็คงใช่ ถ
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ปิงเยว่ก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณเองก็ไม่เลว คุณสามารถยับยั้งเขตแดนแรงกดดันของฉันได้ในทันที ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้ไหม ว่าความแข็งแกร่งของคุณอยู่ในระดับไหน?”ตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยเหรอ แน่นอนว่าเย่เทียนหยู่จะไม่บอกเธอ เขายิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไปว่า “ก็แค่เทคนิคเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไร”ปิงเยว่ที่ได้ยินเช่นนนั้น เธอก็รู้แล้วว่าตนนั้นเดาไม่ผิด ว่ามันเป็นแค่เทคนิคอะไรบางอย่างจริง ๆ ขณะที่เธอกำลังจะพูดในตอนนั้นเอง ก็มีรถสีดำคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ หน้าต่างรถถูกลดระดับลง เห็นได้ชัดว่ามารับพวกปิงเยว่ทั้งสองคนเธอไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนที่จะรีบขึ้นรถไปพร้อมกับเสี่ยวลู่ขณะที่มองดูทั้งสองคนเดินจากไป สีหน้าของเย่เทียนหยู่ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นว่า “หลิวหลี ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดา ส่งคนไปตรวจสอบพวกเขาหน่อย ดูว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกันแน่”“อืม!”“ฉันส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ” จูเก่อหลิวหลียกโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอยังได้ทำการแอบถ่ายรูปของทั้งสองคนเอาไว้อีกด้วยเย่เทียนหยู่ไม่สามารถหุบยิ้มได้ “คุณนี่ฉ
“จริงสิ สืบเรื่องผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ เขาด้วย ถ้าพวกเธอเป็นคนของเขาจริง ๆ ก็จับพวกเธอมาด้วย” ดวงตาของหนานกงเล่อเต็มไปด้วยความชั่วร้ายแม้จะได้เห็นพวกเธอผ่านแค่ในจอเท่านั้น แต่ก็สามารถเห็นถึงความสมบูรณ์แบบของหญิงสาวทั้งสองได้ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับเทพธิดาในใจของเขาอย่างเฟยเฟยด้วยเช่นกัน แน่นอน ว่าในใจของเขา ไม่ว่ายังไงเทพธิดาเฟยเฟยก็สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา“ได้ครับ!”ไป๋หยางพยักหน้า แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับแอบหดหู่ เขารู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้เอง แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายหนานกงจะโลภมากขนาดนี้ ถึงกับจะฮุบเอาไว้หมดคนเดียวไม่คิดจะเหลือไว้ให้เขาเลยสักคำแต่ถึงยังไงนั่นก็เป็นคุณชายแห่งตระกูลหนานกง เพราะงั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเฉินเฟยเฟยไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เธอขยับเข้าไปหาเย่เทียนหยู่ แล้วกระซิบว่า “พี่เย่คะ อีกเดี๋ยวพองานจบ ฉันขอเลี้ยงมื้อดึกพี่นะคะ”เย่เทียนหยู่มองออกว่าเฉินเฟยเฟยคิดยังไงกับตน เขาเลยกลัวว่ามันอาจจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ เขาจึงปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อคือ อีกเดี๋ยวฉันยังมีธุระอยู่ เลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ไว
ท่ามกลางเสียงร้องฮึกเหิมของฝูงชน ในที่สุดเพลงก็จบลง และคอนเสิร์ตเองก็ได้สิ้นสุดลงเช่นกันปิงเยว่ค่อย ๆ กลับมามีสติอีกครั้ง เธอเติบโตมากับอาจารย์ของเธอ เธอจึงไม่รู้จักเพลงนี้จริง ๆแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อฟังพวกเขาร้องเพลง เธอถึงได้รู้สึกว่าเลือดของเธอนั้นเริ่มเดือดพล่านขึ้นมา ราวกับว่าความยากลำบากต่าง ๆ นั้นไม่ได้รู้สึกยากลำบากอีกต่อไปเมื่อมองไปยังเย่เทียนหยู่ที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง เธอก็กลับไม่รู้สึกเกลียดเขาอีกต่อไป อย่างน้อยผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ ก็เหมือนจะต่างจากผู้ชายน่ารังเกียจคนอื่นอยู่บ้างแน่นอน ว่าเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจอยู่เหมือนเดิม เขาไม่คู่ควรที่จะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีควรค่าให้เพ้อฝันถึงตนด้วยซ้ำ“ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้มากเลยนะคะ เขาทำให้พวกเรามีช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในคอนเสิร์ตนี้” ทันทีที่เฉินเฟยเฟยพูดจบ เธอก็เดินไปข้างหน้า ก่อนที่จะอ้าแขนโอบกอดเย่เทียนหยู่หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเฟยเฟยพูด ทุกคนต่างก็เห็นด้วย กระทั่งตอนที่เฉินเฟยเฟยเป็นฝ่ายเริ่มกอดชายบนเวทีก่อน พวกเขาก็กลับรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่รับได้ต้องเข้าใจก่อนว
ปิงเยว่และจูเก่อหลิวหลีต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ที่ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ธรรมดา เสียงมากมายเหล่านั้นพวกเธอย่อมได้ยินอย่างชัดเจนพอได้ยินคำพูดที่ว่ามีสาวให้โอบซ้ายกอดขวาอะไรนั่นแล้ว จูเก่อหลิวหลีก็รู้สึกพอใจอย่างมาก เธอแทบอยากจะประกาศออกไปเสียด้วยซ้ำถูกต้องแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงของคุณชายแต่ปิงเยว่กลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ่งฟังมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้นไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนนี้ คิดอยากจะโอบกอดตนงั้นเหรอ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริงหากไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวย เธอคงฆ่าคนไปนานแล้ว!ไร้สาระทั้งเพ!เฉินเฟยเฟยเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของฝูงชนด้วยเช่นกัน และให้ความสนใจกับสาวงามที่ไม่อาจมีใครทัดเทียมทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่มากขึ้น คนอื่น ๆ ก็แค่คาดเดาแต่เธอกลับรู้สึกว่า สองคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่เย่อยู่จริง ๆแต่ยิ่งเหตุการณ์เป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ เฉินเฟยเฟยไม่แค่ไม่อิจฉา กลับกัน เธอยิ่งชอบมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้ดี ว่าตัวเธอเองก็มีเสน่ห์เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ชายคนไหนต้องการเธอส่ว
“ไม่ได้ ถ้าเป็นเธอ งั้นก็ช่างเถอะ อย่างเธอน่ะนะ เธอจะทำให้คุณชายของฉันตกใจเสียเปล่า” จูเก่อหลิวหลีพูดประชดประชัน“เธอ!”เสี่ยวลู่รู้สึกโกรธอย่างมาก“หลิวหลี ช่างมันเถอะ” เย่เทียนหยู่เองก็หมดคำจะพูด มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนจะถูกเชิญขึ้นไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ยัยเด็กคนนี้ ถึงขั้นเล่นไม้นี้เลยงั้นเหรอ“เป็นพวกเธอต่างหากที่มั่นหน้าเกินไป แถมยังคิดเองเออเองอีกว่าคุณชายชอบพวกเธอ” จูเก่อหลิวหลีขมวดคิ้วอย่างเย็นชา“คุณชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ!”ปิงเยว่โกรธจัด รัศมีเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอ อุณหภูมิรอบตัวลดลงสิบองศาได้ในพริบตา จนทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัวจูเก่อหลิวหลีรู้สึกตกตะลึงที่ผู้หญิงคนนี้มีพลังที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ที่แท้ความรู้สึกเมื่อสักครู่ก็เป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนเสียอีกตอนนี้ตัวเองก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เธอกลับแข็งแกร่งกว่าตนอีก ความแข็งแกร่งของเธอจะน่ากลัวขนาดไหนกัน“พอแค่นี้เถอะ!”ในตอนนั้นเอง เย่เทียนหยู่ก็รีบพูดขึ้นมา ทันทีที่เขาเปิดปาก ความเย็นยะเยือกในอากาศทั้งหมดก็หายไป และกลับคืนสู่ภาวะปกติหลายคนที่อยู่รอบ ๆ ก็รู้สึก
“ไม่หรอกมั้ง เขาก็ดูใช้ได้อยู่นะ” จางผิงรีบตอบทันที“เป็นแบบนั้นที่ไหนกัน ฉันว่าเขาดูเหมือนคนโรคจิตมากกว่า” เหอฉุนโต้แย้ง“เอ่อ ไม่น่าจะเป็นงั้นนะ ถ้าเขาเป็นคนเลวขนาดนั้น พี่เฟยเฟยก็คงเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว”“หมายความว่ายังไง?”“เธอก็ถามพี่เฟยเฟยเองเถอะ” จางผิงไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เหอฉุนกลับส่ายหัว เธอมักจะรู้สึกว่าทั้งสองคงยังอ่อนต่อโลกเกินไป เลยอาจจะถูกเย่เทียนหยู่หลอกก็ได้หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเฟยเฟยก็ได้เริ่มร้องเพลงที่สองของเธอ สไตล์ของเพลงนี้แตกต่างไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไพเราะจับใจเช่นเดิมเวลาได้ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ในขณะที่ผู้คนต่างก็กำลังหลงใหลและเพลิดเพลินอย่างสุดขีด มันก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายของคอนเสิร์ตอย่างช้า ๆ“คืนนี้ได้มีโอกาสมาพบกับทุกคนที่นี่ ฉันรู้สึกดีใจมากจริง ๆ ค่ะ แต่เวลาก็กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว การพบกันย่อมมีวันสิ้นสุดเสมอ”“แต่การจากลาในวันนี้ ก็เพื่อที่เราจะได้พบกันใหม่ในวันหน้า ขอส่งบทเพลงแห่งความสุขนี้ให้กับทุกคนค่ะ!”เมื่อเสียงของเธอสิ้นสุดลง เสียงที่ไพเราะของเธอก็ดังออกมา ทำให้ทุกคนกลับเข้าสู่บรรยากาศนั้นอีกครั้ง ค่อย ๆ ผ่านไปช้า
ขณะที่ริมฝีปากของเธอเปิดออก คำพูดที่อ่อนโยนและชวนให้ลุ่มหลงก็หลุดออกมา กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ และถูกสุ่งให้ไปถึงหูของทุกคนทุกคนต่างก็พากันโบกแท่งเรืองแสงไปมา ขณะที่กำลังฟังเสียงร้องอันไพเราะและสมบูรณ์แบบของเธอ ทุกคนต่างก็พากันร้องตามไปด้วยเป็นเพลงที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเฉินเฟยเฟย มันก็กลับสมบูรณ์จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกติดหูมากเสียงอันไพเราะและอ่อนหวานของเธอแทรกซึมเข้าไปในหูของทุก ๆ คน จนทำให้ทุกคนรู้สึกตามอย่างไม่อาจควบคุมได้ และจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆในตอนนั้นเอง ใบหน้าของเย่เทียนหยู่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เขารู้สึกแค่ว่าตนได้จมดิ่งเข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะเดียวกัน เย่เทียนหยู่ก็เข้าใจได้ในที่สุด ว่าทำไมทุกคนถึงได้คลั่งไคล้มากขนาดนี้ เพราะเสียงนี้ของเธอนั้นดูสมจริงและไพเราะมากนี่ถือว่าเป็นเสียงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาก็จมอยู่กับมันด้วยเช่นกัน สีหน้าและอารมณ์เองก็ดูแตกต่างออกไปจากเดิมบางทีอาจเพราะจมดิ่งกับมันมากเกินไป หรืออาจเพราะรู้สึกชอบมันมาก เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตั้งแต่ที่เฉินเฟยเฟยเดินออกมา เธอก็เหมือนจะกำลังมอ
ทันใดนั้นผู้หญิงชุดเขียวก็รู้สึกโกรธ และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่หญิงสาวที่อยู่ด้านหน้ากลับดุขึ้นมาทันที “เสี่ยวลู่ เธอเป็นคนผิดก่อนนะ ช่างมันเถอะ”“ค่ะ นายท่าน!”ผู้หญิงชุดสีเขียวพยักหน้า และไม่พูดอะไรอีกไม่รู้ว่าอาจเพราะเธอกลัวจะเกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย หญิงสาวคนนั้นจึงนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่ ซึ่งหมายความว่า ที่นั่งของเธออยู่ด้านหลังเยื้องไปทางด้านซ้ายของเย่เทียนหยู่ และผู้หญิงชุดเขียวเองก็นั่งลงตรงที่นั่งซ้ายมือของเธอเช่นกันเย่เทียนหยู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ เดิมทีการปรากฏตัวของหญิงสาวลึกลับเช่นนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหลังจากนั่งลงแล้ว หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนหยู่ แต่ก็เบือนหน้าหนีแทบจะในทันทีในสายตาของเธอ เย่เทียนหยู่หล่อมากจริง ๆ แต่นั่นก็มีเพียงเท่านั้นตั้งแต่ที่เธอเริ่มฝึกฝนอย่างหนักจนทำให้หลงลืมอารมณ์ความรู้สึกไป ตัวเธอเองก็เริ่มสนใจเรื่องความรู้สึกน้อยลงไปเรื่อย ๆ เธออุทิศตนให้กับการฝึกฝน และนั่นก็ทำให้เธอไม่รู้สึกสนใจผู้ชายคนไหนเลยนอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่สามารถทำให