“ขอความเมตตาอะไร? เห็นด้วยตาตัวเองหรือเปล่า” ท่านปู่หลินถาม“ไม่ได้เห็นหรอกค่ะ”“แค่นั้นแหละ เขาคงหาบันทึกเสียงมาหลอกหลาน อีกอย่าง ถ้าหลานเชื่อเขามาก ทำไมเมื่อกี้หลานไม่ถามคุณชายเย่ล่ะ? แค่เปรียบเทียบทั้งสองคน ความจริงก็ปรากฏออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” ท่านปู่หลินถามกลับ“หนูก็เคนคิดแบบนั้นค่ะ แต่เห็นได้ชัดว่าคุณชายเย่กำลังโกหก ถ้าหนูเปิดเผยเขา ก็เป็นการทำให้เขาอับอายไม่ใช่เหรอคะ?” หลินหว่านหรูถามอันที่จริงเธอยังมีข้อกังวลอีกประการหนึ่ง นั่นคือ เย่เทียนหยู่บอกเธอว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร การบอกคนในตระกูลถือเป็นการละเมิดไปแล้วหากเขาบอกคุณชายเย่อีก ก็ไม่รู้ว่ามันจะนำมาปัญหาแบบไหนไปหาเทียนหยู่ อีกอย่างถ้าคุณชายเย่ถูกเปิดเผยว่าเป็นคนพูดโกหก แล้วเกิดโกรธจัด ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างคุณปู่หลินโกรธและทำอะไรไม่ถูก หลานสาวคนนี้ถูกเย่เทียนหยู่หลอกจนจมปลักไปแล้ว แต่เด็กนั่นก็เก่งวรยุทธ์มาก ขนาดหาคนไปจัดการเขายังทำไม่สำเร็จดูท่าคงมีแต่ต้องทำให้หลินหว่านหรูมองแผนการหลอกลวงของเย่เทียนหยู่ออกเท่านั้นในเมื่อตระกูลกงซุนก็เกิดเรื่องไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจากไปไหน หลินหว่านหรูกลับไปที่ห้อ
เป็นสาวพราวเสน่ห์ที่ช่างดึงดูดจริงๆ“คุณคงเป็นเย่เทียนหยู่สินะ?” ถึงหญิงสาวจะไม่เคยเจอตัวจริงของเย่เทียนหยู่ แต่เธอเคยเห็นรูปถ่าย วันนี้เธอจึงจงใจมาหาเขาถึงที่เย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้สักหน่อย เขาพยักหน้า “ผมเองครับ คุณคือ?”“คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร ยังจะทำมาบอกว่าช่วยตระกูลของฉันได้ แถมยังหลอกเอาวิลล่าระดับไฮเอนด์ของตระกูลซ่งเราไปอีก”หญิงสาวถามด้วยความโกรธทันทีเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เย่เทียนหยู่ก็รู้ที่มาของหญิงสาว อีกทั้งท่าทางโหดเหี้ยมและโดดเด่นเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็น ซ่งหลิง ต้นเหตุของปัญหาครั้งนี้สินะ“อะไร นายไม่มีอะไรจะพูดเหรอ?” ซ่งหลิงตะคอกอย่างเย็นชาชายที่อยู่ข้างๆ เขาถึงกับพูดว่า: “เจ้าหนู กล้าจริงๆ ถึงกับกล้าหลอกเอาวิลล่าของตระกูลซ่ง ไม่กลัวตายอยู่ในนั้นหรือไง?”เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วและถามว่า “คุณเป็นใครอีก”“ผมเป็นใคร บอกไปคงทำนายกลัว”ชายหนุ่มเผยสีหน้าเย่อหยิ่ง “แต่จะบอกให้ก็ได้ ฉันคือหม่าเผิง ทายาทของหงหม่ากรุ๊ป หงหม่ากรุ๊ปเคยได้ยินหรือเปล่า ทรัพย์สินมากกว่าห้าพันล้านเลยนะ”“หลายพันล้านนั่นเยอะแล้วเหรอ?” เย่เทียนหยู่ตอยเสียงเรีย
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ซ่งหลิงก็ลังเลและถามว่า “หม่าเผิง คุณบอกว่าคุณชอบฉันและเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อฉันใช่ไหม?”“แน่นอน สำหรับคุณ ผมเต็มใจทำทุกอย่าง จะให้บุกน้ำลุยไฟผมก็ไม่ลังเลเลย” หม่าเผิงสัญญาทันทีก็ผู้หญิงชอบฟังคำพูดแบบนี้ทุกคนไม่ใช่รึไงแน่นอนว่าเมื่อฟังคำพูดเหล่านี้ ซ่งหลิงก็รู้สึกประทับใจมากทั้งสองมักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน แม้จะไม่เคยยอมรับความรักของหม่าเผิง แต่หม่าเผิงก็หน้าตาดี ตระกูลของเขาถือว่าร่ำรวยและมีอำนาจ เป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับเธอ แต่เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะรักเธอมากขนาดนี้“หลิงหลิง ทำไมคุณไม่พูดต่อ?” หม่าเผิงมองไปที่ซ่งหลิง เห็นได้ชัดว่าเธอประทับใจ เขาจึงแอบภูมิใจ หากได้แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลซ่งละก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาธุรกิจของเขา ยิ่งกว่านั้น ระนะนี้ธุรกิจที่บ้านเขาไม่ราบรื่นสักเท่าไร“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะชอบฉันมากขนาดนี้ จริงๆ แล้วครั้งนี้ฉันประสบปัญหาใหญ่น่ะ”“ปัญหาใหญ่เหรอ?”“เรื่องยุ่งยากอะไรกัน คุณบอกผม ต่อให้ผมต้องใช้อำนาจของคนทั้งตระกูลผมก็จะช่วยคุณ คงไม่ใช่เรื่องหลี่ว์เจิ้งนั่นหรอกใช่ไหม?” หม่าเผิงถามทันที“เป็นเขาค่ะ เขาเป็
หมายความว่า พี่ชายก็ไม่เห็นด้วยกับการให้วิลล่าไปหลังจากกลับบ้านแม้ว่าจะสายไปหน่อย แต่ซ่งหลิงก็ยังไปหาซ่งหยางด้วยท่าทางลึกลับ ก่อนที่เธอจะพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่คะ รู้ไหมว่าวันนี้ฉันไปทำอะไรมา”“ทำอะไร ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญนะ อย่าเพิ่งทำเรื่องวุ่นวาย” ซ่งหยางรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่อาจอธิบาย“ไม่ต้องกังวล ฉันเป็นคนประเภทที่ยุ่งวุ่นวายรึไงคะ วันนี้ฉันไปหา เย่เทียนหยู่ นักต้มตุ๋นคนนั้นมาค่ะ” ซ่งหลิงพูดอย่างมีความสุข“อะไรนะ!”ซ่งหยางตกใจกลัว ใบหน้าของเขาซีดเผือด: “หลิงหลิง คุณกำลังพูดเรื่องอะไร คุณไปหาคุณชายเย่แล้วเหรอ ไปเขาทำไม ไม่ได้ทำอะไรมั่วซั่วไปใช่ไหม” เขาพูดรีบพูดด้วยความวิตกกังวล“จะไปทำมั่วซั่วได้ยังไงละคะ หนูไปหาเขาเพื่อขอวิลล่าคืน ไม่สิ วิลล่าไม่ได้คืน แต่เขาโอนเงินมาให้ร้อยห้าสิบล้านค่าวิลล่าค่ะ พี่ว่า ฉันเก่งสุดๆ ไปเลยใช่ไหมคะ”ซ่งหลิงพูดอย่างตื่นตระหนก“อะไรนะ!”“……”ซ่งหยางตกตะลึงสุดขีดพร้อมกับชะงักอยู่กับที่ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด เขายกมือขวาขึ้นมาและอยากจะตบเธอแรงๆตั้งแต่เด็กจนโตเขารักน้องสาวคนนี้มากที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะไปสร้างหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้“พี
ขอแค่สามารถปัญหาที่เกิดจากหลี่ว์เจิ้งได้ ซ่งเหวินป๋อก็ไม่ลังเลที่จะจ่ายทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลซ่ง แน่นอนว่า ก่อนอื่นคืออีกฝ่ายต้องจัดการหลี่ว์เจิ้งได้จริงๆไม่อย่างนั้น ตระกูลซ่งคงไม่เหลืออะไรให้เขาอีกแล้วแต่เมื่อซ่งหลิงได้ยินแบบนั้น เธอก็กังวลทันทีและพูดว่า “พ่อ พ่อพูดอะไรกันคะ ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลซ่ง นั่นมันเงินตั้งกี่หมื่นล้านกันคะ”“กี่หมื่นล้าน?”“ยังมีหน้าพูดอีกเหรอ ถ้าไม่เพราะแกไปทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้ เราจะถูกบีบบังคับมาถึงจุดนี้ได้ยังไง” ซ่งเหวินป๋อพูดด้วยความโกรธ“แต่เขาดูธรรมดามากเลยนะคะ และฉันก็ขอให้คนตรวจสอบแล้ว เขาแค่มีวรยุทธ์เล็กน้อย ไม่มีผู้หนุนหลัง ขนาดแม่สามีตัวเองเขายังจัดการไม่ได้ จะมาช่วยเราได้ยังไง?”ดูเหมือนว่าซ่งหลิงจะไม่ได้ไร้สมอง แถมเธอยังสืบเรื่องเย่เทียนหยู่ด้วย“แก!”“พ่อโกรธแกจริงๆ!”“แกคิดว่าเขาไร้ประโยชน์ใช่ไหม? ในสายตาของแก ประธานหยางแห่งหอการค้าหลงเถิงมีประโยชน์ไหม?”“แน่อยู่แล้วคต่ะ เขาเป็นถึงประธานหอการค้าหลงเถิง คนที่รวยที่สุดในเมืองเทียนไห่ เขามีอำนาจทุกอย่างและเป็นแบบอย่างของหนูด้วยค่ะ” ซ่งหลิงพูดทันที“งั้นเหรอ ถ้าแกบอกแบบน
ซ่งหยางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าน้องสาวของเขาทำให้คุณชายเย่โกรธมากทำยังไงดีนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ว่ากันว่าหลี่ว์เจิ้งจะมาถึงเมืองเทียนไห่ในคืนพรุ่งนี้ เมื่อเขามาจริงๆ ตระกูลอาจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประนีประนอม“โทรไปอีก!”ซ่งเหวินป๋อกัดฟันพูด เกรงว่าคราวนี้คงต้องสละทรัพย์สินตระกูลซ่งครึ่งหนึ่งจริงๆซ่งหยางพยักหน้าแล้วโทรอีกครั้งเย่เทียนหยู่เห็นหมายเลขจึงขมวดคิ้วและวางสายอีกครั้งหากเป็นครั้งแรกอาจเป็นการวางสายผิด แต่ในสายที่สอง นั่นหมายความว่าเขาไม่มีความสุขและไม่ต้องการรับสายหากการยังโทรไปอีก อาจส่งผลตรงกันข้าม“พ่อ ผมควรทำยังไงดีครับ” ซ่งหยางหมดหนทาง“จะทำอะไรได้อีก พรุ่งนี้พ่อจะไปเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง” ซ่งเหวินป๋อพูดอย่างหมดหนทาง เย่เทียนหยู่คือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเขาได้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาดซ่งหลิงสีหน้าย่ำแย่ เธอกังวลว่าตัวเองจะรับมือกับหลี่ว์เจิ้งที่อยากได้ตัวเธอไม่ได้ และเธอก็เจ็บปวดด้วยเช่นกันที่คราวนี้เป็นความผิดของเธอเองที่นำเรื่องราวมาเป็นแบบนี้เธอกัดฟันแล้วพูดว่า "พ่อ พรุ่งนี้หนูจะไปหาเขาเพื่อขอโทษเองค่ะ ต่อให
คำใบ้นี้ชัดเจนเกินไปเย่เทียนหยู่ไม่ได้โง่ ต่อให้เธอไม่พูด แต่เพียงมองดูแก้มที่แดงระเรื่อกับร่างกายที่สั่นเทาของเธอ เขาพอจะเดาได้แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดตรงเกินไป เขาเพียงแค่พูดว่า: “เรื่องนั้น ตอนนี้คุณคงรู้ว่าประธานหลินหว่านหรูเป็นภรรยาของผม และมันหมายถึงบริษัทนี้เป็นของผมด้วย”“เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากตอบแทนผมจริงๆ ผมก็มีเรื่องหนึ่งอยากให้คุณทำอยู่ครับ”“เรื่องอะไรคะ พี่เย่บอกมาได้เลย” หัวใจของหลิวซือซือเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พี่เย่จะไม่ร้องขอแต่ทำในออฟฟิศจะไม่น่าอายไปหน่อยเหรอ เกิดมีคนมาได้ยินเข้า ต่อไปจะมีหน้าไปเจอใครอีก?แต่ในเมื่อเธอก็พูดไปแล้ว ว่าจะฟังพี่เย่ทุกอย่าง ไม่สนละ ถ้าพี่เย่ให้เธอทำเธอก็จะทำ เมื่อคิดว่ามันน่าตื่นเต้นแค่ไหนถ้าทำตอนอยู่ในออฟฟิศ มันก็ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแต่เย่เทียนหยู่กล่าวต่อ: “ถ้าคุณทำงานหนักและสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทมากขึ้น นี่คือการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับผม”“แค่นั้นเหรอคะ?”หลิวซือซือสับสนเล็กน้อย เธอบอกไปชัดเจนขนาดนั้น แถมยังบอกด้วยว่าจะไม่ก่อปัญหา หรือว่าพี่เย่ไม่เข้าใจ“อือมีแค่นี้ละ คุณมีอะไรอีกหรือเปล่า?”เย่เทียนห
แน่นอนว่าหลิวซือซือรีบปฏิเสธทันที พี่เย่บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีเรื่องเกินเลยกับเธอ แล้วเธอจะยังอาศัยอำนาจของพี่เย่รับของพวกนี้มาได้ยังไงหลังจากที่ซ่งหลิงรู้เรื่องนี้ เธอก็รีบเตรียมตัวและรีบตรงดิ่งมาถึงประตูห้องทำงานของเย่เทียนหยู่โดยมีหลิวซือซือนำทางหลิวซือซือเคาะประตู และแจ้งเย่เทียนหยู่ว่าซ่งหลิงมาถึงแล้วก่อนที่เธอจะเดินออกไปทันทีซ่งหลิงหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เธอเข้ามา เธอก็เห็นเย่เทียนหยู่นั่งอยู่ด้วยท่าทางสบายๆถ้าเป็นเมื่อวาน เธอคงจะคิดว่าเขาเป็นชายไร้ความสามารถที่ไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย หรือเธออาจจะอดพูดเยาะเย้ยเขาไม่ได้ด้วยซ้ำแต่วันนี้กลับรู้สึกว่า เขาทำทางมั่นใจขนาดนั้นราวกับไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้หรือก็คือ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง“ค...คุณชายเย่!”ซ่งหลิงก้าวไปข้างหน้า เธอก้มลงและพูดด้วยความเค่ารพยำเกรง“อือ มีอะไรหรือเปล่า?”เย่เทียนหยู่ถามอย่างใจเย็นขณะที่เลื่อนดูโทรศัพท์โดยไม่เงยหน้าขึ้น“มีค่ะ!”“เมื่อวาน ฉันโง่เขลาไม่รู้ความเองค่ะ ฉันไม่รู้ความสามารถอันทรงพลังของคุณ
หลังจากที่พูดจจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่สายตาของทุกคนจะจ้องมองไปทางเขาเจ้าตำหนักคนนี้พูดพล่ามอะไรอยู่ เขามาเพื่อเป็นผู้นำสำนักงั้นเหรอ?นี่มันไร้สาระสิ้นดี!หลินเจวี๋ยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เจ้าตำหนักพูดกับเจวี๋ยเทียน เขาก็คิดแล้วว่า ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้วจริง ๆ จบเห่แล้วแน่ ๆ เจ้าตำหนักอย่าได้พูดเหลวไหลอีกเลยนะกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดต่อมาของเจ้าตำหนักจะบ้าบิ่นมากขึ้นกว่าเดิม เขากล้าพูดว่าตนจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสำนักจริง ๆ นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยรวมถึงสำนักเจวี๋ยงฉิงเองก็ด้วยราชาสวรรค์ทั้งสองที่มากับหลินเจวี๋ยเองก็สับสนด้วยเช่นกัน นี่ใช่เจ้าตำหนักของพวกเขาจริง ๆ น่ะเหรอ นี่เขากำลังรนหาที่ตายชัด ๆเมื่อเห็นสายตาอันน่าสะพรึงกลัวของทุกคนที่มองมา ซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาพวกเขาต่างก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น!วันนี้ เกรงว่าคงได้ตายจริง ๆ แน่!เยว่เหลียนหานและคนอื่น ๆ จากสำนักดอกไม้เองก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน บุตรแห่งสวรรค์ผู้ที่มู่หรงอินภาคภูมิใจยังไม่ทันได้ปรากฏตัว ก็กลับมีเจ้าตำหนักที่ไม่
“เพราะเหตุนี้ ผมจึงได้เชิญทุกท่านมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อจัดการประชุมศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้น!”คำพูดง่าย ๆ เหล่านี้ นับว่าเป็นการอธิบายเรื่องทั้งหมดได้อย่างคร่าว ๆ เจวี๋ยเทียนยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นอกจากนี้ ทุกท่านสบายใจได้ ที่ผมเชิญทุกท่านมา ไม่ใช่เพื่อให้ทุกท่านมาก้มหัวเคารพผมโดยตรง”“แต่เราจะเลือกผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่พวกเรา เพื่อขึ้นเป็นผู้ชี้นำทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าต่างหาก นั่นหมายความว่า ทุกคนจะได้รับความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เยว่เหลียนหานกลับแอบส่ายหัวเบา ๆ การแข่งขันที่ยุติธรรมอะไรกัน ทุกคนต่างก็มีโอกาสเท่ากันงั้นเหรอ พวกเขามีโอกาสที่ไหนกันถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือเจวี๋ยเทียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเองอย่างมาก ว่าจะไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาจากการขึ้นเป็นผู้นำของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม ก็แค่การที่ปล่อยให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อให้ถูกโจมตีเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นทุก ๆ คนต่างก็มีความคิดที่คล้าย ๆ กัน แต่อีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งมากจริง ๆ พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำการประชุมในวันนี้ หากพวกเขาไม่มาก็ต้องตายสถานเดียว แ
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะ พอดีเมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย เลยทำให้มาช้า”ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย ทั้งดูดีและมีเกียรติมากโดยเฉพาะเจวี๋ยเทียน เขาสวมชุดสีม่วง ท่าเดินก็ดูองอาจ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่และความสง่างามเครื่องแต่งกายของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดที่มู่หรงชิงเคยสวมใส่ในตอนนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของมู่หรงอินดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหยางผั่วจวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังพวกเขาในทันที และพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อร่องรอยที่เจวี๋ยเทียนเคยทิ้งเอาไว้ในตอนที่เขาไปเยือนสำนักราชาผี ซึ่งนั่นก็ทำให้หยางผั่วจวินตกตะลึงอย่างมากหยางผั่วจวินเองก็สัมผัสได้ ไม่ว่ายังไงตนในตอนนั้นก็ไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ หลังจากที่เย่เทียนหยู่ใช้ของวิเศษของพรรคมารช่วยให้เขาพัฒนาตนเอง เขาก็สามารถทะลุจนเลื่อนขั้นสู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แล้ว แถมยังทะลุไปถึงคอขวด จนเกือบจะถึงจุดที่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วด้วยซ้ำตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา นับว่าอยู่ในจุดที่ไม่ธรรมดาแล้วดังนั้น เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นคู่ต่อสู้ที
เขาไม่อาจเรียกเธอว่านายน้อยได้ แต่ให้เรียกว่าคุณหนูก็ถือยังทำได้อยู่อีกสองคนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับยืนนิ่ว และกว่าวทักทายออกมาว่า “คารวะคุณหนู!”มู่หรงอินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีที่ดูเมินเฉยว่า “เหอะ ในสายตาของพวกท่านยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ด้วยงั้นเหรอ?”เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย โดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เขาพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “มู่หรงอิน การที่พวกเรายอมเรียกเธอว่าคุณหนู ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้นำคนเก่า อย่าได้เหลิงไปหน่อยเลย!”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอินก็กลับไม่ได้โกรธอะไร กลับกัน สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูเย็นชาขึ้นมา จิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็เกือบจะเผลอทะลักออกมา หากยังต้องทนฟังคำพูดของตู๋เปียนฝูต่อไป มู่หรงอินเกรงว่าเย่เทียนหยู่อาจจะเผลอทำอะไรที่หุนหันพันแล่นออกไปได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณด้วยสายตาเพื่อหยุดเขาในทันที เพราะตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาเมื่อเห็นสายตาแจ้งเตือนให้ยั้งมือของแม่ เย่เทียนหยู่ก็รีบระงับพลังเอาไว้ทันที ทันใดนั้นจิตสังหารก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังที่เขาใช้ปกปิดนั้นค่อ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก หากตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเราคงครอบครองโลกใบนี้ไปแล้ว ใครกันจะกล้าขวาง!”ในขณะเดียวกันนี้เอง ชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าดูเศร้าหมอง ริมฝีปากเรียวเล็กก็ปรากฏตัวขึ้น“ตู๋เปียนฝู?”ในใจทูตใหญ่รู้สึกตกตะลึง“ยังมีข้าอีกคน บรรพจารย์หวงเฉวียน!”หลังจากที่ทั้งสี่ก้าวออกมาพูด สีหน้าของทูตใหญ่ก็ดูไม่ค่อนสู้ดีมากนัก สมญานามของพวกเขาในปีนั้นคือสี่ทูตใหญ่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากการดำรงอยู่ของอำนาจพวกเขาเป็นรองก็แค่ผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำสำนักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำคิดไม่ถึงเลยว่าอีกสามคนที่เหลือจะอยู่ที่นี่กันหมด และดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพลังจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกันทั้งนั้นในกรณีนี้ แทบจะเท่ากับว่าผู้นำของนิกายจืดจางคือผู้นำที่แท้จริงของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะเท่ากับว่าตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกเป็นของผู้นำสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นเมื่อสองพี่น้อง
นี่เป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวและทรงพลังระดับไหนกันแน่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ เธอรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างมาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้พวกเธอจึงเอาแต่กักตัวบำเพ็ญตนแต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุใดมู่หรงอินถึงได้มั่นใจมากขนาดนั้น โดยเฉพาะลูกชายของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็แข็งแกร่งมากจริง ๆแต่เมื่อเทียบกับสองพี่น้องเจวี๋ยเทียนแล้ว เกรงว่าความแต่งต่างอาจจะยังห่างชั้นกันอยู่แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงทำได้แค่เดินหน้าทำตามแผนต่อไป หากยังไม่ได้ผล ก็คงต้องสู้ตายเท่านั้นเวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่าณ ภูเขารกร้าง!สถานที่แห่งนี้อยู่หากจากเมืองตงเฉิงออกไปกว่าสามร้อยกิโลเมตร ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขารกร้าง เป็นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่สำนักศักดิ์ กลับตั้งหลักอยู่จุดที่ลึกที่สุดของภูเขาเช่นนี้ซึ่งมีทางเข้าและทางออกเพียงสองทางเท่านั้นแน่นอน หากพูดถึงทางเข้าออกลับที่มีอยู่ ไม่ได้มีเพียงแค่สองทางอย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นทางที่คนธรรมดาไม่สามารถหาเจอได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะบริเวณทางเข้ามีม่านพลังปิดเอาไว้อยู่ หากเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับ
เย่เทียนหยู่รู้สึกตกใจนิดหน่อย เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จึงได้แต่ยักไหล่ ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ไม่เคยสู้ด้วยสักหน่อย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”“แต่ฉันรู้ค่ะ!”“ราชามังกรแห่งพรรคมังกร ผู้นำแห่งสำนักเงา หรือจะให้ฉันเรียกว่าคุณชายเย่ดีคะ?” เยว่เหลียนเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบเมื่อเย่เทียนหยู่ได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักดอกไม้ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สถานะพวกนี้ของเขาแน่นอน เขาจึงพูดขึ้นอย่างเร่งรีบออกไปว่า “คุณน่าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักดอกไม้สินะ?”“ผู้อาวุโสอะไรกันคะ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ฉันชื่อว่าเยว่เหลียนเวยค่ะ คุณเรียกฉันว่าพี่เยว่ก็ได้!” เยว่เหลียนเวยยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เธอเผยรอยยิ้มออกมา เสน่ห์ในตัวเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเยว่หลิงตกตะลึงไปชั่วขณะ อาจารย์รองเป็นอะไรไป เรียกว่าพี่เยว่งั้นเหรอ ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใครกันแน่“เอ่อ สวัสดีครับ พี่เยว่!” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากถูกเรียกแบบนั้น เย่เทียนหยู่จึงทำได้แค่เริ่มทักทายใหม่อีกครั้ง“ค่ะ คุณชายเย่ไม่เลวเลยนะคะ ฉันชอบค่ะ”เยว่เหลียนเวยเ
เยว่หลิงแทบไม่สามารถต่อต้านได้เลย และพบว่าตัวเองกำลังถูกชายคนหนึ่งกดทับด้วยมือเอาไว้อยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันแรงกล้าของผู้ชายจากอีกฝ่าย สีหน้าเธอก็แดงก่ำทันทีแม้ว่าเธอมักจะใช้วิชาเสน่ห์อาคมอยู่บ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยให้ผู้ชายเข้าใกล้มากขนาดนี้มาก่อน นั่นจึงทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาแบบนี้เย่เทียนหยู่ที่เห็นฉากตรงหน้า เขาก็พูดพลางหัวเราะออกมาว่า “ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว ผมยังคิดอยู่เลยว่าคุณคงจะเป็นคนที่เปิดกว้างมาก คิดไม่ถึงว่าจะเขินได้ง่ายขนาดนี้”“นาย นายรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เยว่หลิงวิตกกังวลอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีวิชากังฟู่ที่น่ากลัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่ชั่วร้ายมากอีกต่างหากถ้ารู้แต่แรก ก็คงไม่มาคนเดียวแบบนี้หรอก พวกเธอได้ทำการนัดพบกับคนในสำนักที่นี่ และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วยเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารและวิตกกังวลของเธอ เย่เทียนหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกล้อเธอ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมจะปล่อยคุณไปก็ได้ แต่คุณต้องขอร้องผมก่อน”“เพราะไม่อย่างนั้น ผมคงไม่อาจทำใจแยกจากความงามอันน่าหลงใหลเช่นนี้ได้แน่”ในขณะที่พูด เย่
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เย่เทียนหยู่และหลินหว่านหรูก็กลับมาถึงเมืองตะวันออกกันแล้ว เวลาที่เหลือก็ค่อนข้างเยอะ ทั้งสองจึงทานข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยส่งหลินหว่านหรูกลับบริษัทจากนั้นเย่เทียนหยู่จึงค่อยออกเดินทาง แต่ขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถ เขาก็ได้ยินเสียงอันอ่อนหวานดังเข้ามาในหู “คุณเย่คะ ท่าทางรีบร้อนแบบนั้น คุณจะรีบไปไหนเหรอคะ?”เย่เทียนหยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมอง ตรงหน้าเขาปรากฏร่างที่มีเสน่ห์และสง่างามของหญิงสาวคนหนึ่ง มองผิวเผินรู้สึกว่าเธอยังเด็กอยู่มาก ราวกับว่าเธอเพิ่งจะสี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเองรูปร่างหน้าตาของเธอดูอ่อนเยาว์กว่าจูเก่อหลิวหลีนิดหน่อย แต่ความเซ็กซี่และเสน่ห์ที่เธอแสดงออกมานั้น โดยเฉพาะความขาวที่ถูกเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผู้คนต่างพากันใจเต้นแล้วขาเรียวยาวสองข้างที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย นี่ถือเป็นค่านิยมของผู้หญิงที่นับว่าเป็นอันตรายต่อผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน เย่เที่ยนหยู่เองก็เคยเห็นผู้หญิงมามากมายนับไม่ถ้วนจนเคยชินหมดแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาสองสามคนที่สวยกว่าหลินหว่านหรู่ก็เคยเจอมาหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไ