วันต่อมา
นับดาวเดินฮั่มเพลงลงมาจากชั้นบนของบ้านอย่างสบายใจ เดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งบนโต๊ะอาหารที่มีบิดา แม่เลี้ยงใจยักษ์ และนีรนุชนั่งอยู่ด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังมีความสุขมากแค่ไหน เธอมองหน้าแม่เลี้ยงใจยักษ์พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากให้อย่างผู้ชนะ ก่อนเลื่อนสายตาไปบอกกล่าวกับบิดาเสียงดังฟังชัดจงใจให้ทุกคนได้ยินกันทั่วถึง "นับจดทะเบียนสมรสกับติณณภัทรววันนี้นะคะ ตอน 10โมง" ทุกคนที่นั่งบนโต๊ะอาหารไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน กลับหันไปมองนีรนุชที่นั่งหน้าเศร้าด้วยความเป็นห่วงทำให้เธออดหมั่นไส้ไม่ได้จึงจงใจพูดตอกย้ำให้นีรนุชเสียใจเข้าไปอีก "พี่นุชช่วยไปเป็นพยานรักให้นับกับติณณภัทร เอ้ย! ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าพี่ภัทรเพราะเรากำลังจะเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว พี่นุชช่วยไปเป็นสักขีพยานให้ได้ไหมคะ" ว่าจบเธอก็ลอบยิ้มออกมาอย่างสะใจกับสีหน้าของนีรนุชที่ดูจะแย่มากกว่าเก่า โดยเฉพาะแม่เลี้ยงใจยักษ์ที่มองเธอเขม็งคงโกรธเธอมากสินะที่ทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของตัวเอง ไหนจะผิดหวังที่ไม่ได้ลูกเขยรวยอย่างติณณภัทรอีก "แกจะพอได้หรือยังนับดาว จะตอกย้ำให้พี่เขาเสียใจไปถึงไหน" ทนงศักดิ์ที่นั่งหัวโต๊ะต่อว่าบุตรสาวคนเล็กอย่างเหลืออดทั้งที่พยายามข่มอารมณ์ไว้แล้ว แต่บุตรสาวก็ยังหาเรื่องไม่เลิกไม่รู้ว่าจงเกลียดจงชังอะไรบุตรสาวคนโตนักหนา "ตอกย้ำที่ไหนกันคะ นับเห็นว่าพี่นุชเป็นพี่หรอกถึงได้ชวนไปในงานสำคัญแบบนี้" นับดาวตอบอย่างลอยหน้าลอยตาพร้อมกับตักข้าวต้มเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย "ขอตัวก่อนนะคะนุชอิ่มแล้ว" นีรนุชมองหน้าน้องสาวต่างมารดาที่เธอรักอย่างจริงใจด้วยแววตาเจ็บปวด และตัดพ้อถูกคนอื่นแทงข้างหลังยังไม่เท่าถูกคนที่เธอเห็นเป็นน้องสาวมาตลอดแทงข้างหลัง เธอรู้ว่านับดาวไม่ชอบเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าจะทำร้ายกันได้ถึงขนาดนี้มันผิดหวัง เสียใจ และเจ็บปวดจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ "ขอตัวก่อนนะคะนุชอิ่มแล้ว" เธอรีบขอตัวออกจากโต๊ะอาหารทั้งที่ทานได้แค่ไม่กี่คำเพราะกลัวน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะไหลออกมาแล้วทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเสีย ทันทีที่ขึ้นมาถึงห้องนอนเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ต้องอายใครระบายความเจ็บปวดที่มันสุ่มอยู่ในอกกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอจึงค่อย ๆ เช็ดน้ำตาออกพยายามกลั้นก้อนสะอื้น หยิบโทรศัพท์มาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ติณณภัทร ชั่งใจอยู่ชั่วครู่จึงกดรับสายเพราะต้องการเคลียร์ใจให้มันจบ ๆ ไปก่อนที่เขาจะเป็นสามีของน้องสาวต่างมารดาอย่างเป็นทางการ เธอไม่อยากติดต่อ หรือเกี่ยวข้องกับติณณภัทรอีกเพราะเธอไม่อยากให้ประวัติซ้ำรอยผู้เป็นแม่ จะไม่ยอมให้คำว่าเมียน้อยมาแปดเปื้อนชีวิตเธอแน่นอน "ว่าไงภัทร" (นุชคงโกรธ และเกลียดภัทรมากใช่ไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้น ภัทรขอโทษนะนุช) "นุชให้อภัย เพราะนุชรู้ว่าภัทรไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเกิดขึ้น และนุชก็ดีใจนะที่ภัทรยอมรับผิดชอบน้องนับ นุชไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รักภัทร" (ทำไมนุชถึงได้แสนดีแบบนี้ ยิ่งเป็นแบบนี้ภัทรยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก หากนุชจะโกรธจะเกลียดภัทรต่อไปภัทรก็เข้าใจ) "ไม่ล่ะ นุชไม่อยากผูกใจเจ็บไม่อยากเป็นทุกข์เพราะความโกรธความเกลียด อะไรให้อภัยได้ก็ให้อภัยถือซะว่านุชกับภัทรไม่ใช่คู่กัน" (แล้วเรายังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ไหม) "ได้สิ แต่ให้เวลานุชหน่อยนะภัทร" (ขอบใจมากนะนุช ขอบใจจริง ๆ) ติณณภัทรเอ่ยขอบคุณซ้ำ ๆ รู้สึกซึ้งใจกับความแสนดีของนีรนุช ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ชอบนับดาวและรู้สึกผิดมากเข้าไปอีกทำไมคนดี ๆ อย่างนีรนุชถึงต้องถูกทำร้าย ส่วนคนนิสัยไม่ดีอย่างนับดาวกลับสมหวังและมีความสุข หลังจากวางสายนีรนุชติณณภัทรก็เดินลงไปยังชั้นล่างของบ้าน แล้วบอกกล่าวกับพ่อแม่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงให้รับรู้ "วันนี้ผมกับนับดาวจะไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ ส่วนงานแต่งนับดาวบอกว่าไม่ต้องจัด" "ก็ดีแล้วแม่ก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ว่าลูกคว้าผู้หญิงแบบนับดาวมาเป็นเมีย" อรอินตวัดสายตาเอ่ยกับบุตรชายอย่างเคือง ๆ แค่บุตรชายต้องจดทะเบียนสมรสกับนับดาวเธอก็ช้ำใจจะตายอยู่แล้ว "คุณก็เบา ๆ หน่อยเถอะ ยังไงหนูนับดาวก็จะมาเป็นลูกสะใภ้เราแล้ว" เอกรัฐส่งเสียงปรามภรรยาเบา ๆ ถึงเขาจะไม่ชอบในพฤติกรรมของนับดาวเท่าไร แต่ในเมื่อต้องตบแต่งมาเป็นภรรยาบุตรชายแล้วยังไงก็ต้องยอมรับให้ได้ อีกอย่างคนเราก็เคยทำผิด และพลาดพลั้งด้วยกันทุกคน "เป็นลูกสะใภ้คุณคนเดียวเถอะ ฉันไม่มีวันรับผู้หญิงแบบนั้นมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด" อรอินพาลโกรธสามีไปด้วยอีกคนที่ดันพูดไม่เข้าหูเธอ ก่อนจะลุกเดินสะบัดตูดขึ้นไปชั้นบนทิ้งให้สองคนพอลูกมองตามหลังด้วยความอ่อนใจ "งั้นผมไปก่อนนะครับพ่อ" ติณณภัทรมองตามหลังแม่จนสุดสายตา ก่อนจะบอกกล่าวกับผู้เป็นพ่อ แล้วเดินออกไปขึ้นรถขับตรงสู่ที่ว่าการอำเภอ รถของติณณภัทรกับนับดาวเคลื่อนตัวมาจอดที่ว่าการอำเภอในเวลาสิบโมงพอดีแป๊ะ ทั้งสองเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินมาประจบกันทางเข้าอาคารพอดี "สวัสดีค่ะว่าที่สามี" นับดาวเอ่ยทักทายร่างสูงที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปควงแขนเขาอย่างถือวิสาสะ ไม่ลืมจะพูดจายั่วโมโหเขาไปด้วย "เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ฉันอยากได้คุณเป็นผัวจนใจจะขาดแล้ว" "เธอนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ นับดาว ปล่อยแขนฉัน" ติณณภัทรถึงกับกัดกรามกรอดเอ่ยเสียงลอดไรฟันด้วยความโกรธพลางพยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมของผู้หญิงร้ายกาจ ทว่านอกจากอีกคนจะไม่สะทกสะท้านกับคำด่าแล้วยังมีหน้าส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับกอดแขนเขาแน่นขึ้นอีก ครั้นจะให้เขาทำอะไรรุนแรงก็เกรงจะเป็นจุดสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา "เร็ว ๆ สิคะ หรือคุณอยากให้พวกปาปารัสซี่มาเห็นแล้วถ่ายไปลงข่าว แบบนั้นก็ได้นะฉันชอบอยู่แล้วกับการเป็นข่าวเนี่ย" นับดาวจงใจเอ่ยให้ชายหนุ่มเป็นเดือดเป็นร้อน แล้วเดินเข้าไปทำทุกอย่างให้มันเสร็จ ๆ ไป ถึงปากเธอบอกจะชอบเป็นข่าวแต่ในใจตรงกันข้ามกันสิ้นเชิง เธอเกลียดการเป็นข่าวให้คนอื่นเมาท์เป็นที่สุด ที่ผ่านมาก็แค่ทำเพื่อประชดบิดาเท่านั้น สิ้นเสียงนับดาวติณณภัทรก็รีบเดินเข้าไปในอาคารทันทีเพราะไม่อยากเป็นข่าวตามที่หญิงสาวพูด ปล่อยให้อีกคนเดินควงแขนด้วยความจำใจ "มาจดทะเบียนสมรสค่ะ" เมื่อเข้าไปถึงนับดาวก็บอกกล่าวกับเจ้าหน้าที่ทันทีไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่นิดเดียว ติณณภัทรได้แต่เก็บกลั้นความโมโห และความรังเกียจนับดาวเอาไว้ในใจกับกิริยาที่เธอแสดงออกมาจนปิดไม่มิดว่าอยากได้เขาเป็นสามีจนตัวสั่น เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกขยาด "ได้ครับ เชิญนั่งเลย" สิ้นเสียงนับดาวเจ้าหน้าที่วัยกลางคนก็เชิญทั้งสองนั่ง ขอเอกสาร และทำการสอบถามข้อมูลทั่วไปจากนั้นก็หยิบเอกสารให้ทั้งสองเซ็น ทั้งนับดาวและติณณภัทรรับเอกสารมาเซ็นโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาต้องการเพียงทำทุกอย่างให้มันเสร็จ ๆ ไป เพราะสำหรับทั้งสองแล้วการจดทะเบียนในครั้งนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลยสักนิด เมื่อเซ็นเสร็จรอเพียงไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มอบใบสำคัญการสมรสให้ "ทีนี่ก็เรียกสามีได้เต็มปากเต็มคำแล้วนะคะคุณสามีข๋า" นับดาวจงใจเอ่ยยั่วโมโหชายหนุ่มพร้อมกับก้มมองใบทะเบียนสมรสในมือที่มีชื่อเธอกับเขาอยู่ ขณะกำลังเดินออกไปขึ้นรถทำให้ติณณภัทรที่เดินนำด้านหน้าถึงกับหยุดชะงัก หันกลับไปมองเจ้าของคำพูดไร้ยางอายด้วยแววตาวาวโรจน์ "เลิกเรียกฉันแบบนั้นสักที ฟังแล้วแสลงหู แล้วก็จำใส่สมองน้อย ๆ ของเธอไว้ด้วยว่าต่อให้โลกนี้มีเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวฉันก็ไม่มีวันเอามาทำเมีย เชิญนอนกอดใบทะเบียนสมรสไปคนเดียวเถอะนับดาว" เอ่ยใส่หน้าคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจ้องมองราวกับจะฉีกร่างเธอออกเป็นชิ้น ๆ เพราะความอดทนเริ่มหมดลงเรื่อย ๆ แล้ว ว่าจบก็หมุนตัวเดินต่อ "คิดว่าฉันพิศวาสคุณนักหรือไง ผู้ชายอะไรเถื่อนชะมัด" นับดาวทำปากขมุบขมุบต่อว่าร่างสูงที่เดินตัวปลิวออกไปด้วยความหมั่นไส้ และบอกเลยยิ่งเขาแสดงออกมาชัดเจนว่ารังเกียจเธอแบบนี้เธอก็ยิ่งอยากเอาชนะ รีบสาวเท้าเดินกึ่งวิ่งตามไปปากก็ร้องเรียกไม่ขาดสาย "สามีข๋ารอเมียด้วยสิคะ จะรีบเดินไปไหนกันเมียเดินตามไม่ทันแล้วนะ" เสียงของนับดาวทำให้คนที่เดินสวนไปมาต่างพากันมอง บางก็ซุบซิบกัน บางก็อมยิ้มทำเอาติณณภัทรขายหน้าแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี สุดท้ายก็ต้องหยุดเดินแล้วหันไปมองตัวต้นเหตุอีกครั้ง เมื่อเธอเดินมาถึงก็ต่อว่าด้วยความโมโห "หุบปากสักทีนับดาว อย่าให้ผมรังเกียจคุณไปมากกว่านี้เลย" เขารู้สึกโกรธเธอมากจริง ๆ นึกรังเกียจกับการกระทำของเธอจนไม่อยากอยู่ใก้ลสักวินาทีเดียว "ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็ไสหัวไป" "อย่าใจร้ายกับเมียสิคะผัวข๋า เราจดทะเบียนกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันสิคะ" นับดาวทำเหมือนว่าคำพูดแสนร้ายกาจของติณณภัทรเป็นอากาศยังคงยิ้มหน้าระรื่น เดินเข้าไปเกาะแขนถูไถแก้มไปมาอย่างออดอ้อน ยิ่งอีกคนพยายามหลีกหนีเธอก็ยิ่งกอดแขนเขาแน่นขึ้นโทษฐานที่รังเกียจเธอดีนัก การกระทำของหญิงสาวทำให้ความอดทนที่เหลือเพียงน้อยนิดของติณณภัทรหมดลง ใช้มืออีกข้างจับมือของเธอแล้วบีบอย่างแรง จนอีกคนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บ "ฉันเจ็บนะ" ร้องท้วงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่เขากลับออกแรงบีบมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั้งเธอเจ็บจนทนไม่ไหวต้องยอมคลายพันธนาการออกจากแขนแกร่ง ติณณภัทรรีบสาวเท้าเดินจากไปทันทีที่ได้รับอิสระไม่คิดจะพูดกับผู้หญิงไร้ยางอายให้เสียเวลาเพราะแค่นี้เขาก็เสียเวลาอันมีค่าไปกับเธอมากพอแล้ว ทิ้งให้นับดาวยืนก่นด่าตามตามหลังด้วยความโมโห คิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะยอมแพ้เหรอบอกเลยว่าไม่มีทาง ร้องตะโกนในใจว่าคนอย่างนับดาวสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นโว้ย@คอนโดนับดาวนับดาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงทันทีที่มาถึงคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ ทว่าเธอหลับตาลงได้ไม่ทิ้งห้านาทีก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังขึ้นระรัว รีบเอื้อมมือไปหยิบมาดูปรากฏว่าเป็นเบอร์ส้มจึงกดรับสาย(เห็นข่าวตัวเองรึยังนับ ตอนนี้เต็มโซเชียลไปหมด แล้วแกก็อธิบายมาด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมในข่าวถึงแกถึงย่องจดทะเบียนสมรสกับคุณติณณภัทร)ทันทีที่เธอกดรับปลายสายก็พ่นคำพูดใส่จนไฟแลบ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เธอตกใจเท่ากับประโยคที่เพื่อนสาวบอกในที่สุดเรื่องของเธอกับติณณภัทรก็เป็นข่าวจนได้ เธอลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนตอบเพื่อนสาวไป "แกมาหาฉันที่คอนโดสิ เดี๋ยวจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง"(โอเคฉันจะรีบไป) ว่าจบปลายสายก็วางไป นับดาวจึงรีบเปิดเฟสบุ๊คเพื่อดูข่าวของตัวเองซึ่งมันเป็นไปตามที่เพื่อนสาวบอกไม่มีผิด หน้าฝืดเต็มไปด้วยข่าวของเธอกับติณณภัทรที่คนนับพันต่างพากันแชร์ รีบกดเข้าไปอ่านเนื้อหาข่าวด้วยความอยากรู้ว่างานนี้นักข่าวจะตีสีใส่ไข่ไปมากแค่ไหนเป็นประเด็นร้อนแรงอีกแล้วนะคะสำหรับนางแบบสาวคนดังอย่าง 'นับดาว พรนับพัน จิระกาญ' ที่ย่องไปจดทะเบียนสมรสแบบเงียบ
วันต่อมาหลังจากทำธุรส่วนตัวเสร็จนับดาวก็หยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาติณณภัทรทันทีเพื่อบอกล่าวว่าเธอจะไปหาพ่อแม่เขาที่บ้าน ถือสายรอไม่นานปลายสายก็กดรับ(มีอะไร)"เมียแค่จะโทรมาบอกสามีนะคะ ว่าตอนนี้กำลังจะขับรถไปไหว้พ่อกับแม่สามีที่บ้าน พร้อมกับขนเสื้อผ้าไปอยู่กับสามีแล้ว" เธอเอ่ยบอกปลายสายอย่างอารมณ์ดี(หยุดเลยนะนับดาว ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไรหยุดคิดเดี๋ยวนี้) ปลายสายกดเสียงพูดอย่างดุดัน ทว่านับดาวหาได้สนใจไม่ ตอบกลับอย่างท้าทาย "ไม่หยุดค่ะ เจอกันที่บ้านนะคะคุณสามี บ๊ายบาย" ว่าจบก็กดวางสายเธอหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเพียงคิดว่าตอนนี้อีกคนกำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนจะรีบขับรถตรงไปยังบ้านของเขาด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงบ้านอัครกุลปรากฏว่าเห็นรถชายหนุ่มจอดอยู่แล้วไม่รู้ว่าตอนที่เธอโทรมาเขาอยู่บ้านอยู่แล้ว หรือพอรู้ว่าเธอจะมาเลยรีบกลับบ้านก่อนกันแน่ ที่สำคัญตอนนี้เขากำลังเดินหน้าบอกบุญไม่รับตรงมายังรถของเธอราวกับว่ากำลังรอการมาของเธออยู่ เธอกระตุกยิ้มมุมปากอย่างคนเหนือกว่า ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถยืนมองเขาพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้ "สามีมารับเมียเหรอคะ""ฉันมาไล่ต่างหาก กลับไปบ้านนี้ไม่มีใครต้อนรับเธ
"โอ้ย! คุณทำบ้าอะไรเนี่ยติณณภัทร" นับดาวร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นเมื่ออีกคนเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่เธอนั่งอยู่ แล้วจับแขนดึงให้เธอลงจากรถ เธอพยายามขืนตัวใช้อีกมือเหนี่ยวรั้งเบาะสุดแรงไม่ให้ตัวลอยไปตามแรงดึง แต่ก็ไม่อาจต้านกำลังคนตัวโตกว่าได้ สุดท้ายก็ถูกเขาดึงออกจากรถได้สำเร็จทันทีที่ดึงหญิงสาวออกจากรถได้สำเร็จติณณภัทรก็รีบเดินกลับไปขึ้นรถฝั่งคนขับจัดการล็อกประตูรถด้วยความเร็วไม่ต้องการให้อีกคนขึ้นรถได้ จากนั้นก็ขับออกไปโดยไม่สนใจสักนิดว่าเธอจะกลับยังไง "อ๊าย! ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย" นับดาวส่งเสียงกรีดในลำคอกระโดดเต้นเร่า ๆ ด้วยความโมโห สายตามองตามรถคันหรูที่เคลื่อนจากไปอย่างคับแค้นใจ ก่อนจะกลับมาสนใจสภาพตัวเองต่อว่าจะกลับไปที่บ้านชายหนุ่มยังไงตอนนี้เธอไม่มีทั้งกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์ติดตัวเลยเพราะอยู่ในรถยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความแค้นนี้เธอจะต้องได้ชำระคิดว่าทำแบบนี้จะล้มเลิกความตั้งใจเธอได้เหรอบอกเลยว่าไม่ ยิ่งเขาทำแบบนี้ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากเอาชนะเธอพยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนหันซ้ายแลขวามองหารถแท็กซี่เผื่อว่าจะขับผ่านมาบ้างเธอจะได้กลับที่บ้านชายหนุ่มอีกคร
หลังจากเอาของเครื่องใช้ในกระเป๋าสัมภาระใบเล็กที่พกมาด้วยวางในห้องเรียบร้อยแล้ว นับดาวก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินลงไปยังชั้นล่าง ก่อนจะพบกับติณณภัทรที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นจึงเดินเข้าไปหา หย่อนก้นนั่งจนตัวแทบสิงกับเขา"เมียขอนั่งด้วยนะคะสามี" จงใจยั่วอารมณ์ของเขา และมันก็ได้ผลอีกคนรีบขยับตัวออกห่างทำเหมือนรังเกียจเธอมาก ๆ สายตาจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเธอยังไงยังงั้น กดเสียงพูดอย่างดุดัน"เลิกวุ่นวายกับฉันสักทีนับดาว""เมียคงทำไม่ได้ผัวค่ะผัวข๋า" ไม่ว่าเปล่าคราวนี้เธอขยับขึ้นไปนั่งบนตักของเขาพร้อมกับใช้มือโอบลำคอแกร่งไว้"เธอจะท้าทายฉันมากไปแล้วนะ" ติณณภัทรถึงกับความอดทนขาดผึ่งไม่คิดหยั่งมืออีกต่อไป ผลักร่างบางอย่างแรงจนเธอกระเด็นออกจากตักล้มลงไปนั่งกองที่พื้น เขาชายตามองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินออกไปไม่คิดสนใจใยดีแรงกระแทกกับพื้นแข็งทำเอานับดาวเจ็บไม่น้อย แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือใจ มองตามหลังร่างสูงที่เดินจากไปด้วยแววตาโกรธเคือง พร้อมกับสบถออกมาเบา ๆ "ไอ้บ้าเอ้ย! เจ็บชะมัด" ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังศาลาที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ครืดดด~เ
ติ๊ง! ติ๊ง!เสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องปลุกให้นับดาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่"อื้อ..เช้าแล้วเหรอเนี่ยเพิ่งนอนไปเอง" เธอส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ พลางปรือตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังง่วงจัด เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ครึ่งค่อนคืนเพราะไม่คุ้นกับที่นอนใหม่เท่าไรจะนอนต่อก็ไม่ได้มาอยู่บ้านคนอื่นในฐานะลูกสะใภ้ก็ควรตื่นเช้าทำตัวให้เหมาะสมสักหน่อยจะได้ไม่โดนว่า ถึงแม้ไม่ได้เป็นลูกสะใภ้จริง ๆ ก็ตามเธอพาตัวเองลงจากเตียงอย่างขี้เกียจ จัดการอาบน้ำแต่งตัว เมื่อเสร็จก็เดินลงไปยังชั้นล่างในเวลาเจ็ดโมงกว่า ๆ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์เลยทีเดียวเพราะปกติตะวันไม่ชี้โด่เธอไม่มีทางลุกจากที่นอนแน่นอน นอกเสียจากวันไหนมีถ่ายงานเช้าเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เธอจึงเดินเข้าไปร่วมแจม แม้รู้ว่าแม่สามีกับคนที่ได้ชื่อว่าสามีไม่อยากร่วมโต๊ะด้วย ทำไมเธอถึงรู้น่ะเหรอก็มือค่ำของเมื่อวานทั้งสองคนไม่ยอมลงมาทานข้าว แต่กลับสั่งให้แม่บ้านยกขึ้นไปให้ในห้อง ทิ้งให้เธอนั่งทานกับพ่อสามีสองคน ถามว่าเธอรู้สึกอะไรไหมตอบเลยว่าไม่กลับทานข้าวอร
"ว๊าย!"เอี๊ยดดด!นับดาวกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับเหยียบเบรกกะทันหันจนเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนดังสนั่นทั่วบริเวณเมื่อจู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาปาดหน้าหลังงจากขับรถออกจากบ้านจิระกาญได้เพียงสิบกิโลเมตรส่งผลให้เธอหน้าคะมำชนพวงมาลัยรถเต็ม ๆ แต่นับว่าโชคยังดีที่รัดเข็มขัดนิรภัยไม่อยากนั้นอาจเจ็บตัวมากกว่านี้ก็ได้"บ้าเอ๊ยขับรถภาษาอะไรว่ะ" เธอสบถออกมาด้วยโกรธ เมื่อตั้งสติได้ก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินไปหาคู่กรณีสองคนที่จอดรถขว้างอยู่"พวกคุณขับรถภาษาอะไรกัน เกิดฉันเบรกไม่ทันโดนชนขึ้นมาจะทำยังไง" ต่อว่าไปด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด"กรี๊ด!" ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมาเธอก็ต้องร้องกรี๊ดด้วยความตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ คู่กรณีซึ่งน่าจะเป็นผู้หญิงกับผู้ชายปาไข่ไก่ดิบเข้าใส่ ซึ่งมันพุ่งโดนหน้าผากเต็ม ๆ ทำเอาเธอเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า ก่อนไข่จะแตกลงชะโลมใบหน้าของเธอจนเละแทะ กลิ่นคาวของมันแทบทำให้เธออาเจียนออกมา"กรี๊ด! พวกคุณทำบ้าอะไร มาปาไข่ใส่ฉันทำไม" เธอกรี๊ดออกมาอย่างรับไม่ได้พลางยกมือขึ้นลูบไข่ออกจากใบหน้า ทว่าสองคนนั้นก็ยังปาไข่ใส่ไม่หยุดราวกับห่าฝนทำให้เธอโดนไข่เข้าไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แรงกระแ
ติณณภัทรไม่คิดจะผลักหญิงสาวออกเหมือนครั้งที่ผ่านมาในเมื่อเธออยากเล่นแบบนี้เขาก็จะเล่นด้วยเพราะถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ชายไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรมือหนายกขึ้นกดท้ายทอยเล็กทุยไว้มั่น แล้วบดจูบกลีบปากนุ่มหยุ่นตอบอย่างหนักหน่วง จูบราวกับจะกระชากวิญญาณอีกคนออกจากร่าง ใช้ฟันขบเม้มฝากรอยแผลบนกลีบปากทำให้เธอรู้ว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่าเจ้าของริมฝีปากอิ่มถึงกับประมวลผลไม่ทันกับการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของชายหนุ่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีรังเกียจกันอยู่เลย เธอเผลอจิกเล็บลงบนไหล่กว้างอย่างแรงในตอนที่อีกคนขบกัดกลีบปากซ้ำ ๆ จนรู้สึกเจ็บแปลบ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ กลิ่นคาวเลือดลอยแตะจมูกจนเธอแทบอยากจะอาเจียน แค่นั้นไม่พอเขายังบดขยี้บนแผลอย่างรุนแรงจนร้าวระบมไปหมดตอนนี้ดูเหมือนเธอจะเสียเปรียบเขาเสียแล้วคล้ายกับตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมแพ้จูบตอบ ขบกัดริมฝีปากหนาฝากรอยแผลให้เขาเช่นกันภายในห้องนอนคุกรุ่นไปด้วยแรงอารมณ์ของทั้งสอง ต่างคนต่างอยากเอาชนะ ติณณภัทรใช้ความช่ำชองเล่นงานหญิงสาวทั้งบดขยี้ ขบกัดกลีบปากนุ่มซ้ำ ๆ เรียวลิ้นกวาดต้อนในโพรงปากฉ่ำต้องการ
"อึก" นับดาวรู้สึกปวดร้าวระบมตรงกลางกลายเป็นอย่างมากเมื่อคนด้านบนเริ่มสอบสะโพกกระแทกกระทั้นท่อนเนื้อใหญ่โตเข้าออกในร่องสาวแห้งฝืด ความเจ็บทำเอาเธอเผลอหุบขาเข้าอย่างลืมตัว แต่ก็โดนมือหนาจับให้ถ่างออกอีกครั้ง ทั้งที่เป็นครั้งที่สองแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเจ็บมากขนาดนี้กันนะ ไหนใครบอกว่าเซ็กซ์ทำให้มีความสุขไงนั่นมันคงจะใช้ได้กับคนที่เป็นคู่รักกันเท่านั้นแหละ มือเรียวขยำผ้าปูที่นอนจนเส้นเลือดหลังมือปูดนูนข่มความรวดร้าวในกาย หลับตาเชิดหน้ากัดริมฝีปากเบา ๆ ทำเหมือนว่าเธอรู้สึกดีกับมันแค่ไหน ทั้งที่ในใจร้องตะโกนว่าเจ็บจะตายแล้วโว้ยเพราะคนด้านบนถาโถมแรงกายเข้าใส่อย่างหนักหน่วง ไร้ความปราณีทุกแรงกระทำติณณภัทรจงใจทำให้หญิงสาวเจ็บ ขณะที่สายตาจับจ้องใบหน้าสวยไปด้วยเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ มุมปากหนาแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันที่ได้เห็นเศษเสี้ยวความเจ็บปวดบนใบหน้าสวยที่เธอเผลอแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนเคลื่อนมือไปดึงบราเซียร์ออกทำให้สองเต้าอวบดีดเด้งออกมาโชว์ความใหญ่โต ฝ่ามือนุ่มกอบกำสองเต้าแล้วบีบเคล้นแรง ๆ พร้อมทั้งโน้มหน้าลงไปซุกไซ้ลำคอระหงฝังเขี้ยวคมบนผิวเนื้อขาวเรียบเนียน ขณะเอวสอบยังส่งแรงเข้าออกไม่
นับดาวให้กำเนิดบุตรสาวในวันเกิดของตัวเองพอดิบพอดีเพียงแต่คนละเวลากันเท่านั้น วันเกิดเธอปีนี้จึงกลายเป็นสุขสันต์วันคลอดแทนทุกคนต่างปลื้มปิติ โดยเฉพาะติณณภัทรวินาทีที่ได้เห็นหน้าบุตรสาวถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่"ได้เจอกันสักทีนะลูกสาวพ่อ" ก้มจูบบนฝ่าเท้าน้อย ๆ ของบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างพินิศ คิ้วเข้มขมวดชนกันเล็กน้อยเพราะทุกส่วนบนใบหน้าบุตรสาวเหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิด แทบไม่มีส่วนไหนที่ได้เขามาเลยมันน่าน้อยใจชะมัด"นับคุณดูสิลูกลำเอียงชะมัดเลย คิ้วก็เอาของแม่มา ตาก็เอาของแม่มา จมูกก็เอาของแม่มา ปากก็เอาของแม่มาไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผมเลย อุตส่าห์ทำแทบตาย" เขาแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับเมียสาวทีเล่นทีจริงทำเอาทุกคนอดยิ้มตามไม่ได้"แสดงว่าลูกรักแม่มากกว่าพ่อไงคะ" นับดาวตอบกลับยิ้ม ๆ อีกคนหาได้ยอมน้อยหน้าไม่เอ่ยประกาศเสียงกร้าว เชิดหน้าขึ้นอย่างมาดหมาย "แบบนี้ยอมไม่ได้นะ ลูกคนต่อไปต้องเหมือนผมแล้วแหละ"คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกระลอกหนึ่ง คงจะมีแต่แบงค์ที่ต้องกลำกลืนฝืนทนมองภาพทั้งสองหยอกล้อกันทั้งที่ในใจมันชอกช้ำอย่างหนัก ส้มซึ่งรู้ดีทำได
แสงแดดสีทองยามสี่โมงเย็นตกกระทบผิวน้ำทะเลสีเขียวมรกตทอประกายระยิบระยับ สายลมเอื่อย ๆ พัดโชยพากลิ่นอายทะเลลอยตลบอบอวลทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย"อากาศดีจังเลยค่ะ นานแล้วสิที่ไม่ได้พักผ่อนแบบนี้" นับดาวหันบอกกล่าวกับร่างสูงที่เดินเคียงข้าง จับมือพากันเดินเลียบไปตามแนวชายหาดด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเล และดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ต้องขอบคุณผู้ชายข้าง ๆ ที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนสิ้นเชิงทุกครั้งที่มาเที่ยวทะเลเธอจะมาเพราะต้องการแก้เบื่อแก้เซ็ง มาด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้"ใช่ครับ" ติณณภัทรระบายยิ้มตอบเขาเองก็ไม่ได้เที่ยวแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน ได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้กับคนที่รักจึงมีความสุขไม่น้อย "ได้มาพักผ่อนกับคนที่รักมันดีกว่าคนเดียวเป็นไหน ๆ เลยว่าไหม""ใช่ค่ะ นับไม่เคยรู้เลยว่าการมีความรัก มีครอบครัวมันดีขนาดนี้ต้องขอบคุณคุณนะคะที่เข้ามาในชีวิตของนับ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมาจากก้นบึ้งของหัวใจ"ผมก็ขอบคุณคุณเช่นกันที่เข้ามา
วันต่อมาหลังจากเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปวันนี้ติณณภัทรจึงตั้งใจพานับดาวไปทำบุญ และไหว้แม่ของเธอ"จะไปไหนกันฮึสองคนนี้" อรอินเอ่ยทักบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มเพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนจะออกไปไหนกัน"ผมกับนับจะไปทำบุญกันครับ" ติณณภัทรตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันมองหน้าเมียสาวพร้อมยื่นมือไปกอบกุมมือเรียวไว้หลวม ๆ นับดาวส่งยิ้มหวานให้คนเป็นสามีบาง ๆ "ก็ดีเหมือนกันนะจะได้เป็นมงคลให้กับชีวิต แม่ขอให้ชีวิตคู่หลังจากนี้ของลูกทั้งสองพบแต่ความสุขนะ" อรอินเห็นดีเห็นงามด้วย และก็อวยพรให้เด็กทั้งสองพบเจอแต่ความสุขในชีวิตคู่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มามากมาย"พ่อก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขมาก ๆ นะ จะเป็นพ่อแม่คนแล้วทำอะไรก็นึกถึงจิตใจกันและกันให้มาก ๆ อย่าเอาอารมณ์เข้าว่า อย่าละเลยความรู้สึกกัน รักและดูแลกันให้เหมือนวันแรกที่รักกัน ความสม่ำเสมอและเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคู่มาก พ่อหวังว่าลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขไปจนแก่จนเฒ่า" พิภพอวยพรเด็กทั้งสองต่อหลังจากภรรยาเอ่ยจบ และไม่ลืมจะให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่กับทั้งสองด้วย"ขอบคุณคุ
นับดาวกำแหวนในมือแน่น แล้วเดินกลับไปยังห้องชายหนุ่มอีกครั้ง คาดว่าตอนนี้เขาคงขึ้นมาจากชั้นล่างแล้ว ยืนรวบรวมความกล้าข่มความตื่นเต้นอยู่หน้าห้องนานนับนาที ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเสียงเปิดประตูทำให้ติณณภัทรที่ทำท่าจะตามหาหญิงสาวหลังจากเข้ามาในห้องแล้วไม่พบเธอรีบหันไปมอง ครั้นเห็นคนตัวเล็กก็รีบเดินเข้าไปถามไถ่ "ไปไหนมาฮึ""ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณค่ะ" นับดาวไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วจัดการเอาแหวนที่กำไว้บรรจงสวมบนนิ้วนางของเขา "คุณมอบแหวนแต่งงานให้ฉันแล้ว ถึงคราวฉันมอบแหวนแต่งงานให้คุณบ้างแล้ว แหวนวงนี้แทนความรักจากฉันนะคะ""นะ..นี่มันอะไรกัน เธอความทรงจำกับมาแล้วเหรอ" ติณณภัทรถึงกับประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในตอนนี้คือทั้งดีใจ สับสนงุนงง และไม่เข้าใจ ดวงตาคมกริบปริ่มไปด้วยน้ำสีใสจ้องมองใบหน้าสวยเชิงตั้งคำถาม "ฉันรักคุณนะคะ" นับดาวตอบคำถามของเขาแทนด้วยการบอกความรู้สึกออกไปพร้อมกับก้มจูบหลังมือของเขา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปคล้องลำคอแกร่งเอาไว้หลวม ๆ แล้วเขย่งเท้าขึ้นประทับริมฝีปากจูบริมฝีปากหนาติณณภัทรไม่ได้ปฏิเสธถึงแม้ตอนนี้จะยั
หลังจากนับดาวฟื้นขึ้นมาหมอก็ให้นอนดูอาการอีกสองวันจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะร่างกาย และผลการสแกนสมองปกติดีทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เธอจำอะไรไม่ได้หมอประเมินว่าอาจเป็นอาการความทรงจำหายไปชั่วคราว อีกไม่นานความทรงจำน่าจะกลับมาเหมือนหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา"บ้านของเราจำได้ไหม" ติณณภัทรเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อรถจอดลงหน้าบ้านอัครกุลสิ้นเสียงทุ้มนับดาวก็ทอดสายตามองเข้าบ้านหลังใหญ่โตตรงหน้า คิ้วสวยขมวดเป็นปมคล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้เลย"ฉันจำไม่ได้เลย" เปล่งเสียงตอบด้วยใบหน้าเศร้า แววตาหม่นหมองจนติณณภัทรต้องรีบรั้งเธอมากอดใช้มือลูบศีรษะเล็กทุยปลอบประโลม "จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็จำได้เองไม่ต้องรีบร้อน""ค่ะ""เข้าบ้านกันดีกว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงรออยู่ ท่านดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าเธอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว" "ค่ะ" คนที่อิงแอบหน้ากับไหล่กว้างพยักรับ แล้วผละตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวโต ซึ่งติณณภัทรก็รีบเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมาเปิดประตูให้เธอ"เชิญครับ" บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางยื่นมือไปให้เธอจับ อีกคนยื่นมือไปวางบนมือหนาแล้วพาตัวลุกจากรถโดยไม่ลืมจะเอ่ยขอบคุณคนตัวโต "ขอบคุณนะคะ
วันต่อมาวันนี้ติณณภัทรตั้งใจว่าจะสวมแหวนแต่งงานให้นับดาวถึงแม้เธอจะยังไม่รู้สึกตัวก็ตาม เขาโทรไปยังร้านดอกไม้สั่งให้ทางร้านจัดช่อดอกกุหลาบสีแดงซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบจำนวนหนึ่งร้อยดอก แล้วให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลหลังจากได้รับช่อดอกไม้เขาก็นำมันไปวางข้างเตียงหญิงสาว เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองใบหน้าสวยอย่างสื่อความหมาย "ฉันเอาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ตื่นมาดูสิสวยมากเลยนะ และวันนี้ฉันก็มีบางอย่างจะให้เธอด้วยนะ"เขาว่าแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออกแล้วหยิบแหวนมาถือไว้ "แหวนวงนี้เป็นแหวนที่ฉันตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเป็นแหวนแต่งงานสำหรับเธอเลยนะ หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเธอจะชอบมันนะ"ว่าจบก็จับมือด้านซ้ายของเธอมาบรรจงสวมแหวนเพชรลงบนนิ้วนาง จากนั้นก็ประทับจูบลงบนหลังมือนิ่มแช่ค้างไว้แบบนั้นและในจังหวะนั้นเองนิ้วเรียวทั้งห้าก็ขยับขึ้นเบา ๆ ทำให้ติณณภัทรต้องรีบผละดูให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง และใช่นิ้วของเธอขยับจริง ๆ เขาค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยลุ้น และตื่นเต้นกับอะไรเท่านี้มาก่อนเลย"
"นับดาวเมื่อไรเธอจะตื่นขึ้นมาคุยกับฉันสักที ฉันคิดถึงเสียงพูดของเธอ คิดถึงรอยยิ้มของเธอ อยากกอดเธอจนใจจะขาดแล้ว เลิกทรมานกันสักทีได้ไหม"ติณณภัทรเอ่ยเสียงเศร้าจ้องมองหน้าคนบนเตียงที่นอนหลับมานานนับเดือนด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ใช่เวลาผ่านไปเป็นเดือนแล้วแต่หญิงสาวก็ไม่รู้สึกตัวสักทีอาการทางร่ายกายของเธอหายดีหมดแล้ว หมอทำการสแกนสมองก็ปกติดีแต่ทำไมเธอถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่รู้ คนรออย่างเขามันโคตรทรมานหัวใจมือหนายื่นไปจับมือเรียวมากอบกุมไว้แน่นส่งผ่านความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจให้เธอได้รับรู้ หากเธอตื่นขึ้นมาเขามีคำพูดมากมายที่อยากบอก โดยเฉพาะคำว่ารักระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันทำให้เขารู้ว่าเธอมีความสำคัญกับชีวิตของเขามากแค่ไหน ในแต่วันที่ผ่านไปโดยไม่ได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอเหมือนกับชีวิตขาดอะไรไป มันเหงามันเคว้งคว้างไร้สีสันในวันที่คิดว่ากำลังจะเสียเธอไปเขายิ่งมั่นใจในความรู้สึกตัวเองว่าหลงรักเธอเข้าเต็มหัวใจแล้ว เธอเป็นความสุขของเขา ชีวิตในทุก ๆ วันที่มีเธอมันโคตรดีมาก ๆ แล้วแบบนี้เขาจะขาดเธอได้ยังไงกันครืดด~สายเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เขาห
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จติณณภัทรก็มาโรงพยาบาลทันที นั่งรอที่หน้าห้องไอซียูด้วยหัวใจมีความหวัง"เธอกับลูกต้องสู้นะฉันรออยู่" เสียงทุ้มพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเศร้ามองประตูห้องไอซียูพร่ำภาวนาขอให้คนด้านในปลอดภัย ก่อนล้วงไปหยิบกล่องแหวนกำมะหยี่สีแดงที่เอาติดมาด้วยออกจากกระเป๋ากางเกงมาเปิดดู พร่ำรำพันออกมาแผ่วพริ้ว "ฉันรอสวมแหวนแต่งงานให้เธออยู่นะนับดาว"ดวงตาคมกริบจ้องมองแหวนเพชรในกล่องกำมะหยี่ด้วยความรู้สึกเศร้า แหวนเพชรวงนี้เขาตั้งใจสั่งทำให้หญิงสาวตั้งแต่รู้ว่าเธอท้องโดยสลักชื่อเขากับเธอเอาไว้ข้างในวงแหวนเพราะเขามั่นใจแล้วว่าจะร่วมเรียงเคียงหมอนไปกับเธอจนแก่เฒ่าเขาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะปิดกล่องแหวน แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าทอดสายตามองไปที่หน้าห้องไอซียูเหมือนเดิม แม้ตอนนี้เวลาจะล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้วเขาก็ไม่มีท่าว่าจะง่วงนอน และหิวสักนิดทั้งที่ตั้งแต่ไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่ตอนเที่ยง ในสถานการณ์แบบนี้เขานอนและทานอะไรไม่ลงจริง ๆ จนกว่าจะรู้ว่าลูกเมียปลอดภัยแล้วหลายชั่วโมงต่อมาก็เข้าสู่เช้าของวันใหม่ ติณณภัทรก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยอาการเหนื่อยล้า ใจจดใจจ่อเฝ้ารอว่า
"เกิดอะไรขึ้นกับเธอนับดาว" ติณณภัทรที่ได้ยินเสียงกรีดของนับดาวผ่านสาย ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนอะไรชนกันสักอย่างดังสนั่นแล้วสายก็ตัดไปทำให้เขาใจคอไม่ดีเป็นอย่างมาก พยายามติดต่อหาเธอหลายครั้งก็ปิดเครื่องได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอพร้อมกับเร่งความเร็วของรถเพื่อกลับไปดูที่บ้านว่าเธอกลับไปหรือยังขับรถมาได้สักพักคิ้วเข้มก็ต้องขมวดเป็นปมด้วยความโมโหเพราะข้างหน้ารถติดยาวเหยียดทำไมต้องมาติดตอนนี้ตอนที่เขากำลังรีบ ดูเหมือนว่าข้างหน้าจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อมองไปที่ริมถนนไกล ๆ ก็เห็นว่ามีคนจำนวนมากกำลังมุงดูอะไรกันอยู่ แวบหนึ่งที่เขานึกถึงหญิงสาวแต่ก็พยายามคิดว่ามันไม่ใช่ ยังคงขับรถต่อกระทั่งสายตาเหลือบเห็นรถคันที่เกิดอุบัติเหตุเหมือนจะชนกับเสาไฟฟ้า เท้าใหญ่เหยียบเบรกฉับพลันพร้อมกับหัวใจที่กระตุกวูบอย่างหนักรถที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคันสีขาว และยี่ห้อเดียวกับของนับดาวไม่มีผิด จึงตัดสินใจตีไฟเลี้ยวจอดรถริมถนนแล้วเปิดประตูลงไปดู "ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อยครับ" พยายามขอทางฝ่าวงล้อมผู้คนที่ยืนดูเข้าไปด้านใน ร่างกายชาวาบชั่วขณะเข่าอ่อนยวบแทบทรงตัวไม่อยู่ในตอนที่เห็นป้ายทะเบียนรถ เขาจำได้