ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน
ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่าย
เมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน
“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว”
ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ”
“ขอรับท่านแม่”
หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตู
ภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น
“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที
“พวกเขาคงตามพี่เว่ยซินมา..นี่พี่เว่ยซินกลับมาแล้วนะ นั่นไงนางอยู่ในรถม้านั่น” หวังอี้หยางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ขณะนั้นรถม้าก็มาจอดตรงหน้าเรือนแล้วมีหญิงสาวงดงามแต่งกายหรูหราผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า พอเห็นใบหน้าเขาก็พยายามก้าวเท้าเดินออกไปด้วยความยากลำบาก เอ่ยถามน้ำเสียงสั่น
“พะ..พี่เว่ยซินจริงหรือ” เด็กชายเอ่ยถามเพราะคิดว่านี้คือความฝัน ไม่ทันได้มองดูให้ชัดอีกสักครั้งภาพตรงหน้าก็พร่ามัวไปหมดเพราะหยาดน้ำตา หวังเว่ยซินยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเดินเข้าไปโอบกอดเด็กชาย “พี่กลับมา ..ท่านแม่เล่าท่านแม่อยู่ไหน”
อี้หยางกลืนก้อนสะอื้นลงคอเอามือปาดน้ำตาลวก ๆ พูด “ท่านแม่อยู่ในเรือน...พี่สาวรีบเข้าไปหาท่านแม่เถอะ ท่านล้มป่วยเพราะคิดมากเรื่องท่าน”
เด็กชายคว้ามือพี่สาวเข้าไปในเรือน หวังเว่ยซินยังไม่ก้าวเท้าตาม นางเบือนหน้ามายังลู่เมิ่งกล่าว “ท่านลู่...รบกวนท่านช่วยเฝ้าประตูเรือน อย่าให้ผู้ใดเข้าไปข้างในได้”
“ขอรับคุณหนู”
ฉับพลันคนของลู่เมิ่งก็เคลื่อนไหวออกมาเป็นกำแพงมนุษย์อยู่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว พวกสกุลหวังที่กำลังจะก้าวเท้าตามหวังเว่ยซินต่างชะงักและเงยหน้ามองอย่างหวาดกลัว หวังจงได้รับความอับอายอีกครั้ง เขาข่มความกลัวกล่าว “เรือนนี้เป็นของสกุลหวัง เหตุใดพวกข้าจะเข้าไปไม่ได้”
ลู่เมิ่งจ้องมองด้วยสายตาดุดัน กลิ่นอายแผ่ซานความอำมหิตออกมา ตอบห้วน “ข้ามิทราบ”
ริมฝีปากของหวังจงสั่นระริก ๆ ทว่าแม้จะเกรงกลัว แต่พวกเขาก็ยังใจดีสู้เสือ หันไปขอความเห็นใจจากชาวบ้านที่มามุงดู เสียงพูดคุยข้างนอกเริ่มโอนเอียงเข้าข้างสกุลหวัง หวังเว่ยซินไม่ได้สนใจ นางคุกเข่าข้างมารดา “ท่านแม่...ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
มือหยาบกระด้างของจือซือลูบไล้ไปยังใบหน้าเนียนของหวังเว่ยซินสั่นระริก ๆ นางจ้องมองบุตรสาวกลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป เอ่ยเสียงแหบพร่า
“ซินเอ๋อร์ ลูกจริง ๆ ใช่ไหม”
“ท่านแม่ข้าเอง”
จือซือดึงบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอดร้องไห้โหเสียงดัง “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน” ทำให้เสียงหน้าเรือนพลันเบาลง
ลู่เมิ่งยืนนิ่งเฝ้าประตูด้วยท่าทางดุดัน ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ทว่าหูกลับกำลังเอียงฟังเสียงข้างในเรือน
หวังเว่ยซินปล่อยให้มารดาร้องไห้ให้หน่ำใจ ก่อนจะพูดคุย เอ่ยเล่าเรื่องตกแต่งอย่างพิถีพิถันลงท้ายด้วยการขอร้องมารดาออกเดินทางไปด้วยกัน
“ท่านแม่...ไปกับข้าเถิด ที่นั้นข้ามีพร้อมสำหรับทุกอย่าง อี้หยางก็จะได้เล่าเรียนมิใช่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
จือซือหลังจากคลายความโคกเศร้าเริ่มมีสติ นางเหม่อมองบุตรสาว “ซินเอ๋อร์...ขอเพียงเจ้าอยู่อย่างมีสุขปลอดภัย แม่อยู่ที่นี่ได้”
หวังเว่ยซินส่ายหน้า “หากไม่อยู่ร่วมกันข้าก็ไม่อาจจะวางใจได้ ท่านแม่ที่นี่ยังมีสิ่งใดให้ท่านอาวรณ์อีกหรือ”
จือซือสะอึกในลำคอ นางไตร่ตรองภายในใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “..แม่เข้าใจแล้ว เช่นนั้นแม่จะไปกับเจ้า อี้หยางไปเก็บข้าวของ”
“ขอรับท่านแม่”
หวังเว่ยซินกวาดสายตามองภายในบ้านอันทรุดโทรม สั่นสะท้านในใจนอกจากอาภรณ์ที่สวมใส่ ล้วนไม่มีสิ่งที่ต้องเก็บสักอย่าง “เก็บแค่สิ่งของสำคัญเถอะเจ้าค่ะ”
หวังอี้หยางเห็นสายตาของพี่สาวก็เข้าใจความหมาย เขาจึงผงกหัวก่อนจะเข้าไปในห้องนอน
ประตูเรือนถูกเปิดออกมา ปรากฏภาพหวังเว่ยซินที่กำลังประครองจือซือออกมา แม้ดวงตาหงส์กับรูปร่างอ่อนซ้อยพวกชาวบ้านจะคุ้นชิน ทว่าความเด็ดขาดที่แฝงออกมาทางแววตาของหวังเว่ยซินทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่กล้าเอ่ยพูดส่งเดช
“นี่พวกเจ้าจะไปไหน” หวังจงไม่ยอมแพ้ วันนี้พวกเขาควรจะได้รับผลประโยชน์บ้าง
“ข้าจะพามารดากับน้องชายไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วย” หวังเว่ยซินตอบอย่างไม่ปิดปัง นางวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้ายิ้มบาง ๆ ชำเลืองมองไปยังลู่เมิ่ง
“ท่านลู่ ช่วยยกสิ่งที่ข้าเตรียมเอาไว้ออกมาด้วยเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ไม่รอให้ลู่เมิ่งสั่งการ พวกเขารีบนำออกมาทันที หวังจงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างแสดงอาการตื่นเต้น คาดหวังหลายอย่างในใจ ยิ่งเมื่อเปิดหีบออกพวกเขาก็เบิกตามองแววตาเปี่ยมด้วยความปิติยินดี ก้าวเท้าออกไปแต่ไปทันได้แตะต้องหีบก็ถูกกระบี่ขวางทางเอาไว้ หวังหนิงรีบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ซินเอ๋อร์ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กมีน้ำใจ ย่อมแบ่งปั่นวาสนาในครั้งนี้เป็นแน่”
รอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก ดูแฝงเจตนาร้ายชัดเจน ทำให้หวังหนิงที่กำลังจะพูดต่อหยุดชะงัก “เจ้ายิ้มเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
หวังเว่ยซินก้าวออกไปก้มหยิบเครื่องประดับชุดหนึ่งออกมา แล้วเดินออกไปยังเบื้องหน้าเด็กสาวคนหนึ่ง “อิ้จิน...ข้าจำได้ได้ว่าเจ้าชอบผีเสื้อ”
อี้จินตกตะลึงไม่คิดว่า หวังเว่ยซินจะเอ่ยและมอบของให้ตน นางมองปิ่นหยกแกะสลักผีเสื้อกำลังโบยบินอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “เว่ยซิน มันล้ำค่าเกินไป ข้ารับไม่ได้หรอก” หวังเว่ยซินดันเครื่องประดับให้ต่อ “ถือว่าเป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า ตอบแทนที่เคยช่วยเหลือข้าตลอดมา”
จากนั้นนางก็หันกลับไปหยิบผ้านวมผืนใหญ่แล้วเดินไปยังหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “ป้าจาง ผ้านวมผืนนี้ตอบแทนที่ท่านให้ความอบอุ่นกับข้า”
ป้าจางมองดูผ้านวมในมือหวังเว่ยซินไม่กล้าปฏิเสธ หน้าหนาวแต่ละปีช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน
“ซินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้วหรือ” ป้าจางเอ่ยถาม
“ข้ามิทราบ” จากนั้นนางก็หันไปหยิบสิ่งของอีก ชาวบ้านมีจำนวนมากขึ้น ทุกคนต่างได้รับสิ่งที่ควรได้รับแม้กระทั่ง จี้เจินก็ยังได้รับเงินเป็นค่าเล่าเรียนเพิ่มอีกสิบตำลึง
ลู่เมิ่งปรายตามอง หวังเว่ยซินที่กำลังมอบของให้เหล่าชาวบ้าน นางไม่เพียงมอบให้เฉย ๆ ยังเอ่ยวาจาอีกหลายประโยคแสดงความสนิทสนมคุ้นเคย ชายหนุ่มตั้งคำถาม
นางกำลังแสดงให้เขาดูหรือให้ใครดูกันแน่
คนสกุลหวังที่คาดหวังว่าตนเองจะได้รับสีหน้าเปลี่ยนจากยิ้มระรื่นเป็นเขียวคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ หวังเว่ยซินมอบสิ่งของออกไปจนเกือบหมดสิ้น แล้ว!! หวังจงทนไม่ไหวเอ่ยขึ้น
“หวังเว่ยซิน เจ้าทำเช่นนี้หมายความอย่างไร เจ้ากำลังเหยียบหยามพวกข้าหรือ”
หวังเว่ยซินเค่นยิ้มในลำคอ ในที่สุดก็รู้ตัวเสียที
“มิใช่ข้าบอกไปแล้วหรือทุกคนที่ข้ามอบให้ล้วนมีเหตุผลนะ” ชาวบ้านที่ได้ผลประโยชน์ต่างหยักหน้า
“เช่นนั้นแล้วของข้าเล่า” หวังหนิงโวยวายขึ้น
“ฮ่า ฮ่า...เช่นนั้นท่านลองกล่าวมาเถิดว่าข้าควรมอบให้ท่านด้วยเหตุผลใด” หวังหนิงชะงัก ทวนความทรงจำ แต่ภาพที่ประกฏออกมานางกลับไม่กล้าพูดออกมา เสียงตนเองด่าทอหวังเว่ยซินทุกวี่วันผุดขึ้นมา เสียงตบตีอีกฝ่าย ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ แต่นางยังแถออกไป
“แล้วท่านแม่เล่า มิใช่ท่านแม่หรือที่มอบเงินให้แม่เจ้าไปซื้อย่ามารักษาเจ้าตอนป่วย อีกทั้งเรือนและอาหารที่เลี้ยงเจ้าจนเติบโตมาจนบัดนี้ เจ้าจะไม่สำนึกบุญคุณสักนิดหรือ”
วาจานี้ หวังเว่ยซินย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเอ่ย นางจึงยกหีบเงินออกมา จากนั้นก็ก้าวออกไป ไม่รู้ว่านางสะดุดอะไรทำให้หีบเงินหล่นออกจากมือ เงินตำลึงจำนวนประมาณห้าสิบตำลึงหล่นกระจายออกมา
“นี่เจ้า นี่เจ้า จงใจใช่หรือไม่” หวังจงชี้หน้าหวังเว่ยซินไม่ทันได้ด่าอะไร ก็หันไปเห็นบุตรหลานของตนเองช่วยกันเก็บเงินดังกล่าว มีเงินก้อนหนึ่งกลิ้งมาที่เท้าของเขา หวังจงจ้องมองหวังเว่ยซินสั่งให้นางก้มลงไปเก็บ แน่นอนว่านางไม่ทำ..ในจังหวะนั้นหญิงรับใช้ที่หวังเว่ยซินจ้างมาชั่วคราวก็โผล่ออกมาทำทีจะก้มลงเก็บเงินด้วยความโลภหวังจงไม่ทันคิด เขารีบก้มลงเก็บเงินนั่นทันที
หึ! หวังเว่ยซินยิ้มอย่างพอใจ นับว่าช่วยทำให้ภาพลักษณ์สกุลหวังลดลงไปมาก เอาเท่านี้ก็พอ
นางหันไปประครองให้มารดาขึ้นรถม้า หวังหนิงรีบตะโกนทันที “หวังเว่ยซิน เงินพวกนี้ข้าดูแล้วน่าจะไม่กี่สิบตำลึง เจ้าตอบแทนสกุลหวังเท่านี้หรือ”
จือซือกำลังจะเอ่ยปาก เสียงหัวเราะเยาะของหวังเว่ยซินทำให้นางชะงักไม่กล้าพูด
“ด้วยการเลี้ยงดูอย่างที่พวกเจ้าทำ ชาวบ้านทุกคนต่างรับรู้ ไม่รวมที่ท่านเมตตาขายข้าให้คนพ่อค้าค้าทาส ไล่มารดาและน้องชายข้ามาอยู่ที่เก่าซอมซ่อ ท่านคิดว่าพวกท่านควรได้รับเท่าไร” น้ำเสียงท้าทายแฝงความขบขันขมขืน
ชาวบ้านที่ได้รับผลประโยชน์ต่างหันส่งสายตา เย้ยหยันสกุลหลังทำให้หวังจงไม่กล้าเอ่ยวาจา
จือซือ ย่อคารวะบอกลาทุกคนอีกครั้ง “ทุกท่านโปรดดูแลสุขภาพด้วย” จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป หวังอี้หยางหันไปลาสหายแล้วค่อยขึ้นรถม้าตามมารดา
หวังเว่ยซินยิ้มน้อย ๆ โค้งศรีษะ แล้วหันไปพยักหน้าให้ลู่เมิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองเข้าของต่าง ๆ ที่อยู่ในมือชาวบ้านด้วยสายตาเคียดแค้น
มันควรเป็นของข้า มันควรเป็นของข้า
นางก้าวเท้าหวังจะเข้าไปคุยกับหวังเว่ยซินก็ถูกคนของ ลู่เมิ่งขวางเอาไว้
หวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมาสบตาเหยียดหยามฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง เช่นนี้ เป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด
พวกคนโลภเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่ตนเองควรจะได้ ทุกราตรี มิอาจนอนหลับสนิท ยามเข้าสู่ห้วงฝันก็จะเพ้อถึงของที่ถูกแย่งชิงไป
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
ตอนที่ 11 เข้าใจผิด หวังเว่ยซินออกมาโรงน้ำชาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางกระจ่างใจดี ในตอนนี้หวังอี้หยางไม่สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เด็กชายต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษ นางจึงต้องจำเป็นหาอาจารย์ไปสอนที่เรือนเท่านั้น เดินเล่นไปสักพักก็มาถึงเรือนเสียงพูดคุยของคนข้างใน ผุดความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้จิตใจของนางสงบลง “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” จือซือหันมายิ้มให้บุตรสาวแล้วพูดขึ้น “แม่กำลังจะปลูกผัก อย่างไรก็อยู่ว่าง ๆ” หวังเว่ยซินพยักหน้ารับทราบหันไปมองดู หวังอี้หยางกับโจวชุนที่กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นมากพลางคิดในใจ “หากซื้อที่ดินสักหลายแปลงให้พวกเขาทำไร่ทำนาจะดีกว่าไหมนะ” นางนั่งเล่นพูดคุยกับพวกเขาสักพักก็ขอตัวไปพักผ่อน บางอย่างคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด เมื่อเข้ามาในห้องก็หยิบกระดาษออก วาดรูปแบบโรงเตี๊ยมที่ต้องการคร่าว ๆ พอใกล้ถึงมื้อเย็น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูจากนั้นก็ได้ยินเสียง“พี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” โจวชุนเอ่ยถาม “เข้ามาสิ”
ตอนที่ 12 ได้เริ่มต้นแล้วรุ่งเช้าหวังเว่ยซินก็ไปปรากฏกายที่ร้านเครื่องเขียน“จางฮูหยินหรือขอรับ?” เด็กในร้านทวนวาจาของหวังเว่ยซิน“ใช่...ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนาง” “ได้ ๆ ขอรับ...” หลังจากได้ที่อยู่สักพัก หวังเว่ยซินก็มาปรากฏกายอยู่หน้าเรือนของสกุลจาง เรือนหลังเล็กค่อนข้างทรุดโทรม ประตูเรือนถูกปิดเอาไว้ไม่ได้ใส่กุญแจไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้าไปขโมยของ เด็กสาวแต่งกายงดงามโดดเด่นเพื่อนบ้านที่ชะโงก มองดูนางยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนมาบอก“คุณหนู..สกุลจาง... ไม่มีผู้ใดอยู่หรอก พวกเขาออกไปทำงานกันหมดแล้ว” หวังเว่ยซินหันไป ถามต่อ “ท่านป้าพอทราบหรือไม่ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไร”“ลูกชายกับลูกสาวออกไปรับจ้างทำนา คงมืดค่ำจึงจะได้กลับ ส่วนจางฮูหยินออกไปขายขนม ขายหมดเมื่อไรก็กลับมาเมื่อนั้น”ไม่มีคนอยู่เรือน หวังเว่ยซินตะโกนขอบคุณกลับ แล้วเดินออกมา ในเมื่อรู้ที่พักแล้วเย็นนี้ค่อยกลับมาเจอพวกเขา จากนั้นนางก็เร้นกายออกไปยังชานเมืองหาโรงน้ำชาเงียบสงบสักที่ ออกแบบโรงเตี๊ยมของนางต่อ เสร็จแล้วจะได้หาผู้รับเหมาก่อสร้างเสียทีทว่า บรรยากาศโรงน้ำชานอกเมืองหาได้เงียบสงบดั่งใจคิด กลุ่มคนเดินทาง
ตอนที่ 0 ความเดิมชาติที่แล้ว หวังเว่ยซินในชาติที่แล้ว ทะลุมิติเข้าในนิยายอยู่ในร่างของกู้เฉียวจิงฮูหยินเอกของแม่ทัพบูรพาเสิ่นเยี่ยหงพร้อมมีบุตรด้วยกันสองคน ในวันที่เกิดใหม่พร้อมภารกิจตู้ยาวิเศษ เกิดเรื่องราวมากมายจนกระทั่งนางหลงรักบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนมากไม่อาจจะตัดใจจากไป ทว่านางไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเสิ่นเยี่ยหงแม้แต่น้อยอีกทั้งคนที่บุรุษรักก็ไม่ใช่นาง หากฝืนรักฝืนอยู่ด้วยกันย่อมมีปัญหามากมายตามมาที่หลัง จนกระทั้งทำภารกิจที่ห้าสำเร็จ นางได้รับรางวัลเป็นพรสามประการและยังค้นพบอีกว่าตั้งแต่แรกที่นางมาอยู่ที่นี่...เจ้าของร่างเดิมกู้เฉียวจิงยังอยู่กับนาง เป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ กู้เฉียวจิง เจ้าของร่างเดิมไม่ได้คิดจะทวงร่างคืน เพราะหากไม่มีหวังเว่ยซินที่เข้ามาอยู่ในร่างแทนแม้กระทั่งชีวิตของบุตรชายก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ บุญคุณครั้งนี้แค่ร่างกายนางยินดีที่จะมอบให้ นางจึงมาขอพรหนึ่งข้อเพื่อไปเกิดใหม่ ทำให้หวังเว่ยซิน ผุดวาบความคิดหนึ่งขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของนาง คืออยากออกจากจวนหงอี้โหว อยากหย่า เพียงแต่นางไม่อาจตัดใจทำร้ายจิตใจเด
ตอนที่ 12 ได้เริ่มต้นแล้วรุ่งเช้าหวังเว่ยซินก็ไปปรากฏกายที่ร้านเครื่องเขียน“จางฮูหยินหรือขอรับ?” เด็กในร้านทวนวาจาของหวังเว่ยซิน“ใช่...ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนาง” “ได้ ๆ ขอรับ...” หลังจากได้ที่อยู่สักพัก หวังเว่ยซินก็มาปรากฏกายอยู่หน้าเรือนของสกุลจาง เรือนหลังเล็กค่อนข้างทรุดโทรม ประตูเรือนถูกปิดเอาไว้ไม่ได้ใส่กุญแจไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้าไปขโมยของ เด็กสาวแต่งกายงดงามโดดเด่นเพื่อนบ้านที่ชะโงก มองดูนางยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนมาบอก“คุณหนู..สกุลจาง... ไม่มีผู้ใดอยู่หรอก พวกเขาออกไปทำงานกันหมดแล้ว” หวังเว่ยซินหันไป ถามต่อ “ท่านป้าพอทราบหรือไม่ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไร”“ลูกชายกับลูกสาวออกไปรับจ้างทำนา คงมืดค่ำจึงจะได้กลับ ส่วนจางฮูหยินออกไปขายขนม ขายหมดเมื่อไรก็กลับมาเมื่อนั้น”ไม่มีคนอยู่เรือน หวังเว่ยซินตะโกนขอบคุณกลับ แล้วเดินออกมา ในเมื่อรู้ที่พักแล้วเย็นนี้ค่อยกลับมาเจอพวกเขา จากนั้นนางก็เร้นกายออกไปยังชานเมืองหาโรงน้ำชาเงียบสงบสักที่ ออกแบบโรงเตี๊ยมของนางต่อ เสร็จแล้วจะได้หาผู้รับเหมาก่อสร้างเสียทีทว่า บรรยากาศโรงน้ำชานอกเมืองหาได้เงียบสงบดั่งใจคิด กลุ่มคนเดินทาง
ตอนที่ 11 เข้าใจผิด หวังเว่ยซินออกมาโรงน้ำชาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางกระจ่างใจดี ในตอนนี้หวังอี้หยางไม่สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เด็กชายต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษ นางจึงต้องจำเป็นหาอาจารย์ไปสอนที่เรือนเท่านั้น เดินเล่นไปสักพักก็มาถึงเรือนเสียงพูดคุยของคนข้างใน ผุดความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้จิตใจของนางสงบลง “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” จือซือหันมายิ้มให้บุตรสาวแล้วพูดขึ้น “แม่กำลังจะปลูกผัก อย่างไรก็อยู่ว่าง ๆ” หวังเว่ยซินพยักหน้ารับทราบหันไปมองดู หวังอี้หยางกับโจวชุนที่กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นมากพลางคิดในใจ “หากซื้อที่ดินสักหลายแปลงให้พวกเขาทำไร่ทำนาจะดีกว่าไหมนะ” นางนั่งเล่นพูดคุยกับพวกเขาสักพักก็ขอตัวไปพักผ่อน บางอย่างคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด เมื่อเข้ามาในห้องก็หยิบกระดาษออก วาดรูปแบบโรงเตี๊ยมที่ต้องการคร่าว ๆ พอใกล้ถึงมื้อเย็น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูจากนั้นก็ได้ยินเสียง“พี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” โจวชุนเอ่ยถาม “เข้ามาสิ”
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง