“จากผลการตรวจร่างกายของคุณทั้งสองไม่พบความผิดปกติอะไรนะคะ”
แพทย์หญิงวัยกลางคนระบายรอยยิ้มละมุนพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะเริ่มอธิบายผลการตรวจที่แสดงอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดอีกครั้ง
วิเวียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นขณะตั้งใจฟังสิ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังอธิบาย ทว่าชายหนุ่มข้างกายกลับขมวดคิ้วมุ่น แววตาลึกล้ำฉายความฉงนอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีบุตรยากไม่ได้อยู่ในแผนการของพวกเขาตั้งแต่แรก ทว่าหลังจากรับประทานอาหารพร้อมครอบครัวในวันนั้น ท่านทั้งสองหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยแล้วแนะนำแกมบังคับให้ลองมาตรวจร่างกายกันใหม่อีกครั้ง
“ถ้าคุณหมอบอกว่าร่างกายของพวกเราแข็งแรงดี แล้วทำไมถึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีลูกล่ะครับ” เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาเนิ่นนานเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่ได้รับคำแนะนำทุกอย่าง
“เมื่อสักครู่นี้หมอได้อธิบายผลการตรวจร่างกายของพวกคุณอย่างละเอียดไปแล้ว ทีนี้เรามาต่อกันที่สภาพจิตใจบ้างนะคะ" พอพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงกลับดูจริงจังมากขึ้น
“ความเครียดเป็นตัวการหลักที่จะเข้าไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ไข่เจริญเติบโตได้ไม่สมบูรณ์ส่งผลให้ไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวในมดลูกได้ยากขึ้นค่ะ”
“ดิฉันจึงขอแนะนำว่า ถ้าพวกคุณพอจะมีเวลาว่างก็อยากให้ลองไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังจากสะสมความเครียดมาอย่างยาวนาน”
“ไปผ่อนคลายตัวเองโดยที่ไม่ต้องคิดอะไร ทำในสิ่งที่อยากทำและพยายามไม่คาดหวังเรื่องมีลูกอีกสักระยะค่ะ ประมาณว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ”
“แบบนี้ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องนับช่วงเวลาไข่ตกแล้วใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยประกายความหวังบางอย่างทำเอาคนข้างกายรีบหันขวับไปมอง
“ค่ะ เพราะเราจะมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่"
"คุณได้ยินแล้วใช่มั้ย" หันไปกระซิบเพื่อย้ำเตือนคนข้างกายที่กำลังส่งสายตาดุๆ กลับมาก่อนจะหันไปตั้งใจฟังคำแนะนำต่อ
"เพราะความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ">คู่สามีภรรยาเป็นการฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพใจได้อย่างดีเยี่ยมเลยละค่ะ”
หลังจากนั้นอีกไม่นาน การพูดคุยให้คำปรึกษาก็สิ้นสุดลง ครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัดจนคู่สามีภรรยาคิดว่าโชคดีแล้วที่ตัดสินใจมา
พวกเขามีความรู้สึกบางอย่างก่อเกิดขึ้นในจิตใจ มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้ยกอะไรบางอย่างที่หนักหนาเหลือเกินออกไปจากอกหลงเหลือเพียงความเบาสบาย
“เราไปพักผ่อนตามที่คุณหมอแนะนำดีมั้ย”
อชิระเปิดปากทำลายความเงียบ หลังจากรถสปอร์ตสีน้ำเงินคันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นสักพักแล้ว
“หาเวลาว่างของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะค่ะ” อดที่จะหยอกล้อผู้เป็นสามีไม่ได้
“ผมหาได้แน่นอน คุณเตรียมตัวเก็บกระเป๋าได้เลย"
“หวังว่ารอบนี้จะไม่ยกโขยงลูกน้องไปอย่างตอนฮันนีมูนนะคะ"
“คุณดูฝังใจกับเรื่องนั้นนะ แต่ก็เอาน่า ใช่ว่าเราจะเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยกันตอนนั้นเสียที่ไหน”
“พอเลยค่ะ ห้ามพูดเรื่องนั้น" คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าหวานร้อนผ่าว
"ไม่พูดก็ไม่พูด แล้วแต่ภริยาจะบัญชาการเลยครับ" รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก
"แต่รอบนี้ฉันจริงจังนะคะ ห้ามพาลูกน้องของคุณไป คนเดียวก็ไม่ได้” เอ่ยอย่างหนักแน่น
"อยากสวีตกับสามีว่างั้นเถอะ"
"ฉันแค่อยากได้ความเป็นส่วนตัวต่างหากเล่า สะวงสวีตอะไรกัน"
"ผมจะเชื่อก็แล้วกันครับ" ไม่พูดเปล่ายังเลื่อนมือซ้ายมากอบกุมมือขวาของเธอแล้วยกขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาโดยที่สายตาไม่ละจากท้องถนน
"ไม่อยากคุยด้วยแล้ว" เชิดใบหน้ามองไปอีกทางอย่างงอนๆ
“ดี ผมจะได้มีสมาธิขับรถพร้อมกับจุ๊บมือหอมๆ ของคุณตลอดทาง" ว่าแล้วจุมพิตมือของเธออีกครั้งและอีกครั้ง
"ปล่อยเลยนะ คุยด้วยก็ได้" รีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะวกเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง
"แล้วเราจะไปกันที่ไหนคะ"
"คุณมีที่ที่อยากไปบ้างหรือเปล่า”
อชิระถามกลับ ทว่าอีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ เขาจึงเสนอสถานที่แรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด
“กลับไปที่เกาะแห่งนั้นกันอีกสักครั้งเป็นไง”
วิเวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งขณะสายตาจับจ้องไปยังเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาก่อนจะตอบรับในที่สุด
"ได้ค่ะ"
"เอาเป็นว่าตามนั้นนะ แล้วตอนนี้ล่ะอยากไปไหนหรือเปล่า"
"คุณไม่ต้องไปทำงานต่อเหรอคะ"
"ไม่ต้อง"
“จริงเหรอคะ" แววตาเป็นประกายด้วยความดีใจซึ่งอาการเหล่านั้นทำเอาชายหนุ่มอดที่จะลอบอมยิ้มไม่ได้ขณะรอฟังคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเราไปหามื้อเที่ยงอร่อยๆ กินกันเถอะค่ะ”
"ถ้ามื้อเที่ยงอร่อยๆ สำหรับผมก็คงต้องกินคุณแล้วล่ะ" พูดออกมาหน้าตาเฉยแล้วตีเนียนเลื่อนมือหมายจะลูบไล้หน้าขาของคนข้างกาย
"หยุดเลยค่ะ!" ฟาดฝ่ามือลงไปบนมือปลาหมึกของเขาจนชายหนุ่มรีบชักกลับตั้งใจทำหน้าที่ขับรถต่อไป
รถสปอร์ตคันหรูจอดสนิทอยู่หน้าร้านส้มตำเล็กๆ ในซอยคับแคบข้างมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งเป็นร้านเจ้าประจำของเธอสมัยเรียน
ภายในร้านมีโต๊ะพลาสติกสีแดงเก่าๆ กับเก้าอี้ที่เหมือนจะโยกได้ทุกเมื่อเพียงหย่อนก้นนั่งลงไป ควันจากเตาไก่ย่างตรงหน้าร้านลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงตำเป็นจังหวะชวนให้น้ำลายสอ
อชิระนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามหญิงสาวอย่างระมัดระวังพลางหันไปสำรวจรอบๆ จึงไม่เห็นว่าเธอลอบอมยิ้มให้กับท่าทางของเขาก่อนจะเริ่มสั่งอาหารโดยไม่เปิดเมนูกับป้าเจ้าของร้าน
"คุณอยากกินอะไรก็สั่งเพิ่มได้เลยค่ะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง"
"ไม่เป็นไร ผมยังไม่ค่อยหิว แล้วที่สั่งไปน่ะจะกินหมดเหรอ"
"หมดไม่หมด เดี๋ยวก็รู้"
ไม่นานนัก อาหารก็เริ่มทยอยมา เริ่มต้นด้วยส้มตำปูปลาร้า น้ำตกคอหมูย่าง ลาบหมู ซุบหน่อไม้ แกงเห็ด ไก่ย่างหนังเกรียมพร้อมน้ำจิ้มแจ่ว ตบท้ายด้วยข้าวเหนียวร้อนๆ หนึ่งกระติบ
วิเวียนตักอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีชายหนุ่มนั่งจับจ้องด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใดกลับมีรอยยิ้มจางเกิดขึ้นตรงมุมปากขณะมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“มูมมามอย่างกับเด็ก” ถึงจะบ่นแต่ก็ดึงกระดาษทิชชูเช็ดคราบเลอะที่ปากของเธอ
แต่แล้วจู่ๆ คนที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าก็เริ่มเบะปาก หยาดน้ำใสไหลพรากลงมาจากดวงตากลมโตจนเขาตกใจ
“คุณเป็นอะไรน่ะวิ"
“ฮือ~ ฉันนึกว่าตัวเองจะไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้อีกแล้ว” ปล่อยโฮขณะที่ยังบดเคี้ยวไก่ย่างในปากทำเอาคนมองถึงกับอ้าปากค้างนึกขำกับท่าทางแบบนั้น
นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เห็นความโก๊ะของเธอ
นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท่าทางอารมณ์ดีและมีความสุขของเธอ
นานเท่าไรแล้วที่ทั้งเขาและเธอไม่ได้หยอกล้อสร้างเสียงหัวเราะให้กัน
และไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าไรแล้วที่เผลอหลงลืมความสุขชั่วขณะปัจจุบันเหล่านี้ไป
สัปดาห์ต่อมา...ทันทีที่เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวร่อนลงจอดบนลานใกล้ชายหาด เจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดลายดอกไม้สีสันสดใสรีบก้าวเท้าลงมาด้วยความตื่นเต้นเสียงคลื่นซัดสาดสาดกระทบชายฝั่งดังแว่วตามสายลมอบอุ่นในช่วงบ่ายคล้อยของวันผสานกลิ่นอายโอโซนแสนสดชื่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลายเสมือนได้รับอิสรภาพคืนกลับมานัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังคงกวาดมองทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าปลอดโปร่งที่ถูกแต่งแต้มด้วยก้อนเมฆปุกปุยสีขาวตัดกับผืนน้ำทะเลใสซึ่งมีดวงอาทิตย์ส่องสะท้อนเปล่งประกายระยิบระยับหญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดจนในชั่วขณะหนึ่งก็รับรู้ได้ถึงความเงียบสงบก่อนจะถอดรองเท้าแล้ววิ่งไปบนผืนทรายขาวละเอียดตามคำเรียกร้องของหัวใจ“วิ! อย่าวิ่งสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”ร่างสูงที่เพิ่งก้าวลงมาจากเครื่องบินตะโกนตักเตือนไล่ตามหลังพร้อมทอดถอนใจกับการกระทำเหมือนเด็กน้อยของเธอแล้วก้มลงหยิบรองเท้าที่เจ้าของทิ้งไว้อย่างไม่ดูดำดูดี“คุณวิเวียนดูจะมีความสุขมากเลยนะครับ”“อืม” เขาครางตอบในลำคอเพราะเห็นด้วยกับความคิดของลูกน้องคนสนิท“คุณอาร์คก็ดูสบายใจขึ้นมากเหมือนกันนะครับ” หันมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูผ่อ
“หายไปไหนนะ” ริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบาขณะสาวเท้าเดินเข้าไปตามห้องต่างๆ ภายในบ้านด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมายามวิกาลแล้วพบว่าข้างกายปราศจากผู้เป็นสามีกระทั่งสายตาเหลือบเห็นแสงไฟสลัวๆ บริเวณชายหาดพร้อมกับการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นคนที่กำลังตามหาจึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้นทันทีชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าอยู่บนผ้าลินินลวดลายตารางเหม่อมองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มือข้างหนึ่งของเขาถือแก้วที่มีหยาดน้ำสีอำพันไว้เพียงหลวมๆ“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”วิเวียนเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ พร้อมเอ่ยออกมาด้วยความโล่งอกซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายเงยใบหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย“ฉันตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคุณ” ตอบพลางกระชับผ้าคลุมไหล่สร้างความอบอุ่น"พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับ""มีเรื่องอะไรกังวลใจหรือเปล่าคะ""เปล่าหรอก อาจจะไม่ชินกับการเข้านอนเร็วน่ะ นั่งก่อนสิ"หญิงสาวจึงหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญชวนพลางกวาดสายตาไปยังรอบๆ บริเวณจนมาหยุดอยู่ที่แก้วในมือของเขา“ขอฉันดื่มด้วยได้มั้ยคะ”“อย่าเลย”“น่านะ” น้ำเสียงแฝงความซุกซนแล้วทำท่าจะคว้าแก้วมาจาก
อชิระค่อยๆ โน้มกายพาเธอนอนราบลงบนผืนผ้าภายใต้เม็ดทรายนุ่มละเอียดแล้วใช้ฝ่ามือฟอนเฟ้นบีบคลึงสองเต้าใหญ่สลับหยอกล้อถันสีหวานจนแข็งเป็นไตปลายลิ้นร้ายกาจเริ่มไล้วนไปรอบๆ ส่วนยอดแล้วเข้าครอบครองไว้ในอุ้งปากร้อนก่อนจะดูดดึงอย่างตะกละตะกลามจนคนใต้ร่างบิดเร่าด้วยความทรมานกับสัมผัสที่เขามอบให้"อ้าส์"มือเล็กปัดป่ายสะเปะสะปะพร้อมส่งเสียงครางแผ่วหลุดลอดผ่านริมฝีปากบาง เมื่อผู้เป็นสามีลุ่มหลงอยู่กับเนินเนื้อทั้งสองข้างของเธอชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ ขณะความปวดร้าวอันเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแทบจะระเบิดออกมา กระทั่งฝ่ามือข้างหนึ่งเลื่อนลงต่ำผ่านหน้าท้องแบนราบแล้วแช่นิ่งตรงจุดหวงแหนยิ่งของกายสาวเขาเริ่มขยับเพียงแผ่วเบาแล้วเร่งจังหวะลูบไล้หนักขึ้นราวกับจะยั่วเย้าให้เธอทานทนต่อไปไม่ไหว"อ้ะ!" นิ้วเรียวยาวล่วงล้ำเข้าสู่ห้วงลึกของภรรยาสาวจนใบหน้าหวานบิดเบี้ยว"อื้อ คุณอาร์ค" ส่งเสียงครวญครางอู้อี้ เมื่ออีกฝ่ายขยับนิ้วที่ชุ่มฉ่ำหยาดน้ำหวานเข้าออกเนิบนาบแล้วเร่งจังหวะกระชั้นถี่อาการตอดรัดและบีบแน่นภายในทำให้เขาลอบยกยิ้มพึงพอใจกับการได้ปรนเปรอก่อนจะเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งนิ้วทำเอาเธอสะท้านเฮือกส่งเสียง
สองเดือนต่อมา…สายตาแทบทุกคู่ของผู้เข้าร่วมงานการกุศลจ้องมองไปยังคู่สามีภรรยาที่เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยความตื่นตาตื่นใจฝ่ายชายสวมสูทสีดำเรียบหรูดูสง่าและน่าเกรงขาม ขณะที่ฝ่ายหญิงมาในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงดูโดดเด่นสะดุดตา ชายกระโปรงของเธอพลิ้วไหวไปตามจังหวะการก้าวเดินเรือนผมสีน้ำตาลธรรมชาติถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีตเข้ากันกับลำคอระหงที่ประดับด้วยสร้อยเพชรเม็ดงามส่องประกายระยิบระยับสมเกียรติภรรยาทายาทธุรกิจเครื่องประดับทั้งสองเดินเข้าไปทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ตามมารยาท กระทั่งไฮโซผมสีดอกเลาคนหนึ่งเปิดบทสนทนาที่คู่สามีภรรยาพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดด้วยความอยากรู้อยากเห็น"คู่นี้เมื่อไหร่จะมีข่าวดีจ๊ะ"ใบหน้าหวานของวิเวียนที่เดิมทีฉายแววสดใสมีชีวิตชีวาเจื่อนลงถนัดตาก่อนจะหันไปมองผู้เป็นสามีอย่างคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทางนั้นยิงคำถามออกมาอีกครั้ง“ธุรกิจออกจะใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่มีทายาทสืบทอดก็น่าเสียดายแย่ ว่ามั้ยจ๊ะ”“ผมคิดว่าปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกันครับ” อชิระสวนกลับทันที“หรือถ้าวิธีธรรมชาติไม่ได้ผล ลองปรึกษาแพทย์เพื่อใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยก็ดีเหมือนกันนะ ฉั
ฟู่ว~เจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดเดรสสีขาวเรียบหรูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนจะค่อยๆ ระบายออกทางปากหวังลดความรู้สึกประหม่านัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นยังคงจ้องมองเปลวเทียนที่ส่องแสงสลัวกลางโต๊ะไม้สักภายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ที่เธอตั้งใจเนรมิตให้เป็นสถานที่สำหรับรับประทานอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษหญิงสาวนั่งรอการกลับมาจากทำงานของผู้เป็นสามีตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสลับกับจิบน้ำเปล่าอยู่เป็นระยะด้วยความตื่นเต้น"เนื่องในโอกาสอะไรน่ะ" เสียงประหลาดใจของคนที่เธอกำลังรอคอยดังขึ้นจากทางด้านหลังยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอกกระทั่งร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างภรรยาสาวแล้วโน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากของเธอแผ่วเบาเป็นการทักทายก่อนจะพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางพูดขึ้นอีกครั้ง"วันวาเลนไทน์ก็ไม่ใช่ วันเกิดก็ไม่ใช่ วันครบรอบแต่งงานก็ผ่านมาแล้ว"คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นด้วยความฉงน เพราะผู้เป็นภรรยามักจะจัดดินเนอร์แบบนี้เฉพาะวันสำคัญเท่านั้นซึ่งหมายความว่า วันนี้ก็ต้องเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ แต่เขาดันนึกไม่ออกเลยจริงๆ"คือว่าฉันมี..." คำพูดมากมายที่
“คุณวิเวียนครับ ถึงเวลายาแล้วครับ” เสียงเข้มของบอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากเสียงเคาะประตูบานใหญ่ที่ดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดินของคฤหาสน์หลังโออ่าเงียบลงมือข้างหนึ่งของธาวินถือถาดคริสตัลใบเล็กซึ่งมีแก้วสมุนไพรสีอำพันส่งกลิ่นฉุนจมูกวางอยู่บนนั้น ขณะยืนรอเจ้าของห้องเปิดประตูให้อย่างใจเย็นทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ชายหนุ่มกลับรีบดึงพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูทสีดำแล้วไขลูกบิดผลักประตูเข้าไปทันทีความเงียบสงัดภายในห้องบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างตามลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้บอดี้การ์ดหนุ่มวางถาดยาลงบนโต๊ะพร้อมกับเรียกชื่อเจ้าของห้องอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปตรวจดูตามห้องต่างๆ ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่ากระทั่งมาหยุดยืนที่ประตูกระจกตรงระเบียงซึ่งถูกเปิดแง้มไว้และมีผ้าปูที่นอนสีขาวผูกยึดกับราวเหล็กเพื่อใช้โรยตัวจากชั้นสองลงสู่สวนดอกไม้นานาพันธุ์ ครั้นเห็นแบบนั้นเขาจึงต่อสายหาลูกน้องของตัวเองผ่านหูฟังไร้สายทันที“คุณวิเวียนไม่ได้อยู่ที่ห้อง คาดว่าเธอน่าจะกำลังแอบหนีไปข้างนอก เพราะฉะนั้นรีบตรวจสอบกล้องวงจรทุกจุดแล้วปิดทุกช่องทางออกให้เร็วที่สุด”“พวกมึงรู้ใช่มั้ย? ว่าถ
“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ” รวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปในที่สุด“ผมควรจะเป็นฝ่ายที่ต้องถามมากกว่าว่าทำไมคุณถึงกล้าทำแบบนี้”ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีสงบนิ่งราวกับรูปปั้นเริ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เมื่อไล่สายตามองเรือนร่างบอบบางของภรรยาสาวที่อยู่ในชุดเดรสรัดรูปเผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน“ก็แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้” สวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้พวงแก้มใสบนใบหน้าหวานจะซีดขาวเพราะความกลัวก็ตาม"เพราะการกระทำของคุณกำลังทำให้ผมคิดไปในทางนั้น..."“ทางนั้น?”"คุณคงไม่ได้แอบมีคนอื่นหรอกใช่มั้ย" หรี่สายตามองเธออย่างจับผิด อาจเพราะช่วงหลังมานี้สัมผัสได้ถึงความหมางเมินที่ภรรยามีต่อเขาจนอดไม่ได้ที่จะคิดอะไรแบบนั้น"คุณให้ลูกน้องจับตาดูฉันราวกับนักโทษในแดนประหารแล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปมีคนอื่นล่ะคะ" ประชดประชันอย่างเจ็บแสบ"แล้วทำไมคุณถึงพยายามหนีออกมาอย่างกับนัดใครไว้ จะให้ผมคิดเรื่องนี้ยังไง?"รอยยิ้มเยาะถูกยกขึ้นตรงมุมปากของร่างสูงที่กำลังเคลื่อนกายเข้าใกล้หญิงสาวจนเธอรีบถอยหนี ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมา“ทำไมไม่ตอบ หืม...” ความเงียบไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของเขาสงบลง รังแต่จะเพิ่มความขุ่นเคืองมากขึ้
คนใต้ร่างหอบหายใจรัวแรงจนเนินเนื้อทั้งสองข้างกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะก่อนจะสอดเรียวนิ้วทั้งห้าเข้าไปขยุ้มเรือนผมสีดำธรรมชาติของเขาเพื่อระบายอารมณ์ความต้องการอันแสนวาบหวามคนที่เป็นฝ่ายปรนเปรอดูจะทรมานรวดร้าวรอคอยการได้ปลดปล่อยไม่ต่างกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามยืดระยะเวลาเพื่อมอบความหฤหรรษ์ให้เธออย่างถึงที่สุดฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งค่อยๆ เลื่อนลงไปลูบไล้ยังเรียวขางามทำเอาขนกายของเธอลุกชันก่อนจะวกกลับมาหยุดอยู่ที่เนินเนื้ออวบอูมปราศจากแพรไหมน่าสัมผัสส่งผลให้ภายในช่องท้องบีบรัดจากเพลิงพิศวาสอันซาบซ่านที่ถูกเขาปลุกปั่น"อื้ม..."กระทั่งปลายนิ้วร้ายเริ่มขยับกรีดกรายกลีบกุหลาบที่ปิดสนิทก่อนจะแหวกออกหยอกล้อกับติ่งเกสรทำเอาเรือนร่างบอบบางแอ่นกายตอบรับสัมผัสนั้นพลางสูดปากด้วยความเสียวซ่านนัยน์ตาลึกล้ำจับจ้องใบหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อแทบไม่กะพริบ เธอยังคงหลับตาพริ้มล่องลอยไปกับทุกสัมผัสที่เขามอบให้พร้อมส่งเสียงออกมาไม่ขาดปาก"อ้าส์"เรียวนิ้วที่บัดนี้อาบชโลมไปด้วยความชุ่มฉ่ำค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปในโพรงเนื้อบอบบางก่อนจะขยับเข้าออกเนิบนาบส่งผลให้ช่องทางร้อนระอุตอดรัดถี่ยิบ“อื้อ!”ในจังหวะนั้นเองท
ฟู่ว~เจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดเดรสสีขาวเรียบหรูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนจะค่อยๆ ระบายออกทางปากหวังลดความรู้สึกประหม่านัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นยังคงจ้องมองเปลวเทียนที่ส่องแสงสลัวกลางโต๊ะไม้สักภายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ที่เธอตั้งใจเนรมิตให้เป็นสถานที่สำหรับรับประทานอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษหญิงสาวนั่งรอการกลับมาจากทำงานของผู้เป็นสามีตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสลับกับจิบน้ำเปล่าอยู่เป็นระยะด้วยความตื่นเต้น"เนื่องในโอกาสอะไรน่ะ" เสียงประหลาดใจของคนที่เธอกำลังรอคอยดังขึ้นจากทางด้านหลังยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอกกระทั่งร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างภรรยาสาวแล้วโน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากของเธอแผ่วเบาเป็นการทักทายก่อนจะพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางพูดขึ้นอีกครั้ง"วันวาเลนไทน์ก็ไม่ใช่ วันเกิดก็ไม่ใช่ วันครบรอบแต่งงานก็ผ่านมาแล้ว"คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นด้วยความฉงน เพราะผู้เป็นภรรยามักจะจัดดินเนอร์แบบนี้เฉพาะวันสำคัญเท่านั้นซึ่งหมายความว่า วันนี้ก็ต้องเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ แต่เขาดันนึกไม่ออกเลยจริงๆ"คือว่าฉันมี..." คำพูดมากมายที่
สองเดือนต่อมา…สายตาแทบทุกคู่ของผู้เข้าร่วมงานการกุศลจ้องมองไปยังคู่สามีภรรยาที่เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยความตื่นตาตื่นใจฝ่ายชายสวมสูทสีดำเรียบหรูดูสง่าและน่าเกรงขาม ขณะที่ฝ่ายหญิงมาในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงดูโดดเด่นสะดุดตา ชายกระโปรงของเธอพลิ้วไหวไปตามจังหวะการก้าวเดินเรือนผมสีน้ำตาลธรรมชาติถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีตเข้ากันกับลำคอระหงที่ประดับด้วยสร้อยเพชรเม็ดงามส่องประกายระยิบระยับสมเกียรติภรรยาทายาทธุรกิจเครื่องประดับทั้งสองเดินเข้าไปทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ตามมารยาท กระทั่งไฮโซผมสีดอกเลาคนหนึ่งเปิดบทสนทนาที่คู่สามีภรรยาพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดด้วยความอยากรู้อยากเห็น"คู่นี้เมื่อไหร่จะมีข่าวดีจ๊ะ"ใบหน้าหวานของวิเวียนที่เดิมทีฉายแววสดใสมีชีวิตชีวาเจื่อนลงถนัดตาก่อนจะหันไปมองผู้เป็นสามีอย่างคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทางนั้นยิงคำถามออกมาอีกครั้ง“ธุรกิจออกจะใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่มีทายาทสืบทอดก็น่าเสียดายแย่ ว่ามั้ยจ๊ะ”“ผมคิดว่าปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกันครับ” อชิระสวนกลับทันที“หรือถ้าวิธีธรรมชาติไม่ได้ผล ลองปรึกษาแพทย์เพื่อใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยก็ดีเหมือนกันนะ ฉั
อชิระค่อยๆ โน้มกายพาเธอนอนราบลงบนผืนผ้าภายใต้เม็ดทรายนุ่มละเอียดแล้วใช้ฝ่ามือฟอนเฟ้นบีบคลึงสองเต้าใหญ่สลับหยอกล้อถันสีหวานจนแข็งเป็นไตปลายลิ้นร้ายกาจเริ่มไล้วนไปรอบๆ ส่วนยอดแล้วเข้าครอบครองไว้ในอุ้งปากร้อนก่อนจะดูดดึงอย่างตะกละตะกลามจนคนใต้ร่างบิดเร่าด้วยความทรมานกับสัมผัสที่เขามอบให้"อ้าส์"มือเล็กปัดป่ายสะเปะสะปะพร้อมส่งเสียงครางแผ่วหลุดลอดผ่านริมฝีปากบาง เมื่อผู้เป็นสามีลุ่มหลงอยู่กับเนินเนื้อทั้งสองข้างของเธอชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ ขณะความปวดร้าวอันเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแทบจะระเบิดออกมา กระทั่งฝ่ามือข้างหนึ่งเลื่อนลงต่ำผ่านหน้าท้องแบนราบแล้วแช่นิ่งตรงจุดหวงแหนยิ่งของกายสาวเขาเริ่มขยับเพียงแผ่วเบาแล้วเร่งจังหวะลูบไล้หนักขึ้นราวกับจะยั่วเย้าให้เธอทานทนต่อไปไม่ไหว"อ้ะ!" นิ้วเรียวยาวล่วงล้ำเข้าสู่ห้วงลึกของภรรยาสาวจนใบหน้าหวานบิดเบี้ยว"อื้อ คุณอาร์ค" ส่งเสียงครวญครางอู้อี้ เมื่ออีกฝ่ายขยับนิ้วที่ชุ่มฉ่ำหยาดน้ำหวานเข้าออกเนิบนาบแล้วเร่งจังหวะกระชั้นถี่อาการตอดรัดและบีบแน่นภายในทำให้เขาลอบยกยิ้มพึงพอใจกับการได้ปรนเปรอก่อนจะเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งนิ้วทำเอาเธอสะท้านเฮือกส่งเสียง
“หายไปไหนนะ” ริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบาขณะสาวเท้าเดินเข้าไปตามห้องต่างๆ ภายในบ้านด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมายามวิกาลแล้วพบว่าข้างกายปราศจากผู้เป็นสามีกระทั่งสายตาเหลือบเห็นแสงไฟสลัวๆ บริเวณชายหาดพร้อมกับการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นคนที่กำลังตามหาจึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้นทันทีชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าอยู่บนผ้าลินินลวดลายตารางเหม่อมองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มือข้างหนึ่งของเขาถือแก้วที่มีหยาดน้ำสีอำพันไว้เพียงหลวมๆ“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”วิเวียนเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ พร้อมเอ่ยออกมาด้วยความโล่งอกซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายเงยใบหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย“ฉันตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคุณ” ตอบพลางกระชับผ้าคลุมไหล่สร้างความอบอุ่น"พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับ""มีเรื่องอะไรกังวลใจหรือเปล่าคะ""เปล่าหรอก อาจจะไม่ชินกับการเข้านอนเร็วน่ะ นั่งก่อนสิ"หญิงสาวจึงหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญชวนพลางกวาดสายตาไปยังรอบๆ บริเวณจนมาหยุดอยู่ที่แก้วในมือของเขา“ขอฉันดื่มด้วยได้มั้ยคะ”“อย่าเลย”“น่านะ” น้ำเสียงแฝงความซุกซนแล้วทำท่าจะคว้าแก้วมาจาก
สัปดาห์ต่อมา...ทันทีที่เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวร่อนลงจอดบนลานใกล้ชายหาด เจ้าของเรือนร่างบอบบางในชุดลายดอกไม้สีสันสดใสรีบก้าวเท้าลงมาด้วยความตื่นเต้นเสียงคลื่นซัดสาดสาดกระทบชายฝั่งดังแว่วตามสายลมอบอุ่นในช่วงบ่ายคล้อยของวันผสานกลิ่นอายโอโซนแสนสดชื่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลายเสมือนได้รับอิสรภาพคืนกลับมานัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังคงกวาดมองทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าปลอดโปร่งที่ถูกแต่งแต้มด้วยก้อนเมฆปุกปุยสีขาวตัดกับผืนน้ำทะเลใสซึ่งมีดวงอาทิตย์ส่องสะท้อนเปล่งประกายระยิบระยับหญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดจนในชั่วขณะหนึ่งก็รับรู้ได้ถึงความเงียบสงบก่อนจะถอดรองเท้าแล้ววิ่งไปบนผืนทรายขาวละเอียดตามคำเรียกร้องของหัวใจ“วิ! อย่าวิ่งสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”ร่างสูงที่เพิ่งก้าวลงมาจากเครื่องบินตะโกนตักเตือนไล่ตามหลังพร้อมทอดถอนใจกับการกระทำเหมือนเด็กน้อยของเธอแล้วก้มลงหยิบรองเท้าที่เจ้าของทิ้งไว้อย่างไม่ดูดำดูดี“คุณวิเวียนดูจะมีความสุขมากเลยนะครับ”“อืม” เขาครางตอบในลำคอเพราะเห็นด้วยกับความคิดของลูกน้องคนสนิท“คุณอาร์คก็ดูสบายใจขึ้นมากเหมือนกันนะครับ” หันมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูผ่อ
“จากผลการตรวจร่างกายของคุณทั้งสองไม่พบความผิดปกติอะไรนะคะ”แพทย์หญิงวัยกลางคนระบายรอยยิ้มละมุนพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะเริ่มอธิบายผลการตรวจที่แสดงอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดอีกครั้งวิเวียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นขณะตั้งใจฟังสิ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังอธิบาย ทว่าชายหนุ่มข้างกายกลับขมวดคิ้วมุ่น แววตาลึกล้ำฉายความฉงนอย่างเห็นได้ชัดอันที่จริงการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีบุตรยากไม่ได้อยู่ในแผนการของพวกเขาตั้งแต่แรก ทว่าหลังจากรับประทานอาหารพร้อมครอบครัวในวันนั้น ท่านทั้งสองหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยแล้วแนะนำแกมบังคับให้ลองมาตรวจร่างกายกันใหม่อีกครั้ง“ถ้าคุณหมอบอกว่าร่างกายของพวกเราแข็งแรงดี แล้วทำไมถึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีลูกล่ะครับ” เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาเนิ่นนานเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่ได้รับคำแนะนำทุกอย่าง“เมื่อสักครู่นี้หมอได้อธิบายผลการตรวจร่างกายของพวกคุณอย่างละเอียดไปแล้ว ทีนี้เรามาต่อกันที่สภาพจิตใจบ้างนะคะ" พอพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงกลับดูจริงจังมากขึ้น“ความเครียดเป็นตัวการหลักที่จะเข้าไปรบก
หนึ่งเดือนต่อมา..."วิ เป็นยังไงบ้าง"ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องน้ำตะเบ็งเสียงถามคนข้างในด้วยความตื่นเต้นจนปิดไม่มิด หลังจากภรรยาสาวหายเข้าไปในนั้นพร้อมชุดทดสอบการตั้งครรภ์สักพักแล้วเนื่องจากประจำเดือนที่มักจะมาตรงแทบทุกเดือนดันคลาดเคลื่อนไปราวหนึ่งสัปดาห์ พอเขารู้เข้าแบบนั้นก็รีบปลุกให้เธอลุกขึ้นมาตรวจตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำอชิระถึงกับอยู่ไม่เป็นสุขคอยเดินไปเดินมาพลางจับจ้องประตูห้องน้ำท่าทางลุ้นๆ บัดนี้หัวใจของเขาเต้นรัวแรงแทบหลุดออกจากอกจนอยากจะเปิดประตูเข้าไปอยู่ด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดพลั่ก!"กี่ขีด!" โพล่งถามทันทีที่ประตูถูกเปิดออกแล้วหยุดยืนมองเรือนร่างบอบบางที่อยู่ในชุดนอนลวดลายน่ารักอย่างรอคอยคำตอบวิเวียนตัดสินใจยื่นตลับตรวจให้ผู้เป็นสามีพร้อมกับหันใบหน้าไปมองทางอื่น หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่ความตื่นเต้นบนใบหน้าหล่อเหลาก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วหลงเหลือไว้เพียงแค่ความผิดหวังที่ไม่อาจหลบซ่อนพร้อมพึมพำออกมาเสียงแผ่ว"ขีดเดียวหรอกเหรอ""ที่ประจำเดือนมาเลทมันก็เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ใช่ว่าจะตั้งครรภ์เสมอไปอย่างที่คุณคิดหรอกนะคะ"
คนใต้ร่างหอบหายใจรัวแรงจนเนินเนื้อทั้งสองข้างกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะก่อนจะสอดเรียวนิ้วทั้งห้าเข้าไปขยุ้มเรือนผมสีดำธรรมชาติของเขาเพื่อระบายอารมณ์ความต้องการอันแสนวาบหวามคนที่เป็นฝ่ายปรนเปรอดูจะทรมานรวดร้าวรอคอยการได้ปลดปล่อยไม่ต่างกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามยืดระยะเวลาเพื่อมอบความหฤหรรษ์ให้เธออย่างถึงที่สุดฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งค่อยๆ เลื่อนลงไปลูบไล้ยังเรียวขางามทำเอาขนกายของเธอลุกชันก่อนจะวกกลับมาหยุดอยู่ที่เนินเนื้ออวบอูมปราศจากแพรไหมน่าสัมผัสส่งผลให้ภายในช่องท้องบีบรัดจากเพลิงพิศวาสอันซาบซ่านที่ถูกเขาปลุกปั่น"อื้ม..."กระทั่งปลายนิ้วร้ายเริ่มขยับกรีดกรายกลีบกุหลาบที่ปิดสนิทก่อนจะแหวกออกหยอกล้อกับติ่งเกสรทำเอาเรือนร่างบอบบางแอ่นกายตอบรับสัมผัสนั้นพลางสูดปากด้วยความเสียวซ่านนัยน์ตาลึกล้ำจับจ้องใบหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อแทบไม่กะพริบ เธอยังคงหลับตาพริ้มล่องลอยไปกับทุกสัมผัสที่เขามอบให้พร้อมส่งเสียงออกมาไม่ขาดปาก"อ้าส์"เรียวนิ้วที่บัดนี้อาบชโลมไปด้วยความชุ่มฉ่ำค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปในโพรงเนื้อบอบบางก่อนจะขยับเข้าออกเนิบนาบส่งผลให้ช่องทางร้อนระอุตอดรัดถี่ยิบ“อื้อ!”ในจังหวะนั้นเองท
“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ” รวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปในที่สุด“ผมควรจะเป็นฝ่ายที่ต้องถามมากกว่าว่าทำไมคุณถึงกล้าทำแบบนี้”ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีสงบนิ่งราวกับรูปปั้นเริ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ เมื่อไล่สายตามองเรือนร่างบอบบางของภรรยาสาวที่อยู่ในชุดเดรสรัดรูปเผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน“ก็แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้” สวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้พวงแก้มใสบนใบหน้าหวานจะซีดขาวเพราะความกลัวก็ตาม"เพราะการกระทำของคุณกำลังทำให้ผมคิดไปในทางนั้น..."“ทางนั้น?”"คุณคงไม่ได้แอบมีคนอื่นหรอกใช่มั้ย" หรี่สายตามองเธออย่างจับผิด อาจเพราะช่วงหลังมานี้สัมผัสได้ถึงความหมางเมินที่ภรรยามีต่อเขาจนอดไม่ได้ที่จะคิดอะไรแบบนั้น"คุณให้ลูกน้องจับตาดูฉันราวกับนักโทษในแดนประหารแล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปมีคนอื่นล่ะคะ" ประชดประชันอย่างเจ็บแสบ"แล้วทำไมคุณถึงพยายามหนีออกมาอย่างกับนัดใครไว้ จะให้ผมคิดเรื่องนี้ยังไง?"รอยยิ้มเยาะถูกยกขึ้นตรงมุมปากของร่างสูงที่กำลังเคลื่อนกายเข้าใกล้หญิงสาวจนเธอรีบถอยหนี ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมา“ทำไมไม่ตอบ หืม...” ความเงียบไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของเขาสงบลง รังแต่จะเพิ่มความขุ่นเคืองมากขึ้