โอ้ย.. เจ็บหัว เจ็บหน้าผาก ทำไมเจ็บที่หน้าผากล่ะ??? อ่า จำได้ว่าตอนที่ขับเครื่องบินชมวิวอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ระหว่างข้ามน้ำตกไนแองการ่าฉันถูกตีที่ท้ายทอย ผู้ชายคนนั้น อดีตนายตำรวจใหญ่บิดาของจางเหว่ยซ่อนตัวอยู่บนเครื่องบิน กลับมาล้างแค้นสินะ หึหึ สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือฉันอยู่ดี สิบกว่าปีก็ยังคงรอคอยเพื่อแก้แค้นฉัน ทำอะไรฉันตอนอยู่ในประเทศจีนไม่ได้ก็ลอบติดตามมาทำร้ายฉันถึงแคนนาดา ยอมแลกชีวิตเพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถูกฉันเฉือนเนื้อเถือกระดูกคนนั้น..
ฮ่าๆ ฉันรอดชีวิต ตกมาจากความสูงขนาดนั้น ตกลงมากลางมหาสมุทร นี่ฉันรอดมาได้ยังไงนะ หรือว่าลอยมาติดเกาะ?
ขณะที่เฟิงซือจูลืมตาลำแสงสีส้มยามเย็นลอดผ่านขอบหน้าต่างเข้ามา ยังไม่ทันสังเกตสถานที่นี้ให้ชัด ความเจ็บปวดรุนแรงที่ศรีษะก็ถาโถมเข้ามา เมื่อทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็สลบไปอีกครั้ง
จวบจนเช้าอีกวัน เมื่อเฟิงซือจูลืมตาขึ้นก็ต้องประหลาดใจกับสถานที่ตรงหน้า ที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่โรงพยาบาลเหรอ นั่น นั่น! โต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ? ชุดโต๊ะไม้แดงกลางห้อง? ตู้เสื้อผ้าแบบเตี้ยสองบานพับ? เชิงเทียนรูปทรงแปลกๆนั่น? … นี่มันเฟอร์นิเจอร์จีนโบราณเหรอ แม่เจ้าโว้ย! เจ้าของที่นี่คงใช้ความพยายามไม่น้อยเลยสินะที่ย้ายเฟอร์นิเจอร์จีนแท้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ได้
เอ่อ .. แล้วชุดนี้นี่มันยังไงนะ ต้องคลั่งพีเรียดจีนขนาดไหนถึงได้จัดคอสตูมแปลกประหลาดนี้ให้คนป่วยอย่างเธอใส่กัน
“มีใครอยู่ไหมคะ?” เฟิ่งซือจู เอ่ยถามขณะเปิดประตูออกไปข้างนอก แม้แต่พื้นก็ยังเป็นหินประตูก็ยังทำขื่อทำคานเหมือนบ้านทรงจีนโบราณไม่มีผิด เห้อ ไม่รู้ว่านางนอนอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ยังไงซะก็รีบตอบแทนน้ำใจแล้วย้ายตัวเองไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายสักหน่อยดีกว่า ตกมาจากเครื่องบินแบบนั้น รอดมาได้ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ชัดๆ
“คุณหนูสี่ คุณหนูสี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“อ๊ะ สี่เสวี่ย” สี่เสวี่ย นี่ฉันรู้จักคนคนนี้ด้วยเหรอ นี่มันอะไรกัน
“คุณหนู บ่าวจะไปตามฮูหยินรองนะเจ้าคะ” เสียงร้องทักด้วยความดีใจของหญิงสาวตรงหน้ากลับทำให้เฟิงซื่อจูรู้สึกปวดหัวขึ้นมากระทันหัน
“โอ้ยย!!” เสียงร้องสั้นๆของเฟิงซือจูทำให้สี่เสวี่ยชะงักเท้าหันกลับมารีบผยุงนางให้กลับมานอนที่เตียง ปากเรียกคุณหนูตะกุกตะกัก ด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะวิ่งออกไปพลางตะโกนให้ตามหมอ เมื่อสิ้นเสียงของสี่เสวี่ย ความทรงจำขุมหนึ่งได้แล่นเข้ามาในหัวของเฟิงซือจูอย่างกระทันหัน การรับข้อมูลมากมายทำให้นางสับสนอยู่เป็นเวลานาน จวนจนหมอที่เข้ามาดูอาการจากไปแล้วนางยังทำใจรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี่ไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกัน นางจำได้ว่านางคือเฟิงซือจู แต่ความทรงจำอีกก้อนนึงที่ผุดขึ้นมา นางกลายเป็นคุณหนูสี่ตระกูลซู ซูเจินจู ตระกูลซู ตระกูลพ่อค้า ค้าผ้าและหนังสัตว์ เริ่มตั้งตัวได้หลังจากที่ท่านปู่และท่านพ่อของร่างนี้มาบุกเบิกเปิดร้านค้าผ้าที่แถบชายแดน
ก่อนหน้านี้ด้วยรับมอบหมายจากบิดาให้ผูกสัมพันธ์ฮูหยินหลินแห่งจวนนายอำเภอเหอ นางจึงได้นำผ้าของที่ร้านไปส่งให้ฮูหยินเลือกถึงที่จวนนายอำเภอ ในเวลานั้นลูกชายนายอำเภอ หลินเฮงฉวน กำลังจิบชา ต่อกลอน ท่องกวีอยู่กับเหล่าสหายบัณฑิตอยู่ที่ศาลาในสวน หลินเฮงฉวนเป็นชายหนุ่มรูปงามวัยสิบเจ็ดปี เป็นที่หมายปองของสตรีแทบทั้งอำเภอ คิ้วกระบี่ ตาอินทรีย์ จมูกโด่งรับริมฝีปากบาง ผิวขาวราวสตรี ท่วงท่า กริยาเหมาะสมกับที่ถูกอบรมมาในจวนเจ้าเมือง ดูเข้มแข็งแต่ก็อ่อนน้อมอยู่ในทีใครเห็นก็เป็นเป็นอันสะดุดตา ยิ่งอยู่รวมกับเหล่าบัณฑิตยิ่งทำให้น่ามอง ซูเจินจูหรือจะสู้ประกายอันเจิดจ้าของเหล่าบัณฑิตไหว ยืนเหม่อลอยจนไม่ทันสังเกตว่าหลินเฮงฉวนเข้ามาใกล้ รู้สึกตัวอีกทีก็กอดหลินเฮงฉวนตกลงไปในสระน้ำข้างศาลานั่นเอง การถูกเนื้อต้องตัวกันของบุรุษสตรีเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติทั้งบุรุษสตรี หากไม่เกิดการรับผิดชอบขึ้น บุรุษถือว่าไร้ความรับผิดชอบส่งผลต่อการเข้ารับตำแหน่งขุนนาง สตรีถือว่ามีมลทินมิอาจแต่งออกให้ผู้ใดอีก
ตระกูลหลินมีหรือจะอยากตบแต่งซูเจินจูที่เป็นเพียงบุตรีอนุตระกูลพ่อค้า สุดมือเอื้อมมิอาจเอื้ออาทร เพราะไม่อาจให้ลูกชายเพียงคนเดียวรับอนุก่อนการตบแต่งภริยาเอกได้ ไมตรีเดียวจากจวนนายอำเภอคือรับนางไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียง
ซูเจินจูเองก็เป็นเพียงลูกอนุ ถึงแม้คนในเรือนจะเรียกแม่ของนางว่าฮูหยินรอง แต่ความแตกต่างนั้นนางเองก็เห็นเต็มตาและสัมผัสได้มาตลอดระยะเวลาสิบสามปี ให้เข้าจวนในฐานะอนุยังต้องคิดแล้วคิดอีกไม่ต้องพูดถึงว่าไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียงนางจะขัดขืนถึงเพียงไหน
บิดาของซูเจินจู ซูเป่า แต่เดิมคิดใช้ลูกสาวไต่เต้าเพิ่มความสนิทสนมกับจวนนายอำเภอ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เจินจูเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็คิดอุบายวัยปักปิ่น หวังให้หลินเฮงฉวนยกขบวนหมั้น รออีกสองปีค่อยปล่อยลูกสาวเข้าจวน สองปีเพียงพอที่จะใช้ชื่อเสียงจวนนายอำเภอสร้างชื่อเสียงเงินทองแก่ตระกูลซู แต่คิดไม่ถึงว่า นายอำเภอหลินอู่ช่างเคี้ยวยาก ส่งพ่อบ้านมาแจ้งว่า เมื่อซูเจินจูอายุสิบห้าเมื่อใด ค่อยเก็บเสื้อผ้าเดินด้วยเท้าของตนเองเข้าจวนนายอำเภอ
ปากใดจะยื่นยาวเท่าปากคน ถูกเนื้อต้องตัวบุรุษอีกทั้งตัวยังเปียกน้ำจนรูปร่างอรชรปรากฏแก่สายตาเหล่าบัณฑิต ไม่ต้องให้คนนอกนินทาตัวนางเองก็รู้ว่าน่าอดสูเพียงใด เข้าจวนนายอำเภอก็เป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงมีหรือจะหนีพ้นคำนินทากับสายตาเหยียดหยาม นางกอดความอดสูทั้งหมดพุ่งชนเสาหวังเพียงหยุดเสียงกร่นด่า สาปแช่ง และคำพูดถากถางทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้..
ร่างของซูเจินจูฟื้นขึ้นมาสามวันแล้ว แต่ละวันที่ผ่านไปซูเจินจูเพียงกินและนอนไม่ออกจากห้อง
“อาจู เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าอย่าทำให้แม่เป็นห่วงถึงเพียงนี้ เมื่อหายดีแล้วเจ้าก็เข้าไปร้านผ้าหน่อยเถอะ เจ้าไม่เข้าไปนานๆแม่ไม่วางใจ” น้ำเสียงของมี่ซิ่นเจือความลำบากใจ นางมีเจินจูเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ฐานะภรรยารองที่ไม่มั่นคงรวมกับการที่นางไม่สามารถคลอดบุตรชายให้ตระกูลซูได้ นางไม่ไว้ใจให้ลูกสาวหยุดงานที่ร้านนานๆ
เมื่อเห็นว่าซูเจินจูยังคงนั่งเงียบๆฟังนาง มี่ซิ่นก็เกลี้ยกล่อมต่อทันที
“อาจู เชื่อแม่เถอะ เป็นสาวใช้อุ่นเตียง อย่างไรเสียก็เป็นเตียงบุตรชายนายอำเภอ ถึงทุกวันไม่ได้นอนร่วมห้องแต่อย่างน้อยก็ได้อยู่ข้างห้อง ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นข้าวของที่จวนนายอำเภอใช้ อยู่ดี กินดี ได้ร่วมชายคาคุณชายหลิน ผู้หญิงทั้งเมืองจะมีใครไม่อิจฉาเจ้า วันหนึ่งเมื่อเจ้าคลอดบุตรชายตัวอ้วนๆได้ ฐานะของเจ้าก็จะมั่นคงขึ้นเอง อาศัยที่ตอนนี้คุณชายหลินยังไม่แต่งภรรยาเอก เจ้ารีบรวบรัด มีทายาทคนแรกให้ตระกูลหลิน อีกหน่อยคุณชายหลินแต่งฮูหยินก็ยังต้องเห็นแก่หน้าลูกของเจ้า”
“..”
“อาจู มองไปทั่วหล้า จะหาคนที่ดีพร้อมอย่างคุณชายหลินก็คงไม่มีอีกแล้ว ชายหนุ่มที่รูปโฉมงดงาม การกระทำไม่ด่างพร้อย เกิดมาก็ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทอง ข้ารับใช้บริวารเต็มจวน เส้นสายรึก็มากมาย ต่อไปสอบเคอจวี่ก็จะได้เป็นขุนนางสร้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หากเจ้าไม่รีบปีนขึ้นเตียงเขาตอนนี้ แม่เองก็ไม่เห็นว่าเตียงของคุณชายหลินจะว่างให้เจ้าปีนอีกตอนไหน”
“ท่านออกไปเถอะ ข้าจะพักผ่อน” เสียงของซูเจินจูเต็มไปด้วยความเย็นชา ห่างเหินจนมี่ซิ่นแปลกใจ ลูกของนางแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังนางทุกเรื่อง ไฉนพอมาถึงเรื่องคู่ครองถึงได้คิดสั้นแถมยังเย็นชากับนางถึงเพียงนี้
‘เฮงซวย!! ตรรกะพังๆนี่มันอะไรกัน ร่างกายนี้เพิ่งอายุสิบสามก็จะให้นางไปปีนเตียง ไปคลอดลูก เห็นนางเป็นหมูรึไง แม้แต่หมูยังมีศักดิ์ศรีมากกว่านี้เลย’
แต่จะให้กินๆนอนๆอยู่เฉยๆแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ดี ไม่สู้ไปหาทางหนีทีไล่ข้างนอกก่อนดีกว่า หากที่นี่อยู่ไม่ได้ ก็ออกเดินทางไปอยู่ที่อื่น ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวต่อจากชาติที่แล้วละกัน
แต่เอ๊ะ ถ้าหากวิญญาณกลับคืนร่างเดิมได้ล่ะ!!!
เฟิงซือจูล้มตัวลงนอน รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนหน้า นางต้องกลับไปได้แน่ๆ ขอเพียงนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็จะได้กลับไปยังชีวิตเดิมของนาง...
.
..
สองวันถัดมา...
“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าหลับอยู่หรือไม่ คุณชายหลินเฮงฉวนมาหาเจ้า” เสียงหวานของสตรีเจือความเขินอายดังขึ้นในยามซื่อ
“น้องพี่ หากตื่นแล้วก็รีบผลัดชุดเถอะ ข้ากับคุณชายหลินจะไปรอเจ้าที่ศาลาในสวน”
“....” เหอะ ยามซื่อ แต่ถามว่าหลับอยู่หรือไม่ คนบ้านนี้คิดว่าข้าเป็นหมูจริงๆสินะ
นี่ก็วันที่ห้าแล้ว ดูท่าว่านางจะกลับไปยังชาติที่แล้วไม่ได้อีก หลายวันที่ผ่านมา เฟิงซือจูหวังเพียงว่าเมื่อตื่นมาอีกครั้ง นางจะจากที่นี่ไป แต่รอแล้วรอเล่า วิญญาณของนางก็ยังติดแหง่กอยู่ในร่างกายนี้ ยิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าชาติก่อนนางตายเพราะตกจากเครื่องบินลงมาในมหาสมุทรต่อให้วิญญาณนางออกจากร่างนี้ได้ก็คงไม่มีร่างกายไหนให้กลับได้อีก นางเลิกคิดที่จะออกจากร่างนี้แล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตผ่านร่างกายนี้ของซูเจินจูดีกว่ากลายเป็นผีเร่ร่อน
“คุณชายหลิน นี่คือชาฟู่โช่ว ท่านอาของข้าเพิ่งได้มาจากชนเผ่าทางตะวันออก ลองชิมดูนะเจ้าคะ” เสียงอ่อนหวานเจือความเขินอายนี้ช่างเป็นเอกลักษณ์นัก ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษใดได้ฟังแล้วเมินผ่านไปได้
“รสชาติเจือจาง แต่กลิ่นช่วยผ่อนคลาย นับเป็นชาดี”
“เป็นเพียงชาทั่วไป แค่เพียงแปลกใหม่เท่านั้น หนี่ว์เออร์ขายหน้าคุณชายแล้ว” ซูหนี่ว์ส่งยิ้มเอียงอาย พลางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือน้อยๆ ดูน่ารักสมวัยเด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก เมื่อช้อนตาขึ้นมาพบกับรอยยิ้มที่หลินเฮงฉวนส่งมาให้หัวใจของซู่หนี่ว์ก็เต้นไม่เป็นจังหวะ น่าเสียดายเหลือเกินที่คนที่ไปส่งผ้าวันนั้นไม่ใช่นาง ไม่ใช่นั้น ด้วยฐานะของนางคงแต่งเข้าจวนผู้ว่าได้อย่างสง่าผ่าเผยเป็นแน่
ซูหนี่ย์ คุณหนูใหญ่ตระกูลซู บุตรสาวของซูเป่าที่เกิดจากภรรยาเอกเหมยหลิน แต่เดิมนางก็เกลียดซูเจินจินที่มีรูปโฉมงดงามกว่าตนและยังได้รับความไว้ใจจากบิดาให้เข้าไปทำงานที่ร้านผ้าซูเตี้ยน แม้แต่ผู้ชายที่ตนหมายปองก็ยังถูกนังแพศยานั่นวางอุบายบังคับให้คุณชายหลินต้องรับเข้าจวน ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว เป็นช่วงวัยที่สมควรออกเรือนแล้ว หากนางยังชักช้ากว่านี้คงได้ได้เป็นสาวแก่ขึ้นคานเป็นแน่ แต่นางหมายมั่นไว้ตั้งแต่เจอคุณชายหลินครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนแล้วว่าจะแต่งให้คุณชายหลินเท่านั้น ฮูหยินซูก็เห็นดีเห็นงาม อย่างไรเสีย ทั้งอำเภอนี้ก็มีเพียงคุณชายหลินเท่านั้นที่คู่ควรกับซูหนี่ย์
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสี่ให้มาเรียนว่า นางไม่สบาย ไม่พร้อมรับแขก เชิญคุณชายหลินกลับไปก่อนเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล เมื่อวานก็ยังดีๆอยู่ จะมาแง่งอนใส่คุณชายเป็นเด็กเล็กๆได้ซะที่ไหน เจ้าลองไปตามนางอีกสักครั้งเถอะ บอกนางให้ออกมาต้องรับคุณชายหลิน อย่าทำตัวเป็นสตรีไม่รู้ความให้อับอายคุณชายเลย” ยังไงซะ แค่คำพูดตำหนิเพียงเล็กน้อยนี่ก็พอทำให้คุณชายหลินคิดได้แล้วว่าไม่ควรรับนางแพศยานั่งเข้าจวน คิดจะแย่งผู้ชายกับข้า ฝันไปเถอะนังตัวดี
“ไม่เป็นไร หากนางป่วยก็ให้นางพักเถอะ ข้าฝากเจ้าบอกนางว่า ข้า หลินเฮงฉวน เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำ กล้ารับ หากนางเห็นว่าตำแหน่งสาวใช้อุ่นเตียงของข้าไม่เหมาะสม ข้าเองก็จนใจ เพียงแต่ให้นางคิดด้วยว่าการกระทำของนางไม่เหมาะสมยิ่งกว่า หากนางคิดได้แล้ว ให้นางแจ้งไปที่จวนนายอำเภอ ข้าจะส่งเกี้ยวสี่คนหาบมารับนางเข้าจวน หากนางยังไม่รู้ความคิดฆ่าตัวตายทำลายชื่อเสียงข้า เห็นทีที่นี่คงมีร้านผ้าจากเมืองหลวงมาเปิดเพิ่มแต่ร้านจะมีจำนวนมากสักเท่าไร ข้าเองก็คงบอกล่วงหน้าไม่ได้!!”
คำพูดทั้งหมดของหลินเฮงฉวนนั้นถูกส่งต่ออย่างครบถ้วน แต่คนฟังนั้นไม่ใช่ซูเจินจู แต่เป็นนายท่านซูเป่า“มันขู่ข้า มันขู่จะเอาร้านผ้ามาเปิดแข่งกับข้า เจ็บใจนักเพราะนังลูกอัปรีย์ ทำให้พวกมันขึ้นมาเหยียบบนหัวข้าแล้ว” เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ“ท่านพี่ อย่าโกรธขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วย เจ้าเองก็เหมือนกันหนี่ย์เอ๋อร์ เรื่องพวกนี้บอกพ่อเจ้าได้เหรอ จะให้พ่อเจ้าโกรธตายรึยังไง” ฮูหยินซูเข้าไปปลอบสามีด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นนายท่านซูโกรธขนาดนี้“เจ้าสิตาย ปากเจ้าใหญ่แค่ไหนถึงกล้ามาแช่งข้า เพราะหนี่ย์เอ๋อรู้ความถึงได้บอกข้า ไม่บอกแล้วข้าจะรู้เหรอว่าไอ้จวนนายอำเภอมันตั้งใจจะเหยียบหัวข้า ทำการค้ามาตั้งกี่ปี จ่ายให้พวกมันไปตั้งเท่าไหร่ หนังเสือยังไม่ทันส่งเข้าเมืองหลวงก็ต้องส่งเข้าจวนนายอำเภอก่อนมันยังกล้าขู่ข้าขนาดนี้ อัปรีย์ ไอ้พวกอัปรีย์!! ไป ไปตามอาจูมา ข้าต้องถามนางให้รู้เรื่อง” ทำการค้ามาหลายปีจะมายอมขาดทุนแบบนี้ไม่ได้ กว่าจะเลี้ยงซูเจินจูมาหมดเงินไปตั้งเท่าไหร่ แต่งงานมีหน้ามีตาไม่ได้ ก็ต้องแต่งได้เส้นสาย แต่งเงินแต่งทองไม่ได้ก็ต้
ซูเจินจูออกจากบ้านตระกูลซูมาพร้อมสี่เสวี่ยตรงเข้าไปที่ “ร้านผ้าซูเตี้ยน”“คุณหนูสี่มาแล้ว” หลงจู๊ออกมาตอนรับซูเจินจูอย่างคุ้นเคย น้ำเสียงเจือความห่วงใย หลงจู๊ผู้นี้ทำงานอยู่ที่ร้านผ้าซูเตี้ยนมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ ได้รับความไว้ใจจากนายท่านผู้เฒ่าซูมาก ยิ่งเห็นซูเจินจูมาตั้งแต่เกิดจนโต ได้ยินข่าวเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วยิ่งเป็นห่วงคุณหนูผู้นี้จากใจจริง“ทำให้ท่านลุงฝูเป็นห่วงแล้ว”“คุณหนูรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะขอรับ” หลงจู๊พยายามพูดให้ซูเจินจูเข้าไปด้านในให้ได้ ด้วยเห็นสายตาจากหลายๆคนมองมาที่ซูเจินจูอย่างอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนายอำเภอได้ถูกเล่าลือออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ซูเจินจูกลับเพียงยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้นสักพัก หลังทักทายกันอีกสองสามประโยค ซูเจินจูจึงขอตัวเข้าไปดูเอกสารที่ห้องทำงานบนชั้นสองร้านผ้าซูเตี้ยนเป็นร้านผ้าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอำเภอเหอ ขายผ้าพับและเสื้อคลุมขนสัตว์ผ้าพ
เดือนละสิบตำลึง ปีนึงจะได้หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หกปีก็จะมีเจ็ดร้อยยี่สิบตำลึง ในหีบนี้เหลือเงินห้าร้อยตำลึง หักจากที่นางสั่งทำอุปกรณ์ทำผ้าห้าตำลึง ซื้อกริชเงินสี่สิบตำลึง เจินจูคนเก่านับได้ว่าประหยัดจริงๆอืม... ปิ่นเงินแปดอัน ปิ่นทองหกอัน ปิ่นหยกสี่อัน ชุดเครื่องประดับเงินสองชุด ชุดเครื่องประดับทองสองชุด ต่างหูหยกหนึ่งคู่ ต่างหูปะการังแดงหนึ่งคู่เอ๊ะ!! เสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดง“ปิ่นเงินหนึ่งอัน ปิ่นหยกหนึ่งอัน ต่างหูหยกหนึ่งคู่ เอาไว้เท่านี้พอ ที่เหลือเจ้าเอาไปขายซะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าท่า ของพวกนี้มีไว้นางก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเงินเตรียมไว้ดีกว่า“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู!!!! ของพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็นสินเดิม หากคุณหนูแต่งงานออกไปแล้วไม่มีสินเดิมจะถูกครอบครัวฝ่ายชายรังแกเอานะเจ้าคะ” สี่เสวี่ยตกใจกับท่าที่ของคุณหนูของนาง ตั้งแต่ชนเสาคราวนั้นคุณหนูของนางก็ดูเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าจะยังใจดีกับนาง แต่ท่าทางเฉยเมยตลอดเวลานั้นก็ราวกับเป็
เช้าวันต่อมา ขณะที่ซูเจินจูกำลังจะออกไปร้านผ้า อิงชุ่ยก็ได้มาขวางหน้านางไว้“คุณหนูใหญ่ให้บ่าวมาเชิญคุณหนูสี่ไปชมดอกเหมยที่หมู่บ้านจั๋วมู่ด้วยกันเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดจาอ่อนหวานมีความเคารพต่อซูเจินจู เมื่อเช้าอิงเถาได้ออกไปจ้างอันธพาลไว้แล้ว นางต้องพาคุณหนูสี่ไปด้วยกันให้สำเร็จ“ข้าไม่ไป” ซูเจินจูไม่ได้สนใจอิงชุ่ย นางเดินออกไปทันที อิงชุ่ยที่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทุกๆสองวันซูหนี่ย์จะต้องให้อิงชุ่ยมาชวนนางออกไปข้างนอก ทุกครั้งซูเจินจูจะปฏิเสธกลับไป แต่ครั้งนี้ เป็นฮูหยินรองที่มาชวนนางออกไปเดินตลาด ซูเจินจูเพียงให้เงินนางไปสิบตำลึง และด้วยเห็นแก่เงินสิบตำลึง ฮูหยินรองมี่ซิ่นจึงไม่ได้รบเร้าเจินจูต่อและออกไปอย่างสบายใจ“ท่านน้า เจินจูเออร์ละเจ้าคะ ข้าสั่งบ่าวไพร่ให้ไปจองเหลาอาหารตือฟ่างกว่างไว้แล้ว จะได้ให้เจิ
“เอ่อ.. เป็นตระกูลไฉ มาขอหมั้นคุณหนูสี่ให้นายน้อยไฉตงชุนเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดเสียงเบาด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่เกลียดคุณหนูสี่ และยังไม่สามารถวางอุบายรังแกนางได้สำเร็จสักครั้ง“เจ้าว่าอะไรนะ ขอหมั้นนังจิ้งจอกนั่น!! นังแพศยา เตียงคุณชายหลินรออยู่ข้างหน้ายังกล้าให้ท่าบุรุษอื่นเชียวรึ” เหอๆ นังตัวดี คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่ หากคุณชายหลินรู้ เจ้าไม่มีทางชูคออยู่บนเตียงได้แน่ และถ้าหากนายน้อยไฉรู้ว่าเจ้ามีค่าเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเป็นแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินฮูหยินซูก็ไม่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างซูหนี่ย์ต้องผิดหวัง คนเราหากหวังดีปฏิเสธแม่สื่ออ้อมๆก็ยังพอรักษาหน้า แต่คนอย่างฮูหยินซู มีช่องให้ทำลายซูเจินจูมีหรือจะไม่ทำ เล่าวีรกรรมซูเจินจูที่เข้าไปให้ท่าคุณชายหลินถึงในจวนนายอำเภอ ออกอุบายให้คุณชายหลินทำลายชื่อเสียงตน ร้องขอขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนทั้งที่พิ่งจะอายุสิบสามปี เพราะความอิจฉาที่คุณชายหลินมีใจให้ซูหนี่ย์ คุณชายหลินทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดจึงเขียนสัญญาจะรับนางเข้าจวนไ
เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพังด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซานหมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนางซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล
ซูหนี่ย์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ยกยิ้มเหยียดหยาม ดี ให้คนของท่านพ่อตีนางให้ตาย นังบ่าวชั่วที่ติดตามนังจิ้งจอกนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่เป็นหนามตำตานาง ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ทำไมตอนที่พวกนางออกไปทำการค้าถึงไม่เจอโจรป่าเสียบ้างนะเฟยหลันและคนของนายท่านซูถือไม้พลองยืนอยู่กลางลานหน้าห้องโถง ขอเพียงส่งสัญญาณคนทั้งคู่ก็พร้อมแสดงฝีมือทันที แต่เฟยหลันที่อยู่บนลานหันกลับมามองซูเจินจูแล้วส่ายหน้าช้าๆ“ท่านพ่อ ให้คนของท่านเข้าไปอีกคนหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”นายท่านซูหนัยมามองซูเจินจูเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกผู้คุ้มกันอีกคนขึ้นไปกลางลาน เอาเถอะ อย่างไรเสียซูเจินจูก็มีผู้ติดตามคนเดียว หากนางแพ้ก็แค่หาคนคุ้มกันให้ซูเจินจูเพิ่ม หากนางชนะเขาก็จะสบายใจมากขึ้น“ลงมือ!!!”เฟยหลันตวัดไม้พลองลงไปอย่างเต็มแรง ผู้ที่เข้ามารับไม้แรกถึงกับถอยร่นลงไปหลายก้าว มือที่จับไม้พลองไว้สั่นจนแทบทำไม้พลองหลุดมือ เฟยหลันกระโดดตามเข้าไปฟาดไม้พลองลงที่ข้อมือก่อนจะตวัดไม้พลองอีกด้านไปเกี่ยวไม้พลองของผู้คุ้มกันคนที่สองลง ลูกเตะที่เตะลงไปที่ศรีษะอย่างแม่นยำทำให้ผู้คุ้มกันคนที่สองล้มลงไปนอนกับพื้นที่ที ไม้พลอยที่มือของเฟยหลันถ
เฟยหลันเดินตามซูเจินจูไปที่ศาลาเพื่อย่างไก่ป่าทั้งหกตัวต่อ อย่างไรเสียไก่หกตัวนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไรนางทำใจเมินพวกมันไม่ลง น่องไก่สิบสองน่องอยู่ในจานของซูเจินจู ตัวไก่ไร้น่องสองตัวถูกส่งไปยังกระท่อมของหยางหย่งเจิ้งพร้อมบะหมี่ผักหยางหย่งเจิ้งเปิดประตูรับไก่ย่างและบะหมี่ผักที่หลิวหยางนำมาส่งให้ เมื่อเห็นว่าหลิวหยางเดินออกไปไกลแล้วจึงหันหลังกลับเข้ากระท่อมของตน“ท่านรองแม่ทัพ เหตุใดไก่ในหมู่บ้านนี้ถึงไม่มีขาหรือขอรับ”“หวู่เยวี้ยน เจ้าจะไปรู้อะไร เด็กสาวบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านนั่นชอบกินน่องไก่ ท่านรองแม่ทัพถึงได้สั่งให้เจ้าไปจับไก่ป่ามาบ่อยๆไงเล่า”“ไอหย๋า ไอ้เจ้าพวกนี้คือไก่ที่ข้าจับมาอย่างนั้นหรือ”“หยุด เจ้าจับมาคนเดียวหรืออย่างไร แล้วเหตุใดจึงมาเพียงพวกเจ้า ทำไมเหวินอี้ไม่มาด้วย” หยางหย่งเจิ้งปรามทั้งสองก่อนจะพูดเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านี้“เรียนท่านรองแม่ทัพ เหวินอี้ตามสืบเรื่องยาพิษที่ใช้ปลิดชีวิตก้านลู่อยู่ขอรับ หากรู้ว่าเป็นพิษชนิดใดคงสืบหากบฏได้เร็วขึ้น”“เรื่องรองนายอำเภออู๋ไปถึงไหนแล้ว”“ตอนนี้ถูกจับขังคุกอยู่ที่อำเภออู๋ ปิดปากเงียบ คืนนี้จะเริ่มการทรมานขอรับ”“ดี อย่างไรก็ต้องรู้ให้