อะไรนะ!ผู้มากฝีมือระดับปรมาจารย์!ทันทีที่คำนี้ดังออกมา ตระกูลกงซุนทุดคนต่างก็ตกตะลึงถึงขีดสุด แต่ละคนใบหน้าซีดเผือด ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าเจอผู้มากฝีมือระดับปรมาจารย์ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้นปรมาจารย์?เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เกงซุนมิ่วส่ายหัวไม่หยุดเขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าคนที่ตัวเองดูถูกดูแคลนมาตลอด เย่เทียนหยู่ผู้ไร้ซึ่งพลังอำนาจจะเป็นถึงปรมาจารย์ผู้มากฝีมือถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ผู้มากฝีมือจริง ทำไมเขาทำเรื่องเลลวร้ายไปมากขนาดนั้นเขาถึงไม่เคยลงมือกับเขาเลยสำหรับเขา เขาคิดว่าเย่เทียนหยู่ไม่ทำอะไรเขาเพราะกลัวผู้นำตระกูลของเขาก็เลยกลัวการลงมือ“เสี่ยวจื้อ!”กงซุนมิ่วตะโกนเรียกกงซุนจื้อที่กำลังสติหลุด สายตาจ้องไปที่เย่เทียนหยู่เขม็ง และหวังว่าจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากปากของอีกฝ่ายเย่เทียนหยู่สีหน้าสงบนิ่ง การมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่กำลังจะตายทำให้เขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณพูดถูก ผมมีพลังระดับปรมาจารย์จริงๆ”เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ปรมาจารย์ที่อายุยังน้อยขนาดนี้กงซุนมิ่วรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเหลวไหลสิ้นดีหลานชายผู้ล้ำค่าของเขายั่ว
นี่สวรรค์ตั้งใจทำลายตระกูลกงซุนของเขาชัดๆ ทำไมกัน ทำไมตระกูลกงซุนถึงได้ไปล่วงเกินคนที่เป็นอย่างเทพขุนพลคนนี้ด้วยเห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าเย่เทียนหยู่ได้ทะลวงถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว แต่นี่เป็นไพ่ใบไม้ตายของเขา เขาไม่อยากจะเปิดเผยมันง่ายดายขนาดนั้นเขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเป็นใครกันแน่ที่คิดจะทำลายตระกูลกงซุนจนย่อยยับ และเป็นใครกันที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่เห็นเย่เทียนหยู่อยู่ในสายตาเลย คิดเพียงว่าเขาไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก แต่นในวินาทีนี้ ในที่สุดเขาก็คิดออกแล้ว“ที่กงซุนจื้อถูกผู้อารักขาเฟยหลงตามจับเป็นเพราะเจ้าเหรอ?” กงซุนมิ่วถามด้วยอาการสั่นเทาเย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบอย่างไม่ปิดบัง “ใช่! โทษที่หลานชายคุณทำเรื่องเกินควรก็แล้วกันนะ กล้ามาหลอกลวงและพยายามลวงเกินภรรยาผมตั้งหลายครั้ง”“อย่างที่คิดไม่ผิด ไม่ผิดจริงๆ!”“เสี่ยวจื้อ แกนี่มันหลานตัวดีจริงๆ”กงซุนมิ่วสิ้นหวัง อาจเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงผันผวนมากเกินไป เขาจึงกระอักเลือดออกมาเต็มปากและหมดลมหายใจไปในทันทีพอจะมองออกว่าเขาโกรธและเจ็บปวดอยู่ภายในมากเพียงใด หลานชายคนส
กงซุนจื้อหวาดกลัวจริงๆ โดยเฉพาะการถูกผู้อารักขาเฟยหลงหมายหัวแบบนี้ คุณปู่ของเขาก็ตายไปแล้ว และคนตรงหน้าก็ไม่ได้เพียงน่ากลัว แต่เขายังดันไปยั่วยุอีกฝ่ายเอาไว้มากเขาเสียใจจริงๆ ถ้ารู้ว่าเย่เทียนหยู่น่ากลัวขนาดนี้ ให้เขามีความกล้าอีกนับหมื่นนับพันเท่าเขาก็คงไม่กล้าไปล่วงเกินหลินหว่านหรู ไม่กล้ายั่วยุเย่เทียนหยู่แต่โลกใบนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจในยามนี้ นอกจากการคุกเข่าลงขอร้อง เขาคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ“แค่นี้ก็ยอมคุกเข่าแล้วเหรอ ตอนเริ่มแรกคุณพูดเอาไว้ว่ายังไง?”“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณ?” เย่เทียนหยู่พูดเยาะเย้ยเขา“ไม่หรอกครับ ไม่หรอก คุณมีฐานะสูงส่ง ควรจะเป็นผมที่ก้มหัวให้คุณสิครับ!”“โอ้ ตอนนี้ผมเป็นคนมีฐานะสูงส่ง ไม่ใช่คนที่มาจากภูเขาแล้วเหรอ?”“ขอโทษครับ ขอโทษครับ ก่อนหน้านี้ผมมันโง่เอง ผมมันสมองพิการไม่รู้เรื่องอะไร คุณเป็นผู้มีเมตตากับคนตัวเล็กๆ แบบผม ปล่อยผมไปเถอะนะครับ”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยอมทุกอย่างเลยครับ”กงซุนจื้อรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขาคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่พูด อีกทั้งยังทำโดยไม่คิดจะหลอกลวง เขาพูดจริงทำจริง จนในไม่ช้า
หลินหว่านหรูได้ยินเสียงขอร้องอย่างน่าสงสาร ทำเองเธอตกตะลึงไปทันทีคิดไม่ถึงว่ากงซุนจื้อจะก้มหัวคุกเข่าอย่างไร้ยางอายเช่นนี้นี่มันเหนือคาดสุดๆ!แต่ปัญหาก็คือ นี่มันเป็นเสียงของกงซุนจื้อจริงๆ เธออดไม่ได้ที่จะถาม “กงซุนจื้อจริงๆ เหรอ คงไม่ได้ใช้เสียงที่อัดไว้แล้วมาหลอกฉันใช่ไหม”เย่เทียนหยู่ยิ้มแห้ง ภรรยาเขาคนนี้พลังจินตนาการเปี่ยมล้นดีจริงๆก่อนเขาจะทันได้พูด กงซุนจื้อก็รีบตอบอย่างแทบรอไม่ไหว “ไม่ใช่บันทึกเสียง ถ้าเป็นบันทึกเสียง ผมคงตอบโต้คุณไม่ได้”“คุณชายเย่แข็งแกร่งเกินไป เราไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย ประธานหลิน ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ได้โปรดช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วยนะครับ”ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ในที่สุดหลินหว่านหรูก็แน่ใจว่าเย่เทียนหยู่จับกงซุนจื้อได้ ไม่อย่างนั้นกงซุนจื้อคงไม่กลัวขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลหลินถูกฆ่า เทียนหยู่จึงเลยไปหาคนของตระกูลกงซุนจริงๆ เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อตระกูลหลิน แต่ปู่ของเขาและคนอื่นๆ กลับไม่เคยเข้าใจเขาเลย“นาย นี่นายจัดการพวกเขาได้จริงเหรอ?”“ครับ แต่เรื่องนี้ไม่เหมาะให้คนรู้กันเยอะเท่าไร ให้ดีคุณอย่าบอกใครดีกว่า” เย่เทียนหยู่คิดถึงเรื่
เย่เทียนหยู่ไม่รู้ความคิดของหลินหว่านหรู เขาเก็บโทรศัพท์ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก “กงซุนจื้อ ผมได้ให้โอกาสคุณไปแล้ว แต่ขนาดคนที่มีเมตตาอย่างหลินหว่านหรูยังไม่ยอมคุยกับนายเลย”“อย่าโทษผมก็แล้วกัน เกิดชาติหน้าทำตัวเป็นคนดีเถอะ”“ไม่นะ อย่า...”“ขอร้องละ ขอร้อง จะอะไรผมก็ให้ได้หมดทุกอย่าง”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยกทุกอย่างที่เป็นของตระกูลกงซุนให้คุณ”ทันทีที่กงซุนจื้อได้ยินคำพูดของเย่เทียนหยู่เขาก็กลัวสุดขีดแต่แล้ววินาทีต่อมา มือขวาของเย่เทียนหยู่ก็กดลงเล็กน้อย “ตั้งแต่ตอนที่ผู้อารักขาเฟยหลงปรากฏตัว ตระกูลกงซุนก็ถูกชี้ชัดให้ต้องย่อยยับอยู่แล้ว คุณจะไปมีของอะไรให้ผมได้ยังไง”“ไม่นะ อ้ากกก!”กงซุนจื้อโหยหวน เขาเพียงรู้สึกได้ว่ามีพลังกระแทรกเข้ามาในอวัยวะทั้งห้าและเส้นชีพจรทั้งหกภายในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหัวใจ จากนั้นเขาก็อ้าปากกว้างแล้วล้มลงกระแทกพื้น!จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนชีวิตจะปลิดปลิว เขาก็ยังคุกเข่าขอร้อง เห็นได้ชัดว่าเขาหวังจะได้มีชีวิตต่อไปเพียงใดผู้มากฝีมือรอบด้านมองดูฉากเบื้องหน้าก่อนที่ต่างคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง เพราะความกลัวกำลังแล่นไปถึงพวกเ
หลังจากพบแล้ว เขาก็รีบตรงมาทันที แต่เมื่อเขาเข้ามาด้านใน เขาพบว่าทั้งกงซุนจื้อและกงซุนมิ่วตายแล้ว และคนอื่นๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรวจสอบอย่างระมัดระวังทันที แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆเพียงแต่เมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บ คนที่ลงมือนั้นมีพลังมหาศาล เกรงว่าคงเป็นจอมยุทธ์ที่เกือบเป็นระดับปรมาจารย์คิดไม่ถึงเลยว่า ในเมืองเทียนไห่เล็กๆ นี้จะมีจอมยุทธ์ที่ใกล้กับระดับปรมาจารย์อยู่ด้วยแม้ทั้งคู่จะตายไปแล้ว แต่ร่างของพวกเขาถูกทิ้งไว้ที่นี่ ก็ยังพอใช้เป็นข้อแก้ต่างได้ แค่ว่าเขาเป็นคนจัดการพวกเขาเองก็พอส่วนคนที่เขาพามา ต่างก็เป็นคนที่เขาสนิทด้วย ให้พวกเขาพูดอะไรพวกเขาก็จะพูดอย่างนั้นขณะเดียวกัน เย่เทียนหยู่พาคนสี่ไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย เขาวางพวกเขาลงแล้วจากไปทันทีพวกเขาทั้งสี่มองดูแผ่นหลังของเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาตกตะลึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายมั่นใจมากขนาดนี้ ชายที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวจะสนใจเรื่องว่าพวกเขาจะทรยศต่อตนเองได้ยังไง บางทีเขาอาจจะพูดถูก เขาแค่ไม่อยากฆ่าคนมากเกินไป ก็เลยให้โอกาสตัวเองและคนอื่น ๆ มีชีวิตรอดตามที่เย่เทียนหยู่โทรศัพท์ไป
“อะไรนะกันหว่านหรู หลานรู้ไหมว่าหลานกำลังพูดอะไรออกมา”“คนอย่างเย่เทียนหยู่น่ะเหรอเอาชนะหัวหน้าตระกูลกงซุน?”“อย่าว่าแต่ผู้นำตระกูลกงซุนเลย แค่เขาต้านทานกระบวนท่าของผู้ติดตามผู้นำตระกูลกงซุนได้ ปู่คงไม่ดูถูกเขาขนาดนั้นหรอก!”คุณปู่หลินตะโกนด้วยความโกรธทันทีหลานสาวคนนี้หมกมุ่นอยู่กับเย่เทียนหยู่มากถึงขั้นพูดจาเหนือความเป็นจริงขนาดนี้เลยหรือแต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง หลานสาวไม่เข้าใจโลกแห่งจอมยุทธ์ เธอไม่รู้ว่าจอมยุทธ์อย่างกงซุนมิ่วมีสถานะระดับไหนแต่หลินหว่านหรูไม่เชื่อ และพูดว่า: “สิ่งที่หนูพูดเป็นความจริง หนูเพิ่งคุยกับเทียนหยู่ทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ และเขาก็จัดการกงซุนมิ่วกับพรรคพวกของเขาแล้ว”“เขาทำสำเร็จแล้วเหรอ?”ดวงตาของคุณปู่หลินเต็มไปด้วยความตกใจและความเหลือเชื่อ“ใช่ เทียนหยู่บอกด้วยว่าตระกูลกงซุน วิชาวรยุทธ์ของพวกนั้นอ่อนแอเกินไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ขอบเขาเลย เพราะงั้นพวกปู่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”หลินหว่านหรูตอบกลับ“เป็นไปไม่ได้!”“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”“เขาต้องกำลังหลอกหลานอยู่แน่”คุณปู่หลินส่ายหน้าซ้ำๆ แล้วพูดว่า: “ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราซ่อนก่อนเถอะ ถ้าเขาทำสำเร็
แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เธอเข้าใจเย่เทียนหยู่ผิดทุกครั้งเลยไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างนั้นในครั้งนี้ เธออดไม่ได้ที่จะเชื่อในเย่เทียนหยู่มากกว่าเธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “คุณชายเย่ คุณจัดการพวกเขาแล้วจริงเหรอคะ เป็นคุณฆ่าพวกเขาเองเหรอ?”คำถามนี้ถามเย่เซวียน แต่เขาก็ตอบยืนยันอย่างรวดเร็ว: “แน่นอนสิครับ ประธานหลินไม่เชื่อเหรอ?”“ไม่ใช่นะคะ!”หลินหว่านหรูรีบพูด “ฉันแค่อยากจะยืนยันน่ะค่ะ เพราะคนของตระกูลกงซุนอันตรายเกินไป”“เป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงตระกูลกงซุนจะเป็นแค่มดสำหรับผมก็เถอะ แต่เทียบกับตระกูลหลินก็คงจะเป็นยักษ์ใหญ่ทีเดียว”เย่เซวียนพูดเป็นนัยถึงพลังของตระกูลเย่แล้วถามว่า: “คุณหลิน คุณสนใจไปที่หลงตูเพื่อหาความก้าวหน้าหรือเปล่าครับ ถ้าไปที่นั่น ผมคนนี้สามารถให้ความช่วยเหลือคุณได้มาก”หลินหว่านหรูได้ฟังดังนั้นแล้วจะไม่รู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “ขอบคุณคุณชายเย่นะคะ แต่ตอนนี้ธุรกิจของตระกูลฉันยังแข็งแกร่งไม่พอ เราเลยยังไม่มีแผนการนั้นเลยค่ะ!” เธอรีบตอบ“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ”เขาพูดไปขนาดนั้นแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่รู้จักน้อมรับอีก เย่เซวียนจึงไม่อยากอยู่ที่น
หลังจากที่พูดจจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่สายตาของทุกคนจะจ้องมองไปทางเขาเจ้าตำหนักคนนี้พูดพล่ามอะไรอยู่ เขามาเพื่อเป็นผู้นำสำนักงั้นเหรอ?นี่มันไร้สาระสิ้นดี!หลินเจวี๋ยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เจ้าตำหนักพูดกับเจวี๋ยเทียน เขาก็คิดแล้วว่า ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้วจริง ๆ จบเห่แล้วแน่ ๆ เจ้าตำหนักอย่าได้พูดเหลวไหลอีกเลยนะกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดต่อมาของเจ้าตำหนักจะบ้าบิ่นมากขึ้นกว่าเดิม เขากล้าพูดว่าตนจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสำนักจริง ๆ นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยรวมถึงสำนักเจวี๋ยงฉิงเองก็ด้วยราชาสวรรค์ทั้งสองที่มากับหลินเจวี๋ยเองก็สับสนด้วยเช่นกัน นี่ใช่เจ้าตำหนักของพวกเขาจริง ๆ น่ะเหรอ นี่เขากำลังรนหาที่ตายชัด ๆเมื่อเห็นสายตาอันน่าสะพรึงกลัวของทุกคนที่มองมา ซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาพวกเขาต่างก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น!วันนี้ เกรงว่าคงได้ตายจริง ๆ แน่!เยว่เหลียนหานและคนอื่น ๆ จากสำนักดอกไม้เองก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน บุตรแห่งสวรรค์ผู้ที่มู่หรงอินภาคภูมิใจยังไม่ทันได้ปรากฏตัว ก็กลับมีเจ้าตำหนักที่ไม่
“เพราะเหตุนี้ ผมจึงได้เชิญทุกท่านมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อจัดการประชุมศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้น!”คำพูดง่าย ๆ เหล่านี้ นับว่าเป็นการอธิบายเรื่องทั้งหมดได้อย่างคร่าว ๆ เจวี๋ยเทียนยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นอกจากนี้ ทุกท่านสบายใจได้ ที่ผมเชิญทุกท่านมา ไม่ใช่เพื่อให้ทุกท่านมาก้มหัวเคารพผมโดยตรง”“แต่เราจะเลือกผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่พวกเรา เพื่อขึ้นเป็นผู้ชี้นำทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าต่างหาก นั่นหมายความว่า ทุกคนจะได้รับความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เยว่เหลียนหานกลับแอบส่ายหัวเบา ๆ การแข่งขันที่ยุติธรรมอะไรกัน ทุกคนต่างก็มีโอกาสเท่ากันงั้นเหรอ พวกเขามีโอกาสที่ไหนกันถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือเจวี๋ยเทียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเองอย่างมาก ว่าจะไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาจากการขึ้นเป็นผู้นำของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม ก็แค่การที่ปล่อยให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อให้ถูกโจมตีเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นทุก ๆ คนต่างก็มีความคิดที่คล้าย ๆ กัน แต่อีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งมากจริง ๆ พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำการประชุมในวันนี้ หากพวกเขาไม่มาก็ต้องตายสถานเดียว แ
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะ พอดีเมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย เลยทำให้มาช้า”ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย ทั้งดูดีและมีเกียรติมากโดยเฉพาะเจวี๋ยเทียน เขาสวมชุดสีม่วง ท่าเดินก็ดูองอาจ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่และความสง่างามเครื่องแต่งกายของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดที่มู่หรงชิงเคยสวมใส่ในตอนนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของมู่หรงอินดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหยางผั่วจวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังพวกเขาในทันที และพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อร่องรอยที่เจวี๋ยเทียนเคยทิ้งเอาไว้ในตอนที่เขาไปเยือนสำนักราชาผี ซึ่งนั่นก็ทำให้หยางผั่วจวินตกตะลึงอย่างมากหยางผั่วจวินเองก็สัมผัสได้ ไม่ว่ายังไงตนในตอนนั้นก็ไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ หลังจากที่เย่เทียนหยู่ใช้ของวิเศษของพรรคมารช่วยให้เขาพัฒนาตนเอง เขาก็สามารถทะลุจนเลื่อนขั้นสู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แล้ว แถมยังทะลุไปถึงคอขวด จนเกือบจะถึงจุดที่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วด้วยซ้ำตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา นับว่าอยู่ในจุดที่ไม่ธรรมดาแล้วดังนั้น เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นคู่ต่อสู้ที
เขาไม่อาจเรียกเธอว่านายน้อยได้ แต่ให้เรียกว่าคุณหนูก็ถือยังทำได้อยู่อีกสองคนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับยืนนิ่ว และกว่าวทักทายออกมาว่า “คารวะคุณหนู!”มู่หรงอินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีที่ดูเมินเฉยว่า “เหอะ ในสายตาของพวกท่านยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ด้วยงั้นเหรอ?”เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย โดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เขาพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “มู่หรงอิน การที่พวกเรายอมเรียกเธอว่าคุณหนู ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้นำคนเก่า อย่าได้เหลิงไปหน่อยเลย!”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอินก็กลับไม่ได้โกรธอะไร กลับกัน สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูเย็นชาขึ้นมา จิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็เกือบจะเผลอทะลักออกมา หากยังต้องทนฟังคำพูดของตู๋เปียนฝูต่อไป มู่หรงอินเกรงว่าเย่เทียนหยู่อาจจะเผลอทำอะไรที่หุนหันพันแล่นออกไปได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณด้วยสายตาเพื่อหยุดเขาในทันที เพราะตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาเมื่อเห็นสายตาแจ้งเตือนให้ยั้งมือของแม่ เย่เทียนหยู่ก็รีบระงับพลังเอาไว้ทันที ทันใดนั้นจิตสังหารก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังที่เขาใช้ปกปิดนั้นค่อ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก หากตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเราคงครอบครองโลกใบนี้ไปแล้ว ใครกันจะกล้าขวาง!”ในขณะเดียวกันนี้เอง ชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าดูเศร้าหมอง ริมฝีปากเรียวเล็กก็ปรากฏตัวขึ้น“ตู๋เปียนฝู?”ในใจทูตใหญ่รู้สึกตกตะลึง“ยังมีข้าอีกคน บรรพจารย์หวงเฉวียน!”หลังจากที่ทั้งสี่ก้าวออกมาพูด สีหน้าของทูตใหญ่ก็ดูไม่ค่อนสู้ดีมากนัก สมญานามของพวกเขาในปีนั้นคือสี่ทูตใหญ่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากการดำรงอยู่ของอำนาจพวกเขาเป็นรองก็แค่ผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำสำนักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำคิดไม่ถึงเลยว่าอีกสามคนที่เหลือจะอยู่ที่นี่กันหมด และดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพลังจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกันทั้งนั้นในกรณีนี้ แทบจะเท่ากับว่าผู้นำของนิกายจืดจางคือผู้นำที่แท้จริงของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะเท่ากับว่าตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกเป็นของผู้นำสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นเมื่อสองพี่น้อง
นี่เป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวและทรงพลังระดับไหนกันแน่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ เธอรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างมาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้พวกเธอจึงเอาแต่กักตัวบำเพ็ญตนแต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุใดมู่หรงอินถึงได้มั่นใจมากขนาดนั้น โดยเฉพาะลูกชายของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็แข็งแกร่งมากจริง ๆแต่เมื่อเทียบกับสองพี่น้องเจวี๋ยเทียนแล้ว เกรงว่าความแต่งต่างอาจจะยังห่างชั้นกันอยู่แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงทำได้แค่เดินหน้าทำตามแผนต่อไป หากยังไม่ได้ผล ก็คงต้องสู้ตายเท่านั้นเวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่าณ ภูเขารกร้าง!สถานที่แห่งนี้อยู่หากจากเมืองตงเฉิงออกไปกว่าสามร้อยกิโลเมตร ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขารกร้าง เป็นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่สำนักศักดิ์ กลับตั้งหลักอยู่จุดที่ลึกที่สุดของภูเขาเช่นนี้ซึ่งมีทางเข้าและทางออกเพียงสองทางเท่านั้นแน่นอน หากพูดถึงทางเข้าออกลับที่มีอยู่ ไม่ได้มีเพียงแค่สองทางอย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นทางที่คนธรรมดาไม่สามารถหาเจอได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะบริเวณทางเข้ามีม่านพลังปิดเอาไว้อยู่ หากเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับ
เย่เทียนหยู่รู้สึกตกใจนิดหน่อย เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จึงได้แต่ยักไหล่ ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ไม่เคยสู้ด้วยสักหน่อย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”“แต่ฉันรู้ค่ะ!”“ราชามังกรแห่งพรรคมังกร ผู้นำแห่งสำนักเงา หรือจะให้ฉันเรียกว่าคุณชายเย่ดีคะ?” เยว่เหลียนเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบเมื่อเย่เทียนหยู่ได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักดอกไม้ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สถานะพวกนี้ของเขาแน่นอน เขาจึงพูดขึ้นอย่างเร่งรีบออกไปว่า “คุณน่าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักดอกไม้สินะ?”“ผู้อาวุโสอะไรกันคะ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ฉันชื่อว่าเยว่เหลียนเวยค่ะ คุณเรียกฉันว่าพี่เยว่ก็ได้!” เยว่เหลียนเวยยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เธอเผยรอยยิ้มออกมา เสน่ห์ในตัวเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเยว่หลิงตกตะลึงไปชั่วขณะ อาจารย์รองเป็นอะไรไป เรียกว่าพี่เยว่งั้นเหรอ ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใครกันแน่“เอ่อ สวัสดีครับ พี่เยว่!” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากถูกเรียกแบบนั้น เย่เทียนหยู่จึงทำได้แค่เริ่มทักทายใหม่อีกครั้ง“ค่ะ คุณชายเย่ไม่เลวเลยนะคะ ฉันชอบค่ะ”เยว่เหลียนเวยเ
เยว่หลิงแทบไม่สามารถต่อต้านได้เลย และพบว่าตัวเองกำลังถูกชายคนหนึ่งกดทับด้วยมือเอาไว้อยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันแรงกล้าของผู้ชายจากอีกฝ่าย สีหน้าเธอก็แดงก่ำทันทีแม้ว่าเธอมักจะใช้วิชาเสน่ห์อาคมอยู่บ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยให้ผู้ชายเข้าใกล้มากขนาดนี้มาก่อน นั่นจึงทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาแบบนี้เย่เทียนหยู่ที่เห็นฉากตรงหน้า เขาก็พูดพลางหัวเราะออกมาว่า “ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว ผมยังคิดอยู่เลยว่าคุณคงจะเป็นคนที่เปิดกว้างมาก คิดไม่ถึงว่าจะเขินได้ง่ายขนาดนี้”“นาย นายรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เยว่หลิงวิตกกังวลอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีวิชากังฟู่ที่น่ากลัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่ชั่วร้ายมากอีกต่างหากถ้ารู้แต่แรก ก็คงไม่มาคนเดียวแบบนี้หรอก พวกเธอได้ทำการนัดพบกับคนในสำนักที่นี่ และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วยเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารและวิตกกังวลของเธอ เย่เทียนหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกล้อเธอ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมจะปล่อยคุณไปก็ได้ แต่คุณต้องขอร้องผมก่อน”“เพราะไม่อย่างนั้น ผมคงไม่อาจทำใจแยกจากความงามอันน่าหลงใหลเช่นนี้ได้แน่”ในขณะที่พูด เย่
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เย่เทียนหยู่และหลินหว่านหรูก็กลับมาถึงเมืองตะวันออกกันแล้ว เวลาที่เหลือก็ค่อนข้างเยอะ ทั้งสองจึงทานข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยส่งหลินหว่านหรูกลับบริษัทจากนั้นเย่เทียนหยู่จึงค่อยออกเดินทาง แต่ขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถ เขาก็ได้ยินเสียงอันอ่อนหวานดังเข้ามาในหู “คุณเย่คะ ท่าทางรีบร้อนแบบนั้น คุณจะรีบไปไหนเหรอคะ?”เย่เทียนหยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมอง ตรงหน้าเขาปรากฏร่างที่มีเสน่ห์และสง่างามของหญิงสาวคนหนึ่ง มองผิวเผินรู้สึกว่าเธอยังเด็กอยู่มาก ราวกับว่าเธอเพิ่งจะสี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเองรูปร่างหน้าตาของเธอดูอ่อนเยาว์กว่าจูเก่อหลิวหลีนิดหน่อย แต่ความเซ็กซี่และเสน่ห์ที่เธอแสดงออกมานั้น โดยเฉพาะความขาวที่ถูกเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผู้คนต่างพากันใจเต้นแล้วขาเรียวยาวสองข้างที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย นี่ถือเป็นค่านิยมของผู้หญิงที่นับว่าเป็นอันตรายต่อผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน เย่เที่ยนหยู่เองก็เคยเห็นผู้หญิงมามากมายนับไม่ถ้วนจนเคยชินหมดแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาสองสามคนที่สวยกว่าหลินหว่านหรู่ก็เคยเจอมาหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไ