หวังเว่ยซินในชาติที่แล้ว ทะลุมิติเข้าในนิยายอยู่ในร่างของกู้เฉียวจิงฮูหยินเอกของแม่ทัพบูรพาเสิ่นเยี่ยหงพร้อมมีบุตรด้วยกันสองคน ในวันที่เกิดใหม่พร้อมภารกิจตู้ยาวิเศษ เกิดเรื่องราวมากมายจนกระทั่งนางหลงรักบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนมากไม่อาจจะตัดใจจากไป
ทว่านางไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเสิ่นเยี่ยหงแม้แต่น้อย
อีกทั้งคนที่บุรุษรักก็ไม่ใช่นาง หากฝืนรักฝืนอยู่ด้วยกันย่อมมีปัญหามากมายตามมาที่หลัง
จนกระทั้งทำภารกิจที่ห้าสำเร็จ นางได้รับรางวัลเป็นพรสามประการและยังค้นพบอีกว่าตั้งแต่แรกที่นางมาอยู่ที่นี่...เจ้าของร่างเดิมกู้เฉียวจิงยังอยู่กับนาง เป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ
กู้เฉียวจิง เจ้าของร่างเดิมไม่ได้คิดจะทวงร่างคืน เพราะหากไม่มีหวังเว่ยซินที่เข้ามาอยู่ในร่างแทนแม้กระทั่งชีวิตของบุตรชายก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ บุญคุณครั้งนี้แค่ร่างกายนางยินดีที่จะมอบให้ นางจึงมาขอพรหนึ่งข้อเพื่อไปเกิดใหม่
ทำให้หวังเว่ยซิน ผุดวาบความคิดหนึ่งขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของนาง คืออยากออกจากจวนหงอี้โหว อยากหย่า เพียงแต่นางไม่อาจตัดใจทำร้ายจิตใจเด็กทั้งสองได้ ทำให้ยืดเยื้อมาหลายเดือน ในเมื่อมีหนทางให้นางไปเกิดใหม่พร้อมกับพรสามประการ นางจึงไม่ลังเลที่จะใช้มัน
นางวางแผนฝังเงินเอาไว้ให้องค์รักษ์ซูซูเฝ้า พร้อมรหัสลับ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า จากนั้นก็เรียบเรียงพร
ขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์
เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที มีครอบครัวได้มีบิดา มารดา หรือน้องชายพี่ชายน้องสาวพี่สาว แต่ขออย่ามีสามีเด็ดขาด
เกิดในยุคเดิมในนิยายที่มาทำภารกิจ ยุคที่กู้ซวินอายุห้าขวบเสิ่นซูเวยอายุสามเดือน เผื่อคิดถึงจะได้แอบมาหา
เมื่อทุกอย่างพร้อม นางตัดใจเรียบร้อย ครั้งกล่าววาจาของขอพรเสร็จ ไม่ทันได้ทำใจฉับพลันสติก็ดับวูบทันที
หวังเว่ยซิน ได้ตามที่ขอ
ในถนนเส้นหนึ่งในอำเภอเล็ก ๆ มีรถม้าคันนี้กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ภายในรถม้ามีเด็กสาววัยแรกแย้มอยู่ประมาณห้าหกคน ทุกคนล้วนมีผิวพรรณละเอียดใบหน้าหมดจด เค้าโครงรูปหน้าชัดบ่งบอกว่ายามเติบโตย่อมเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮื้อ ฮื้อ...ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวข้าจะขายข้า”
เสียงเด็กสาวร้องไห้สะอื้นจนตัวโยก บางคนร้องจนหมดแรงหลับไป กู้เฉียวจิงตอนนี้อยู่ในร่างของ หวังเว่ยซิน หนึ่งในสาวงามที่ถูกครอบครัวขายมา เจ้าของร่างได้ตรอมใจตายยกร่างให้กู้เฉียวจิง อย่างไม่อาลัยอาวรณ์พร้อมขอไปเกิดใหม่ทันที
นางนิ่งเงียบสนิทพยายามทบทวนเรื่องราวของตนเองจากความทรงจำเจ้าของร่างพร้อมกับตรวจสอบพรว่าได้ครบหรือไม่
ในข้อที่หนึ่งขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์ ข้อนี้ผ่านไม่มีข้อผิดพลาด ถูกต้องตามเจตนา
ข้อสอง เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที นับว่าใช่ ตอนนี้นางมีมารดาและน้องชายแต่นางถูกขายออกมาโดยผู้ที่ได้ว่าเป็นย่าแท้ ๆ อำมหิตสุด ๆ แต่ก็ยังถูกต้องตามที่ขอ เลือกใช้ชีวิตได้ทันที หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ
ส่วนข้อสาม ช่วงเวลาคงต้องรอสักระยะ ได้ยินคนขับรถม้าคุยกัน จะพาพวกไปขายหญิงสาวที่หอชิงเซียงที่เมืองหลวง
คิ้วของหวังเว่ยซิงขมวดเล็กน้อย จะเป็นหอนางโลมที่เคยเชิญหญิงงามมาอบรมเหล่าอนุหรือเปล่านะ
เช่นนั้นก็ถือโอกาสนั่งรถม้าไปด้วย โชคดีไม่ต้องหาทางเข้าเมืองหลวงเอง จะได้ไปสืบด้วยว่าช่วงนี้คือยุคสมัยใด
ดวงตาของเด็กสาววาววับขึ้น แล้วนางก็จะไปขุดเงินที่ฝั่งเอาไว้ เงินสองแสนตำลึงของนางหวังว่าคงจะอยู่ดีนะ
ทว่าอย่างไรก็ต้อง ก็ภาวนาในใจ ขอบคุณท่านเทพท่านช่างเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาขอให้ท่านมีบารมี ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป...
หึ ! เสียงแค่นเสียงแว่วมาจากแห่งหนึ่ง
หวังเว่ยซินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแป้น จากนั้นหาที่เหมาะเอนกายนอนลงไปอย่างใจเย็น
เช้ามืดรถม้าก็มาถึงประตูเมืองหลวง ทหารเฝ้าประตูเปิดอ่านเอกสารพลางเลิกผ้าเข้ามาดู เด็กสาวพากันตกใจสั่นสะท้าน แววตาที่ทหารมองดูฉายความเห็นใจอยู่จาง ๆ
รถม้าเคลื่อนล้อไปอีกสักระยะก็จอดสนิท เสียงไพเราะใสดังอยู่ด้านนอกรถม้า
“โจวถัง ครั้งนี้หวังว่าจะมีที่ถูกใจข้านะ”
“ถูกใจเถ้าแก่หลีอย่างแน่นอนขอรับ เชิญท่านตรวจสอบข้างในได้เลย”
โจวถังพ่อค้าที่ไปซื้อนางมาจากบ้านก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วออกเสียงสั่ง “พากันออกมาได้แล้ว...ที่นี่เป็นหอซิงเซียงชื่อดังของเมืองหลวงหากแม่นางหลีถูกใจพวกเจ้าได้อยู่ที่นี่ทั้งชาติสบายไปทั้งชาติ อย่าชักช้าข้าพาไปที่อื่นแล้วจะเสียใจ”
โจวถังทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ เด็กสาวได้ยินต่างสะดุ้งหวาดกลัว พวกนางกระจ่างใจดีถูกขายมาครั้งนี้ไม่พ้นลงเอ่ยที่หอนางโลม ทว่าอย่างน้อยได้อยู่ที่ดี ๆ ชีวิตก็อาจจะไม่ย่ำแย่จนเกินไป จึงพากันกระตื้อรือร้นลงจากรถม้า
แม่นางหลีคลี่พัดพลางเดินสำรวจ แววตาของปรายตามองดูเด็กสาวที่ละคน ดูจากสีหน้านับว่าพึงพอใจ ดวงตาของโจวถังประกายแววยินดี
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหลีหรือไม่ขอรับ...ข้าเดินทางไปรับมาจากบ้านด้วยตนเอง ต่างเป็นเด็กสาวว่านอนสอนง่ายทุกคนขอรับ”
แม่นางหลีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มพราว
“นับว่าท่านโจวถังใส่ใจคุณภาพไม่น้อย”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ มาส่งให้หอซิงเซียงจะขอไปทีไม่ได้ ข้าเลือกสรรมาอย่างดีให้ท่านเลือกก่อนหอนางโลมอื่น ๆ ด้วยนะขอรับ”
ความเหน็บหนาวสะท้านแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนสั่นเทา ทั้งที่นางไม่ใช่หวังเว่ยซินตัวจริงเย็นยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด เมื่อปรายตาดูก็เห็นเด็กสาวล้วนดวงตาหม่นหมองใบหน้าซีดเซียว
ปรากฏว่า แม่นางหลีรับไว้ทั้งหมดจากนั้นนางก็ส่งสายตาให้คนพาเด็กสาวเข้าไปข้างใน บุรุษกำยำกลุ่มหนึ่งออกมาต้อนดั่งต้อนวัวควาย หวังเย่วซินกำมือแน่นเตือนสติตนเองอย่างสร้างเรื่องราวลับสายตาคนอื่น นางแค่หนีออกไปก็จบแล้ว
พวกนางถูกนั่งไปขังรวมในห้องหนึ่ง หวังเว่ยซินได้ยินแว่วคุยกัน พวกเขากำลังพูดคุยเจรจาราคากัน ต่อรองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ร้อยตำลึง ข้ามีค่าหนึ่งร้อยตำลึง
เมื่อตกลงซื้อขายกันเสร็จ แม่นางหลีก็เดินเข้ามากวาดสายตาไปทั่วแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว ชีวิตมีแต่ต้องเดินต่อ...รูปร่างหน้าตาของพวกเจ้าแต่ละคนล้วนงดงาม หากมีวาสนาอาจจะมีเหล่าขุนนางรับเลี้ยงเป็นอนุอยู่ดีกินดีไปตลอดชาติ เชื่อข้าแม้กระทั่งบ้านเดิมพวกเจ้าก็ให้สิ่งนี้ไม่ได้”
เหล่าเด็กสาวพลางฟังพลางสะอื้น แม่นางหลีเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้า แล้วถือกระดาษหนาชุดหนึ่งขึ้นตบเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงขรึมข่มขู่
“พวกเจ้าลองทบทวนดูให้ดี..ข้าซื้อขายพวกเจ้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย จะทำยำแกงอย่างไรก็ได้ หากพวกเจ้าคิดหนี นอกจากคนของข้า ที่จะตามจับพวกเจ้า..ยังมีคนของทางการ..หากหลุดรอดไปจริง ๆ ตลอดชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะเปิดเผยตนเองได้เลย”
จากนั้นแม่นางหลีก็สะบัดโบกเดินส่ายสะโพกออกไป อย่างไม่ใส่ใจว่าใครจะรู้สึกอย่างไร
วาจานี้ สร้างความตกตะลึงให้กับหวังเว่ยซินเป็นอย่างมาก แสดงว่า แม้นางจะหนีไปได้ ก็ไม่ต่างจากนักโทษ?
นางปลอบให้ตนเองใจเย็น ไม่หนีก็ได้
นางมีเงินนางมาไถ่ตัวเองได้
หลังจากนั้นก็มีบ่าวหญิงชราพาพวกนางไปยังห้องอาบน้ำขัดตัว พวกนางถูกเปื้อนอาภรณ์จนหมดสิ้นทั้งกายไม่มีสิ่งใดปกปิด เด็กสาวแต่ละคนล้วนก้มหน้าแดงอับอาย หญิงชราต่างเดินสำรวจพร้อมลูบคล่ำนวดคลึง พลางบ่น “ฮืม ผิวค่อนข้างหยาบกระด้างต้องบำรุงให้มากเสียหน่อย”
แผ่นหลังเด็กสาวคนหนึ่งถูกชี้ นางสะดุ้งตกใจหญิงชราไม่ได้สนใจ เอ่ยพูดน้ำเสียงเสียดาย “มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ตรงนี้ ลองหาขึ้ผึ้งมาทาดู”
หลังจากนั้นพวกเขาก็นำชุดผ้าแพรสีขาวปักลายพุดตานหลากสีสรร มวยผมอย่างปราณีตประทินโฉมบางเบา เน้นเผยความงดงามตามธรรมชาติ ผสานกับดวงตากลมโตแววตาไร้เดียงสา เด็กสาวชาวบ้านเหล่านี้ก็กลายเป็นบุปผาแรกแย้มพร้อมให้บุรุษมาเด็ดดอมดม
แม่นางหลีเข้ามาดูผลงาน ดวงตานางเป็นประกายยิ้มแย้มแฝงเลศนัย “พวกเจ้าควรต้องภาคภูมิใจ ที่ตนเองยังมีรูปร่างงดงามพอผ่อนปรนชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ให้อับจนมากเกินไป”
ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมรักสวยรักงาม ครั้งได้เห็นตนเองสวมชุดอาภรณ์หรูหราใบหน้าแต่งแต้มงดงามผุดผาดก็เริ่มมีรอยยิ้มมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้แย่จนเกินรับไหว
หวังเว่ยซินครุ่นคิด นางเองก็อยากรู้เสียแล้ว ว่าคืนแรกของนางจะราคาเท่าไรจะมีคนเสนอราคาไหมนะ ฮ่า ฮ่า
ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิ ดวงดาวบนฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับหวังเว่ยซินมาปรากฏกายตรงจุดที่นางในนามกูเฉียวจิงชาติที่แล้ว ฝั่งหีบเงินเอาไว้ เวลาน่าจะผ่านมาหลายปี ต้นไม้น้อยใหญ่เติบโตปกคลุม โชคดีที่นางขโมยมีดมาจากห้องครัวด้วย
ฉับ ฉับ พริบตาต้นไม้ก็ถูกถางเกือบหมดสิ้น นางใช้ปลายมีดขุดดินลงไปได้เพียงหนึ่งครั้ง ก็รู้สึกเยือกเย็นที่คอเมื่อกวาดสายตามองตามกระบี่ไปก็สบสายตากับคนคุ้นเคย
“ซูซูหรือ ข้าคือ นักฆ่าศตวรรษที่ยี่สิบห้า พอดีเลยเจ้ามาช่วยข้าขุดหน่อย”
ทั้งแววตาทอประกายดั่งยินดีที่ได้พบพร้อมกับประโยคนั้น ทำให้ซูซูชะงักงัน เพ่งมองดูเด็กสาววัยแรกแย้มตรงหน้าอีกครั้ง นักฆ่างั้นหรือ? หลายปีที่มานางจินตนาการถึงคนที่จะมาขุดหีบเงินหีบนี้มาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีในความคิดว่าจะเป็นเด็กสาวอรชรบอบบางผู้หนึ่ง
“เหตุใดจึงนิ่งเล่า...มาช่วยกันหน่อย”
หวังเว่ยซินเอ่ยเรียกสติอีกฝ่ายอีกครั้ง ทว่าถึงซูซูไม่ช่วย นางก็ไม่ขุ่นเคือง เพราะตอนนี้นางเบิกบานใจยิ่งนัก
พรทั้งสามข้อท่านเทพให้นางครบทุกข้อ
ดีจริง ๆ
ชีวิตที่เป็นอิสระได้เริ่มต้นแล้ว
ตอนที่ 1 ฮูหยินกู้...ถามข่าวท่านทุกวันคนเฝ้าหีบสมบัติซูซูมองเด็กสาวประครองหีบขึ้นมา เมื่อเปิดดูข้างในก็เจอตั๋วเงินหลายแผ่นพร้อมเครื่องประดับจำนวนหนึ่ง เด็กสาวดวงตาโตเจิดจ้าใต้แสงดาว ได้ยินเสียงนางพึมพำ“เงินของข้า เงินของข้า”นางประคองหีบออกมาอย่างประคบประหงม ลุกขึ้นปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วหันมากล่าว “ซูซู ขอบคุณท่านมากนะที่เฝ้าให้ข้า ข้าไปล่ะ”ในขณะที่กำลังจะทะยานออกไป ซูซูก็เอ่ย“คุณหนูช้าก่อน” จากนั้นก็ไปขวางหน้าเด็กสาว เห็นสีหน้าที่ดูแตกตื่นแววตาสังหารประกายวาบขึ้น นางก็รีบอธิบาย “ป่ะ...เปล่า ข้ามิได้ห้ามที่ท่านจะนำหีบไป เพียงแต่ฮูหยินสั่งเอาไว้ หากท่านมาก็ให้เชิญท่านไปพบ”เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจยิ้มตอบ “ฝากบอกนางว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาไว้ทุกอย่างลงตัวแล้วข้าจะไป”หวังเว่ยซินกำลังจะก้าวเท้าออกไปก็ถูกซูซูขวางอีกรอบ “คุณหนูจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าท่านพักอยู่ที่ใด เผื่อหากว่าฮูหยินถามข้าจะได้มีข้อมูล...เอ่อ..ฮูหยินถามข่าวท่านทุกวันเลยนะเจ้าคะ สีหน้านางดูเป็นกังวลและห่วงใยท่านมาก” แววตาของหวังเว่ยซินมีประกายอบอุ่นขึ้นมา นางคลี่ยิ้มตอบ “ข้าถูกนำมาขายที่หอซิงเซียง ต
ตอนที่ 2 เกิดใหม่อีกครั้งเวลาก็ผ่านไปสามปี รถม้าจวนหงอี้กงเคลื่อนผ่านพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา “นี่...รู้ไหมฮูหยินหงอี้กง จัดหาอนุให้กับท่านหงอี้กงอีกแล้วนะ ...ได้ยินว่าเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มงดงามที่สุดที่หอซิงเซียงอุตสาหามาได้ แต่จวนหงอี้กงก็ยังมาแย่งคนไป” “จริงหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูตื่นเต้นประหลาดที่สุด ทำให้คนเล่ายิ่งรู้สึกสนุกอยากเล่าต่อ “แน่นอน...ข้าได้เห็นกลับตา ว่าไปแล้วก็อิจฉาหงอี้กงยิ่งนัก ได้ฮูหยินที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเช่นนี้ หากเป็นข้าก็อยากจะกลับเรือนทุกวัน” “คริ คริ” เสียงสตรีผู้หนึ่งหัวเราะขบขันพลางกล่าว “ท่านมีเงินเลี้ยงพวกนางหรือข้าได้ยินว่า ฮูหยินหงอี้กงใช้เงินเดือนละหลายหมื่นตำลึงหมดไปกับอาภรณ์เครื่องประดับของเหล่าอนุเชียวนะ” บุรุษผู้นั้นรู้สึกเสียหน้าระคนละอาย ตอนนี้แค่นี้ภรรยากับบุตรสองคนก็แสนอัตคัดจะมีปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงอนุเพิ่มบุรุษผู้หนึ่ง หมุนจอกชาในมือไปมาคิดไปแล้วก็แปลกใจดูเหมือนว่า อยู่ ๆ เขาก็ตัดใจจากกู้เฉียวจิงได้ จวนหงอี้กงในส่วนฮูหยินอันดับหนึ่งที่ทุกคนให้ตำแหน่งมา
ตอนที่ 3 บทบาทต่อไป...พี่สาวจอหงวน “คุณหนูหวัง...ถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ” เสียงพ่อบ้านเฉิงเอ่ยเรียกอยู่นอกรถม้าด้วยเสียงนอบน้อม พอหวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมา ก็เจอป้ายขนาดใหญ่หอสุราชิงเห่อ โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หวังเว่ยซินถอนหายใจ มิต้องสงสัย คงไม่ได้เริ่มต้นแบบชีวิตสตรีชาวบ้านทั่วไปเสียแล้ว นางก้าวลงรถม้า พ่อบ้านเฉิงก็เอ่ยบอก “นี่คือเอกสารของท่านขอรับ เมื่อสักครู่คนเอามาส่งแล้ว” “รบกวนแล้ว ขอบคุณพ่อบ้านเฉิงมาก” “มิกล้า มิกล้า โรงเตี๊ยมนี้ท่านจะอยู่กี่คืนก็ได้ขอรับ ข้าได้สั่งเถ้าแก่เอาไว้ ให้ไปเก็บที่จวน” หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นก็เอ่ย “ท่านพ่อบ้านมีภารกิจมากมาย ขอมิอาจรบกวนนาน ส่งข้าเท่านี้พอ” พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับว่าอย่าขัดใจคนเบื้องหน้าเด็ดขาด ก็รีบขานรับทันที “มิกล้า มิกล้า เช่นนั้นบ่าวขอตัว” “เดินทางดี ๆ เจ้าค่ะ” จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็มารับหน้าต่อ “คุณหนูเชิญด้านในเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านจะไปยังห้องพักหรือว่านั่งผ่อนคลายที่ระเบียงชั้นสองก่อนดีเจ้าคะ” “ข
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 12 ได้เริ่มต้นแล้วรุ่งเช้าหวังเว่ยซินก็ไปปรากฏกายที่ร้านเครื่องเขียน“จางฮูหยินหรือขอรับ?” เด็กในร้านทวนวาจาของหวังเว่ยซิน“ใช่...ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนาง” “ได้ ๆ ขอรับ...” หลังจากได้ที่อยู่สักพัก หวังเว่ยซินก็มาปรากฏกายอยู่หน้าเรือนของสกุลจาง เรือนหลังเล็กค่อนข้างทรุดโทรม ประตูเรือนถูกปิดเอาไว้ไม่ได้ใส่กุญแจไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้าไปขโมยของ เด็กสาวแต่งกายงดงามโดดเด่นเพื่อนบ้านที่ชะโงก มองดูนางยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนมาบอก“คุณหนู..สกุลจาง... ไม่มีผู้ใดอยู่หรอก พวกเขาออกไปทำงานกันหมดแล้ว” หวังเว่ยซินหันไป ถามต่อ “ท่านป้าพอทราบหรือไม่ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไร”“ลูกชายกับลูกสาวออกไปรับจ้างทำนา คงมืดค่ำจึงจะได้กลับ ส่วนจางฮูหยินออกไปขายขนม ขายหมดเมื่อไรก็กลับมาเมื่อนั้น”ไม่มีคนอยู่เรือน หวังเว่ยซินตะโกนขอบคุณกลับ แล้วเดินออกมา ในเมื่อรู้ที่พักแล้วเย็นนี้ค่อยกลับมาเจอพวกเขา จากนั้นนางก็เร้นกายออกไปยังชานเมืองหาโรงน้ำชาเงียบสงบสักที่ ออกแบบโรงเตี๊ยมของนางต่อ เสร็จแล้วจะได้หาผู้รับเหมาก่อสร้างเสียทีทว่า บรรยากาศโรงน้ำชานอกเมืองหาได้เงียบสงบดั่งใจคิด กลุ่มคนเดินทาง
ตอนที่ 11 เข้าใจผิด หวังเว่ยซินออกมาโรงน้ำชาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางกระจ่างใจดี ในตอนนี้หวังอี้หยางไม่สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เด็กชายต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษ นางจึงต้องจำเป็นหาอาจารย์ไปสอนที่เรือนเท่านั้น เดินเล่นไปสักพักก็มาถึงเรือนเสียงพูดคุยของคนข้างใน ผุดความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้จิตใจของนางสงบลง “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” จือซือหันมายิ้มให้บุตรสาวแล้วพูดขึ้น “แม่กำลังจะปลูกผัก อย่างไรก็อยู่ว่าง ๆ” หวังเว่ยซินพยักหน้ารับทราบหันไปมองดู หวังอี้หยางกับโจวชุนที่กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นมากพลางคิดในใจ “หากซื้อที่ดินสักหลายแปลงให้พวกเขาทำไร่ทำนาจะดีกว่าไหมนะ” นางนั่งเล่นพูดคุยกับพวกเขาสักพักก็ขอตัวไปพักผ่อน บางอย่างคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด เมื่อเข้ามาในห้องก็หยิบกระดาษออก วาดรูปแบบโรงเตี๊ยมที่ต้องการคร่าว ๆ พอใกล้ถึงมื้อเย็น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูจากนั้นก็ได้ยินเสียง“พี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” โจวชุนเอ่ยถาม “เข้ามาสิ”
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง