ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ประกาศออกไป ทุกคนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเฉินเข่อซินมองไปที่เย่เทียนหยู่ด้วยสายตาว่างเปล่าพี่เย่หมายถึงอะไรในเรื่องนี้?เย่เทียนหยู่เมินพวกเขา เขาก้าวไปข้างหน้าและเปิดผ้าสีขาวที่เพิ่งคลุมไว้ เข็มเงินปรากฏขึ้นในมือของเขา และบินเข้าไปหาแม่ของเฉินเข่อซินด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าดร.หม่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความโกรธ “เจ้าหนู แกกำลังทำอะไรอยู่ คนตายไปแล้ว แกจะมาแทงคนตายมั่วซั่วแบบนี้ไม่ได้!”ในเวลานี้ พลังชีวิตแม่ของเฉินเข่อซินเกือบจะหมดสิ้นไปแล้ว และเย่เทียนหยู่ก็ไม่มีเวลาให้สนใจพวกเขา เขามุ่งความสนใจไปที่การหมุนเวียนชี่แท้ และไหลเข้าสู่ร่างกายของแม่ของเฉินผ่านเข็มเงินปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายของมนุษย์ หลายปัญหาเกิดจากการอุดตันของเส้นชีพจร หรือความเสียหายจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสิ่งเหล่านี้สามารถกำจัดและฟื้นฟูได้โดยการใช้ชี่แท้โดยเฉพาะถ้าได้ใช้เก้าเข็มนภาธรณี ซึ่งสามารถฟื้นฟูเนื้อและกระดูกของมนุษย์ได้ มีความสามารถในการซ่อมแซมเหนือจินตนาการของมนุษย์ แต่คนที่จะใช้งานมันได้ก็ต้องมีทักษาะสูงเช่นกันโดยเฉพาะข้อกำหนดถึงคุณส
“ยอดมากเลย ดีจังเลยนะ แม่รอดแล้ว!” เฉินเข่อซินรู้สึกตื่นเต้นทันทีในขณะนี้ เธอทั้งเศร้าและมีความสุขมากในเวลาเดียวกัน ความเสียใจมหาศาลเมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับตื่นเต้นมากจนแทบจะเป็นลมโชคดีที่เย่เทียนหยู่อยู่ใกล้ ๆ และตบหลังเธออย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้เธอสงบลง“เหอะ ๆ เฉินเข่อซิน ฉันเกรงว่าแกจะมีความสุขเร็วเกินไป!”ในเวลานี้เองที่จู่ ๆ ดร.หม่าก็หัวเราะเยาะเฉินเข่อซินตกตะลึงและรีบถาม “ดร.หม่า คุณหมายถึงอะไร”“หมายความว่ายังไงน่ะเหรอ แกคิดว่าแม่แกฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ หรือไง?”“ไม่คิดหน่อยเลยเหรอ ว่าเด็กหนุ่มจะช่วยคนตายได้ยังไง ถ้าเขาเก่งขนาดนั้น เขาคงจะโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว แต่เขากลับเป็นแค่คนธรรมดาไร้ชื่อไร้เสียง”“ฉันจะบอกแกให้นะ ว่าเขาแค่อยากเอาชนะฉันและหลอกลวงแก ไม่อย่างนั้นทำไมแม่ของแกถึงยังไม่ขยับ!”ทันทีที่คำพูดจบลง ทุกคนก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลเมื่อสักครู่นี้พวกเขาเกือบจะถูกหลอกกันs,fสีหน้าของเฉินเข่อซินเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะคิดว่าเย่เทียนหยู่เป็นคนดี แต่คำพูดของดร.หม่าก็ไม่สมเหตุสมผลแต่ในขณะนี้ เฉินหมิ่น แม่ของเฉินเข่อซิน ขยับนิ้วของเธอบนเตียงผู้ป่วยดร.หม่าบั
“คุณน้า คุณหมายถึงอะไรครับ” เย่เทียนหยู่ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกเช่นกัน แต่เขากลับจำไม่ได้“น้าจำผิดน่ะจ๊ะ คุณคล้ายกับเด็กที่น้ารับเลี้ยงตอนเด็ก ๆ มาก เพียงแต่ว่าเขาหายตัวไปหลังเหตุเพลิงไหม้เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว”สิบแปดปีที่แล้ว ฉันอายุเจ็ดหรือแปดขวบไม่ใช่หรือ เป็นช่วงเวลาที่เขาสูญเสียความทรงจำพอดีความแปลกประหลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา และเย่เทียนหยู่ก็รู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างที่เขาลืมไปในเวลานี้เองที่ดร.หม่าพูดขึ้นว่า “ไอ้เด็กหนุ่มสกุลเย่ ตอนนี้เธอยังยืนไม่ได้เลยนะ แกไม่ควรจะรีบมาคุกเข่าก้มหัวให้ฉันเพื่อยอมรับความผิดเหรอ?”“ใครบอกว่าเธอยืนไม่ได้”เย่เทียนหยู่สูดลมหายใจเข้า แล้วพูดว่า “คุณน้า โปรดลุกขึ้นมาแสดงให้เขาดูเถอะครับ”เฉินหมิ่นตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนี้เธอลุกขึ้นได้เหรอ เธอจำได้ว่าเธอทรมานมากจนขยับตัวไม่ได้ ต่อให้ฝีมือแพทย์ของเขาดีขนาดไหน มันก็คงไม่ได้อัศจรรย์มากขนาดนั้นแต่ผู้มีพระคุณของเธอพูดขนาดนี้แล้ว เธอก็ต้องพยายาม ในไม่ช้าเธอก็พบว่าเธอสามารถยืนขึ้นได้อย่างง่ายดายและเดินได้โดยไม่รู้สึกทรมานอีกต่อไปถึงแม้ฉันจะยังเดินได้เดินเหิน
“พี่เย่ เป็นยังไงบ้าง?”เฉินเข่อซินถามด้วยความกังวลเฉินหมิ่นมองดูเย่เทียนหยู่อย่างประหม่าเมื่อเห็นค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิบแบบนี้ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ เดิมทีเธอเสียใจที่กำลังลากลูกสาวของเธอให้ต้องมาลำบากมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอรู้สึกแย่ลงไปอีก“ไอ้สารเลวคนนี้ อาการเมื่อกี้คุณรักษาไม่ได้เป็นปัญหาที่ทักษะของคุณ แต่บัญชีพวกนี้ โกงจนไม่รู้จะโกงยังไงแล้ว”เย่เทียนหยู่พูดด้วยความโกรธ ประกอบกับการที่ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธการรักษาชีวติคนไข้ บุคคลแบบนี้จะมีคุณสมบัติเป็นแพทย์ได้ยังไง และถึงขั้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการได้ด้วย“ในบิลมีค่าใช้จ่ายเกินเหรอคะ?” เฉินเข่อซินถามอย่างร้อนใจ“ใช่ มีการฉ้อโกงและสั่งยาแบบต่าง ๆ ที่ดูจากชื่อแล้ว ส่วนมากไม่จำเป็นต้องใช้กับแม่ของเธอเลยสักนิด”เย่เทียนหยูพูดอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ดร.หม่าเมื่อหม่าจวินได้ยินแบบนั้น เขาเกิดความกังวลทันทีและพูดด้วยความโกรธ “ไร้สาระ ยาเหล่านี้ล้วนใช้เพื่อช่วยเฉินหมิ่น ไม่มีการสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าบ้า ๆ นั่นหรอก”“จะบอกให้นะ ว่าแพทย์ของเราเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การประเมินและทวนอาการก็เข้มงวดมาก ถ้าผมไม่
“ผมว่ามันไม่ผิดพลาดหรอก แต่เพราะถูกผมจับได้ก็เลยคิดจะทำลายหลักฐานมากกว่า”“ไอ้หนู อย่าพูดเหลวไหลนะ ถ้าผมบอกว่าผมทำผิด ผมก็ทำผิด แกจะเอาบิลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ หรือจะบอกแกไว้ก็ว่าสำนักอนามัยเป็นของลูกพี่ลูกน้องของผม““ดูเหมือนว่าลูกพี่ลูกน้องของคุณอยู่กับคุณ?” เย่เทียนหยู่กล่าวอย่างจงใจคราวนี้หม่าจวินฉลาดไม่ยอมรับ ก่อนที่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของผมจริง ๆ”“ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็พยายามไปฟ้องผมดูก็ได้ แล้วดูว่าจะฟ้องผมได้หรือเปล่า ผมยังมีอย่างอื่นต้องทำ ไม่มีเวลาคุยกับคุณหรอก”เขาทิ้งคำพูดไว้แล้วเดินออกไปทันทีเห็นได้ชัดว่าเย่เทียนหยูไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยให้เขาจากไปทั้งแบบนี้แน่นอนแต่ในเวลานี้ คนจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาตรงทางเดิน นำโดยผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งซึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยมีเด็กอายุประมาณห้าขวบอยู่ในอ้อมแขนของเธอผู้หญิงคนนั้นดูกังวลและรีบวิ่งไปหาพยาบาล เมื่อเห็นพยาบาลชี้ไปที่หม่าจวิน เธอก็รีบพูดว่า “ผู้อำนวยการหม่า รีบช่วยดูลูกสาวของฉันหน่อยเถอะนะคะ”พยาบาลที่ตามมาก็รีบพูดว่า “ผู้อำนวยการหม่า นี่คือคุณโจวเ
เย่เทียนหยู่ได้ยินแบบนั้นแต่ก็ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างใจเย็น “อย่าเพิ่งมั่นใจเกินไป ตอนนี้มันยังเร็วเกินกว่าจะตัดสิน ลองดูไปก่อน”“คุณกำลังพูดอะไรคะ? นี่คุณสาปแช่งลูกสาวของฉันอยู่เหรอ? ตอนนี้เธอดีขึ้นมากแล้วนะ”“ส่วนผู้อำนวยการหม่าน่ะ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ของโรงพยาบาล ฉันเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเขาค่ะ ส่วนคุณ คุณมีทักษะทางการแพทย์หรือยังไง?”เมื่อเห็นว่าหม่าจวินที่กำลังช่วยเหลือเธอ แต่กลับมีคนที่ไม่มีทักษะทางการแพทย์มาพูดจาไม่รู้สี่รู้แปด โจวเมี่ยวถงก็รู้สึกทนไม่ไหว “เขาจะรู้อะไรที่ไหน แม้แต่ใบรับรองคุณวุฒิทางการแพทย์เขายังไม่มีเลย หนุ่มน้อย แกมีใบรับรองคุณวุฒิทางการแพทย์ไหม?”หม่าจวินเยาะเย้ย“จริงครับที่ผมไม่มีใบรับรอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้องนะ ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกห้าวินาที” เย่เทียนหยู่พูด“พูดจาไร้สาระ”หม่าจวินกำลังจะโต้กลับ แต่ในขณะนี้ อุณหภูมิของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายและแขนขาของเธอเริ่มกระตุก และมีน้ำลายฟูมปากเธอดูน่ากลัวมากราวกับว่าเธออาจจะตายเมื่อใดก็ได้โจวเมี่ยวถงหน้าซีดด้วยความตกใจและถามขึ้นอย่างรีบ
เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนที่ได้เห็นอาการชักกระตุกอันน่าสะพรึงกลัวของเด็กหญิงที่ราวกับจะสามารถตายได้ตลอดเวลาแบบนั้นแค่ แค่นี้ก็หยุดแล้วเหรอ?หม่าจวินแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย เขาเริ่มเชื่อว่าเย่เทียนหยู่มีความสามารถจริง ๆ อย่างน้อยก็เก่งในด้านการแพทย์แผนจีนมากแต่ในความเห็นของเขา ภาพรวมของการแพทย์แผนจีนดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือมากนัก เพียงแค่ไอ้เจ้านี่โชคดีบังเอิญเจอโรคที่เขารักษาเป็นถึงสองครั้งก็เท่านั้นดวงตาของพยาบาลคนอื่น ๆ เปล่งประกาย ผู้ชายที่มีทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ แถมยังหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ถึงกับมีอาการตกหลุมรักกันไปหลายคนโจวเมี่ยวถงมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเย่เทียนหยู่จะมหัศจรรย์ขนาดนี้ ทันทีที่เขาลงมือก็สามารถหยุดอาการป่วยของเธอได้ เธอรีบถาม “เชี่ยนเชี่ยนเป็นยังไงบ้าง? ลูกฉันเป็นอะไรไปเหรอ?”“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ในเมื่อผมลงมือแล้ว จะไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน”“สำหรับเหตุผลนั้น เธอติดเชื้อไวรัสชนิดพิเศษจริง ๆ แต่ไม่ใช่ไข้หวัด”“อะไรนะ ไวรัสพิเศษ มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันคะ!”สีหน้าของโจวเมี่ยวถงเปลี่ยนไป หรือนี่จะเป็นเรื่องที่คู่แข่งทางการคนไหนท
โจวเมี่ยวถงกำลังจะขอบคุณเย่เทียนหยู่ แต่ในขณะนี้โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หลังจากรับสายแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่จนใจว่า: “แพทย์เซียนเย่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมากนะ ในกระเป๋าของฉันมีเงินสดแค่สองแสนห้าหมื่นบาท ถือเสียว่าเป็นค่ารักษาก็แล้วกัน”“อันนี้ นามบัตรของฉัน ต่อไปถ้าคุณต้องการอะไร โทรศัพท์หาฉันได้ทันที ถ้าฉันสามารถทำได้ ฉันจะช่วยคุณอย่างแน่นอน”เธอพลางพูดพลางยื่นเงินและนามบัตรให้กับเย่เทียนหยู่ แล้วกล่าวว่า “ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ต้องขอตัวกลับไปก่อน”“ได้ครับ!”เย่เทียนหยู่ก็ไม่ได้เสแสร้งอะไร รับเงินมาโดยตรง เพราะอย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ดูรวยมาก เงินสองสามแสนบาทน่าจะเป็นแค่เงินเล็กน้อยสำหรับเธอแต่ชีวิตของลูกสาว ถือว่าเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้เมื่อหม่าจวินเห็นเงินที่อยู่ในมือของเย่เทียนหยู่ ก็รู้สึกอิจฉา จึงทำได้แค่รู้สึกเสียดาย ที่มันไม่ได้ตกเป็นของเขาหม่าจวินรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก จึงรีบพูดแซะไปว่า “ไอ้คนแซ่เย่ ที่นี่คือโรงพยาบาล เงินค่ารักษาที่ได้รับมาจะเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้นะ คุณเอาเงินสองแสนห้าหมื่นบาทก้อนนั้นมาให้ผม ผมจะมอบให้โรงพยาบาล”ทันท
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป