ซ่งหยางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าน้องสาวของเขาทำให้คุณชายเย่โกรธมากทำยังไงดีนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ว่ากันว่าหลี่ว์เจิ้งจะมาถึงเมืองเทียนไห่ในคืนพรุ่งนี้ เมื่อเขามาจริงๆ ตระกูลอาจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประนีประนอม“โทรไปอีก!”ซ่งเหวินป๋อกัดฟันพูด เกรงว่าคราวนี้คงต้องสละทรัพย์สินตระกูลซ่งครึ่งหนึ่งจริงๆซ่งหยางพยักหน้าแล้วโทรอีกครั้งเย่เทียนหยู่เห็นหมายเลขจึงขมวดคิ้วและวางสายอีกครั้งหากเป็นครั้งแรกอาจเป็นการวางสายผิด แต่ในสายที่สอง นั่นหมายความว่าเขาไม่มีความสุขและไม่ต้องการรับสายหากการยังโทรไปอีก อาจส่งผลตรงกันข้าม“พ่อ ผมควรทำยังไงดีครับ” ซ่งหยางหมดหนทาง“จะทำอะไรได้อีก พรุ่งนี้พ่อจะไปเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง” ซ่งเหวินป๋อพูดอย่างหมดหนทาง เย่เทียนหยู่คือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเขาได้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาดซ่งหลิงสีหน้าย่ำแย่ เธอกังวลว่าตัวเองจะรับมือกับหลี่ว์เจิ้งที่อยากได้ตัวเธอไม่ได้ และเธอก็เจ็บปวดด้วยเช่นกันที่คราวนี้เป็นความผิดของเธอเองที่นำเรื่องราวมาเป็นแบบนี้เธอกัดฟันแล้วพูดว่า "พ่อ พรุ่งนี้หนูจะไปหาเขาเพื่อขอโทษเองค่ะ ต่อให
คำใบ้นี้ชัดเจนเกินไปเย่เทียนหยู่ไม่ได้โง่ ต่อให้เธอไม่พูด แต่เพียงมองดูแก้มที่แดงระเรื่อกับร่างกายที่สั่นเทาของเธอ เขาพอจะเดาได้แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดตรงเกินไป เขาเพียงแค่พูดว่า: “เรื่องนั้น ตอนนี้คุณคงรู้ว่าประธานหลินหว่านหรูเป็นภรรยาของผม และมันหมายถึงบริษัทนี้เป็นของผมด้วย”“เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากตอบแทนผมจริงๆ ผมก็มีเรื่องหนึ่งอยากให้คุณทำอยู่ครับ”“เรื่องอะไรคะ พี่เย่บอกมาได้เลย” หัวใจของหลิวซือซือเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พี่เย่จะไม่ร้องขอแต่ทำในออฟฟิศจะไม่น่าอายไปหน่อยเหรอ เกิดมีคนมาได้ยินเข้า ต่อไปจะมีหน้าไปเจอใครอีก?แต่ในเมื่อเธอก็พูดไปแล้ว ว่าจะฟังพี่เย่ทุกอย่าง ไม่สนละ ถ้าพี่เย่ให้เธอทำเธอก็จะทำ เมื่อคิดว่ามันน่าตื่นเต้นแค่ไหนถ้าทำตอนอยู่ในออฟฟิศ มันก็ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแต่เย่เทียนหยู่กล่าวต่อ: “ถ้าคุณทำงานหนักและสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทมากขึ้น นี่คือการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับผม”“แค่นั้นเหรอคะ?”หลิวซือซือสับสนเล็กน้อย เธอบอกไปชัดเจนขนาดนั้น แถมยังบอกด้วยว่าจะไม่ก่อปัญหา หรือว่าพี่เย่ไม่เข้าใจ“อือมีแค่นี้ละ คุณมีอะไรอีกหรือเปล่า?”เย่เทียนห
แน่นอนว่าหลิวซือซือรีบปฏิเสธทันที พี่เย่บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีเรื่องเกินเลยกับเธอ แล้วเธอจะยังอาศัยอำนาจของพี่เย่รับของพวกนี้มาได้ยังไงหลังจากที่ซ่งหลิงรู้เรื่องนี้ เธอก็รีบเตรียมตัวและรีบตรงดิ่งมาถึงประตูห้องทำงานของเย่เทียนหยู่โดยมีหลิวซือซือนำทางหลิวซือซือเคาะประตู และแจ้งเย่เทียนหยู่ว่าซ่งหลิงมาถึงแล้วก่อนที่เธอจะเดินออกไปทันทีซ่งหลิงหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เธอเข้ามา เธอก็เห็นเย่เทียนหยู่นั่งอยู่ด้วยท่าทางสบายๆถ้าเป็นเมื่อวาน เธอคงจะคิดว่าเขาเป็นชายไร้ความสามารถที่ไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย หรือเธออาจจะอดพูดเยาะเย้ยเขาไม่ได้ด้วยซ้ำแต่วันนี้กลับรู้สึกว่า เขาทำทางมั่นใจขนาดนั้นราวกับไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้หรือก็คือ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง“ค...คุณชายเย่!”ซ่งหลิงก้าวไปข้างหน้า เธอก้มลงและพูดด้วยความเค่ารพยำเกรง“อือ มีอะไรหรือเปล่า?”เย่เทียนหยู่ถามอย่างใจเย็นขณะที่เลื่อนดูโทรศัพท์โดยไม่เงยหน้าขึ้น“มีค่ะ!”“เมื่อวาน ฉันโง่เขลาไม่รู้ความเองค่ะ ฉันไม่รู้ความสามารถอันทรงพลังของคุณ
“อย่างนั้นเหรอ ที่แท้ผมเก่งขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ถ้าอย่างนั้น คุณมานั่งบนตักผม” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบซ่งหลิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และเธอก็ลังเลและถามว่า “คุณชายเย่ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจะปกป้องฉันได้”“คุณไม่เชื่อผมเหรอ?”“ในเมื่อคุณไม่เชื่อ แล้วจะมาขอโทษผมทำไม” เย่เทียนหยู่ถาม“เพราะฉันไม่มีทางเลือกอื่น”“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาไว้ก่อน รอผมจัดการปัญหาเรื่องหลี่ว์เจิ้งได้ค่อยว่ากัน” เย่เทียนหยู่พูดด้วยท่าทีไม่แยแสเมื่อซ่งหลิงได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเธอก็แสดงความดีใจและเธอก็รีบถามว่า: “คุณชายเย่ ความหมายของคุณคือจะยกโทษเรื่องความผิดพลาดครั้งก่อนให้ฉันใช้ไหมคะ”“ถือว่านะ”“มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีอะไร คุณออกไปได้แล้ว” เย่เทียนหยู่กล่าว“ได้ค่ะ แต่คุณเย่ คุณช่วยบอกหมายเลขบัญชีให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ แล้วฉันจะให้ครอบครัวของฉันโอนเงินให้”“ไม่ต้องรีบหรอก รอจนกว่าเรื่องหลี่ว์เจิ้งจะเสร็จสิ้นค่อยว่ากัน”ซ่งหลิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับสิ่งที่เธอพูด และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “คุณชายเย่ คุณไม่กลัวตระกูลซ่งจะผิดนัดจ่ายเงินเหรอคะ”“ผิดนัดจ่ายเงิน?”“ถ้ามีความสามารถ
สวยจริงๆ บางที่คงมีแต่คำว่างามล่มเมืองเท่านั้นที่อธิบายเธอได้เขาฝันนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะได้ครอบครองผู้หญิงแบบนี้ แต่เสียดายที่อีกฝ่ายพูดถึงแค่ความร่วมมือกับเขาเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่นใดอีกแม้ว่าเขายินดีจะเพิ่มสัดส่วนกำไรให้มากขึ้นแถมยังส่งสัญญาณให้เธอหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับผลตอบกลับแต่ก็ไม่เร่งรีบหรอก ขอแค่ยังรวมมือกันต่อไป ต้องมีสักวันที่เขาโค่นล้มอีกฝ่ายได้แน่ ต่อให้เขาต้องใช้วิธีการน่ารังเกียจบ้างก็ตามเขาลุกขึ้นยืนทักทายเธอทันที “ประธานหลินมาแล้วเหรอครับ คุณนี่สง่างามและสูงส่งทุกครั้งที่เจอกันเลยนะ” เขายื่นมือขวาออกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม“ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายคนไหนบนโลกนี้ที่จะโชคดีได้ครอบครองคุณ”หลินหว่านหรูไม่ชอบวิธีการพูดและสายตาของอีกฝ่ายมากจนทำให้เธอลังเลที่จะจับมือกับเขา แต่ความร่วมมือใกล้จะบรรลุผลแล้ว เธอจึงยังต้องยื่นมือขวาออกไปอย่างรักษามารยาทหลินหว่านหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังต้องการสัมผัสมือของอีกฝ่ายอย่างสุภาพแต่ในขณะนี้เอง เย่เทียนหยู่ก้าวไปข้างหน้าและคว้ามือขวาของเขาเอาไว้ และพูดเสียงเรียบ : “เอ๋ คุณคือคนที่ชื่ออะไรเผิงสักอย่างใช่ไหม เหมือนจะเป็นคุณหม่า
แม้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรง แต่หากไม่มีเทียนหยู่ ป่านนี้หลินซื่อกรุ๊ปคงล้มละลายไปนานแล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ไม่มีปัจจัยพวกนั้น วันนี้หลินหว่านหรูก็คงไม่มีทางยอมให้เย่เทียนหยู่ต้องอับอาย เธอจึงตอบเขาอย่างเย็นชา: “แน่นอนค่ะว่าไม่ถูก!”“ไม่ถูกเหรอ?”หม่าเผิงเกิดอาหารสับสนเล็กน้อย และคิดว่าตัวเองได้ยินผิด“ฉันลืมแนะนำประธานหม่ารู้จักเลยค่ะ เขาคนนี้คือ เย่เทียนหยู่ สามีตามกฎหมายในทะเบียนสมรสของฉัน หรือก็คือ บริษัทของฉันก็คือบริษัทของเขาเช่นกันค่ะ”“เขาบอกว่าจะไม่ร่วมมือ แน่นอนกว่าเราก็จะไม่ร่วมมือค่ะ”“อะไรนะ พวกคุณเป็นสามีภรรยาเหรอ?”ใบหน้าของหม่าเผิงน่าเกลียดมาก เขาโกรธที่หลินหว่านหรูเลือกช่วยเย่เทียนหยู่ แต่เขายิ่งโกรธยิ่งกว่าที่รู้ว่าหลินหว่านหรูเป็นหญิงงามที่มีเจ้าของแล้ว แถมยังเป็นคนที่เขาเกลียดเข้าไส้เสียด้วย“ประธานหลิน แน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ล้อเล่น? กับคนที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้คุณก็ยังแต่งงานด้วยเหรอ?” เขาพูดขึ้นทันทีแม้เขาจะไม่รู้ว่าเย่เทียนหยู่คือใคร แต่ซ่งหลิงบอกว่าเย่เทียนหยู่เป็นหนุ่มบ้านนอกจากผู้เขาที่ไร้อำนาจหนุนหลังพูดตรงๆ คือ เขาเป็นแค่เศษขยะแต่เดี๋ยวก่อน ดูเ
เย่เทียนหยู่พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขากำลังปรามาส และเยาะเย้ยคำพูดของเขาเรื่องนี้ทำให้หม่าเผิงโกรธและพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “เย่เทียนหยู่แกนี่มันรนหาที่ตายจริงๆ ร้านอาหารนี้เป็นของตระกูลของฉัน ฉันจะให้คนจัดการแกให้เละเดี๋ยวนี้เลยเชื่อไหมละ!”“กล้าเหรอ!”หลินหว่านหรูพูดด้วยความโกรธทันที: “หม่าเผิง ฉันขอเตือนคุณนะ ถ้าเราได้รับบาดเจ็บออกไปจากที่นี่แม้แต่นิดเดียว ตระกูลหลินจะสู้กับคุณจนตายกันไปข้างแน่”“ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”“หงหม่ากรุ๊ปของคุณเก่งมากก็จริง แต่หลินซื่อกรุ๊ปของฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันสักเท่าไร เพื่อเทียนหยู่ ต่อให้หลินซื่อกรุ๊ปต้องพังพินาศ ฉันก็จะลากหงหม่ากรุ๊ปของคุณลงไปด้วย”น้ำเสียงของเธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมาก ฟังดูราวกับเธอจะทำอย่างที่พูดเอาไว้แน่“เทียนหยู่ ไปกันเถอะ ไม่ต้องสนใจเขา!”“ถ้าเขากล้าแตะต้องเรา หลินซื่อกรุ๊ปจะต่อกรกับเขาให้ตายไปข้างแน่!”น้ำเสียงของหลินหว่านหรูยึดมั่นและเย็นชาอย่างยิ่งมือขวาของเธอคว้าเย่เทียนหยู่เอาไว้แล้วเดินออกไปด้านนอกกลุ่มคนถูกท่าทางหลินหว่านหรูทำเอาตกใจกลัวทำเอาก้าวถอยออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว และประเด็นหลักคือเจ้านา
แน่นอนว่าหลินหว่านหรูเข้าใจความหมาย และอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสถานการณ์เมื่อครู่ ใบหน้าบอบบางและงดงามของเธออดไม่ได้ที่จะเผยความเขินอาย และพูดด้วยความโกรธ: “พูดอะไรของนาย เมื่อกี้มันสถานการณ์เร่งรีบหรอก เพื่อรับมือกับอีกฝ่ายต่างหาก”“แค่รับมือเหรอครับ ไม่ใช่ว่าอยากให้ผมเป็นสามีคุณหรอกเหรอ?” เย่เทียนหยู่พูดด้วยรอยยิ้ม“ฝันไปเถอะย่ะ!”“เว้นแต่นายจะประสบความสำเร็จ เข้ารับตำแหน่งรองประธานของบริษัท” หลินหว่านหรูคิดว่าเธอสามารถใช้ความหวานเล็กน้อยนี้เพื่อกระตุ้นเย่เทียนหยู่ และทำให้เขายอมพยายามพัฒนาตัวเอง“แล้วความสำเร็จแบบไหนถึงจะพาผมไปตำแหน่งรองประธานได้?”“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการพัฒนาของบริษัท อย่างเช่นว่าตอนน้บริษัทเรากำลังขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมอัญมณีและหยก ถ้านายช่วยบริษัทได้มากนี่ก็ถือเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่”“ความช่วยเหลือครั้งใหญ่?” เย่เทียนหยู่ถาม: “สนับสนุนบริษัทให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอัญมณีและหยกของเมืองเทียนไห่นับไหมครับ”“เหลวไหว ต้องนับอยู่แล้วสิ!”“แต่เราจะทำได้ยังไง เราเพิ่งเริ่มต้นกันเอง แทบยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย” หลินหว่านห
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป