ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ”
หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน”
ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้”
เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป
รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่งที่ตนเองต้องการทันที
“ข้าต้องการอาภรณ์ใหม่พร้อมเครื่องประดับที่หรูหราที่สุด และรบกวนท่านช่วยหาคนแต่งกายให้ข้าจะได้หรือไม่” เถ้าแก่ของร้านมองหวังเว่ยซินอย่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรับปาก “ได้ ๆ ขอรับ คุณหนูรบกวนรอสักครู่ เด็ก ๆ พาคุณหนูไปยังห้องรับรอง ..โจวชุนไปเชิญฮูหยินมาตอนนี้”
หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก ที่ไหนก็ขอมีเงินก็เป็นเรื่องง่าย นางหันไปบอกลู่เมิง “ท่านลู่ ไม่ต้องตามข้าไปรอข้าที่รถม้าเถิด”
ใบหน้าลู่เมิ่งยังคงสุขุมยกมือประสาน “ขอรับ”
ลู่เมิ่งจอดรถม้ารอหวังเว่ยซินอยู่หน้าร้านแพรประมาณครึ่งชั่วยามเด็กสาวถึงปรากฏกาย เดิมหวังเว่ยซินก็งดงามอยู่แล้วเมื่อสวมอาภรณ์เครื่องประดับยิ่งขับให้นางดูสูงส่ง ทว่าภายในใจลู่เมิ่งกลับรู้สึกเอ็นดูเพราะรอยยิ้มอ่อนใจดูท่านางน่าจะเหนื่อยกับการแต่งกายไม่น้อย
หวังเว่ยซินไม่รู้เลย ว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีผู้ใดถูกสบสายตาจะไม่หวั่นไหว ลู่เมิ่งที่จิตใจมั่นใจยังรู้สึกสั่นสะท้าน เขายิ้มตอบเล็กน้อยหันไปมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกายหวังเว่ยซินมากกว่าคนจำนวนหนึ่งกำลังทั้งหอบของและหีบขนาดใหญ่สองสามหีบ
“เด็กคนนี้ ข้าว่าจ้างเป็นบ่าวรับใช้ชั่วคราว”
หวังเว่ยซินอธิบาย ลู่เมิ่งยังคงประหยัดวาจา เขาไม่เอ่ยถามเหตุผลเช่นเคย แม้ท่าทางของหญิงรับใช้คนนั้นจะดูผิดแปลก
“ขอรับ...เชิญคุณหนูขึ้นรถม้า”
เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ค่อนข้างขรุขระรถม้าเคลื่อนสั่นไหวไปมา หวังเว่ยซินแทบอยากจะออกไปควบขี้ม้าแทน รถม้าคันใหญ่หรูหราเข้ามาในหมู่บ้านก็ดึงดูดสายตาของคนในหมู่บ้านทันที
“นั่นใครกัน คนต่างถิ่นหลงทางเข้ามาหรือ”
สตรีชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น สตรีอีกคนหรี่ตามองเห็นบุรุษที่นำขบวนมีบุคลิกองอาจดูล่ำซำ เอ่ยพูดพร้อมก้าวฝีเท้าออกไป
“เอะ...ข้าจะสอบถามเสียหน่อยเผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ”
ขบวนเดินทางยังเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ลู่เมิ่งเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจึงชำเลืองมอง สตรีคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มแป้นอย่างยินดีเอ่ยถามขึ้น
“ท่านผู้สูงศักดิ์กำลังจะไปที่ใดหรือ ให้ข้าช่วยนำทางหรือไม่”
หวังเว่ยซินได้ยินเสียงคุ้นเคย แต่ไม่ได้เปิดผ้าม่านออกมา ได้ยินเสียงลู่เมิงตอบกลับไป
“เรียนแม่นาง ข้ากำลังจะไปตระกูลหวัง/ ..อ่า..นั่นมันตระกูลของข้า ท่านตามข้ามาเลย” ลู่เมิงยังเอ่ยไม่เต็มประโยคสตรีผู้นั้นก็โพล่งพูดแทรกขึ้น
คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงของหวังหนิงและเห็นขบวนเดินทางที่ดูยิ่งใหญ่ก็ต่างเริ่มให้ความสนใจ ทำให้หวังหนิงยิ่งได้ใจเอ่ยพูดเสียงดัง
“ท่านผู้สูงศักดิ์คงเป็นสหายของน้องชายข้ากระมัง เช่นนั้นตามข้ามาเถิด ข้าจะนำทางพวกท่านเอง”
ลู่เมิงปรายสายตามองในรถม้า เห็นว่าผ้าม่านยังไม่คงนิ่งไม่ไหวติง แสดงว่ายินยอมให้สตรีผู้นี้นำทาง จึงหันมาประสานมือตอบ “รบกวนแม่นางด้วย”
หวังเว่ยซินที่อยู่ในรถม้าได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบข้างนอก พวกเขาต่างคาดเดาบุคคลในรถม้าในหลากหลายรูปแบบ และด้วยความสนใจและใคร่รู้ คนที่เดินตามรถม้าก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงประตูเรือนสกุลหวัง
“ท่านแม่ ท่านแม่...มีผู้สูงศักดิ์มาเยือนเจ้าค่ะ” เสียงหวังหนิงตะโกนโหวกเหวก ทั้งหวังเรียกคนข้างในและคนที่อยู่ล้อมรอบได้ยิน
กระนั้นหวังเว่ยซินก็ยังไม่ออกมาจากรถม้า
แอ๊ด...เสียงประตูดังขึ้น หวังหนิงเห็นมีสตรีผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมา ก็รีบพูดขึ้นน้ำเสียงร้อนรน “พี่สะใภ้...ท่านรีบไปตามท่านแม่กับท่านพ่อมาต้อนรับเดี๋ยวนี้” สตรีผู้นั้นเบิกตากว้างมองคนเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง รถม้าคันใหญ่หรูหราและคนคุ้มกันนั่งอยู่บนหลังม้าช่างองอาจข่มขวัญ ทำให้นางเชื่ออย่างสนิทใจ รีบกลับเข้าไปในทันที
สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา นำหน้าด้วยหวังจงกับหวังฮูหยินพวกเขาไม่เอ่ยถามที่มาที่ไปก็รีบพากันคุกเข่า หวังจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นท่วงตาดุจดั่งนักปราชญ์
“ข้าหวังจง คารวะผู้สูงศักดิ์”
หวังเว่ยซินอดทนอดกลั้น ไม่หลุดเสียงหัวเราะออกไป นางยืนมือออกไป คนข้างนอกที่กำลังจ้องมองรถม้าเป็นตาเดียวมือขาวเนียนหมดจดโผล่พ้นออกมา แม้ยังไม่เปิดเผยโฉม นิ้วมือเรียวยาวงดงามนั่นก็สะกดตรึงจิตผู้คนไปกว่าครึ่งใจ พวกเขาต่างพากันจินตนาการถึงรูปโฉมอย่างใจจดใจจอ
บ่าวรับใช้ยืนมือไปให้หวังเว่ยซินจับ นางโค้งศีรษะปิ่นหยกระย้างดงามโผล่ออกมา ยิ่งกระตุ้นให้ทุกคนตื่นเต้น ลืมหายใจไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อนางเงยหน้าขึ้นยืนอย่างมั่นคงก็มีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“นั่นมัน...พี่เว่ยซินนี่น่า”
ทุกคนต่างกระพริบตาถี่ ดูให้ชัดเจนอีกครั้ง แม้เด็กสาวตรงหน้าจะงดงามสะคราญแต่งกายด้วยผ้าไหมราคาแพงสวมเครื่องประดับล้ำค่า ใบหน้าเฉิดฉายเย็นชาแต่ใบหน้านั้นพวกเขาต่างคุ้นเคยดี จึงมีเสียงเอ่ยขึ้น
“อ่า...แม่หนูเว่ยซินจริง ๆ ด้วย”
หวังจงที่กำลังคุกเข่าอยู่ รีบเงยหน้าขึ้นมามองดูเขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“คริ คริ...” เสียงหัวเราะดังกังวานอย่างไพเราะเสนาะหู ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มหัวเราะการกระทำของคนสกุลหวัง หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก นับว่าการอดทนแต่งกายทรงเครื่องเป็นชั่วยามไม่เสียเปล่าจริง ๆ
แม่เฒ่าหวังรีบลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอหวังเว่ยซินทันที “นังเด็กชั่วร้าย...แต่แกกล้าให้ปู่กับย่า คุกเข่าให้เชียวหรือ”
หวังเว่ยซินก้าวเดินออกไปข้างหน้า ทั่วกายเรือนร่างไม่มีกลิ่นอายเด็กสาวเมื่อวันวาน ทุกกริยาแฝงความเย่อหยิ่งราวคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งแววตาเย็นชาคู่นั้นที่จ้องมองมาทำให้แม่เฒ่าหวังเผลอถอยหลังหนี
“ข้ามิได้บอกให้พวกท่านคุกเข่าเสียหน่อย เป็นพวกท่านที่กระทำเองคิดไปเอง” ขณะที่พูดหวังเว่ยซินก็กวาดตามองทุกคน นางยอมรับจากใจคนสกุลหวังล้วนมีใบหน้างดงามหมดจน ท่วงท่ากลิ่นอายคล้ายตระกูลใหญ่อยู่บ้าง มิน่าถึงหลอกผู้คนว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรมได้
ทว่าไม่มีมารดากับน้องชายของนางในกลุ่มนี้ แน่นอนล่ะ เรื่องดี ๆ พวกเขาไม่มีทางได้โผล่หน้าออกมา นางปรายสายตามองฮูหยินเฒ่าแล้วพูดขึ้น
“...อ่า...นี้ท่านหายป่วยแล้วหรือ..แล้วตอนนี้มารดากับน้องชายข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงความเย็นชา หวังจงพึ่งได้สติแต่ไม่ตอบคำถาม
“เว่ยซิน เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” หวังเว่ยซินยิ้มที่มุมปาก
“นั่นสิ ข้าถูกพวกท่านขายไปแล้ว ควรจะอยู่หอนางโลมหรือเป็นบ่าวอุ่นเตียงในจวนขุนนาง ไม่ควรได้ออกมาเดินเพ่นพานสินะ” เสียงกระซิบพูดคุยเริ่มดังขึ้น
แม่เฒ่าหวังเดินออกมาเบื้องหน้า สำรวจหวังเว่ยซินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “นี่เจ้าคงโชคดี มีคนเลี้ยงดูสินะ...ข้าค่อนสบายใจหน่อย..”
นางเอามือทาบอก ท่าทางดุจดั่งหญิงชราอบอุ่นมีเมตตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกขยะแขยง รีบบอกปัดคนเหล่านี้ออก “ใช่และตอนนี้ข้ามิใช่คนสกุลหวังแล้ว...พวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หวังหนิงเผยแววเจ็บปวดระคนละอายใจ เอ่ยขึ้น “หวังเว่ยซิน สกุลหวังจำใจขายเจ้าเพราะจำเป็นต้องใช้เงินรักษาท่านแม่ หลายวันที่ผ่านมาพวกข้าทุกคนล้วนอยู่ด้วยความทุกข์ใจ นี่ไม่ใช่เพราะเป็นเพราะความกตัญญูหรือหรือ ส่งผลให้เจ้าจะได้มีโอกาสได้สวมชุดอาภรณ์งดงามอย่างนี้...เช่นนี้เจ้ารีบคารวะขอบคุณและขอขมาท่านแม่เสีย”
ลู่เมิ่งคิ้วกระตุกเล็กน้อย นี่มันตระกะเพี้ยนอะไร หากไม่โง่เขลาผู้ใดก็มองออก รักษาอาการป่วยนั่นล้วนเป็นข้ออ้าง ขายหลานสาวให้กับพ่อค้าทาส ไม่ต่างอะไรกับส่งไปไม่มีทางมีชีวิตที่ดีได้ เหตุใดยังกล้าเสนอหน้าพูดทวงบุญคุณ
“ฮ่า ฮ่า...พวกท่านช่างหน้าไม่อายสม่ำเสมอเสียจริง”
หวังจงหน้าเขียวคล้ำ “นั่งเด็กสามหาว นี่เจ้ากล้าด่าทอสกุลเดิมตนเองขนาดนี้เชียวหรือ..ชีวิตนี้เจ้าอย่าหวังจะได้ดี” หวังเว่ยซินอยากด่าอีกหลายประโยค แต่นางคิดว่าเท่านี้พอแล้ว จึงเอ่ยน้ำเสียงกดดันอีกครั้ง
“มิต้องให้ท่านเป็นกังวล...ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน..ข้าถามว่ามารดาข้าอยู่ที่ใด” คนสกุลหวังต่างชำเลืองมองกันปรึกษากันผ่านสายตา ทำให้หวังเว่ยซินรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางก้าวเท้าออกไปสีหน้าดุดันเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กน้อยคนเดิมที่เอ่ยพูดขึ้นเมื่อสักครู่จึงพูดขึ้น
“ท่านป้ามู่กับน้องอี้หยาง ย้ายออกไปแล้วขอรับตอนนี้พวกเขาพักอยู่เชิงเขาโน้น” หวังเว่ยซินผ่อนหายใจโล่งออก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดินมานั่งเบื้องหน้าเด็กน้อย หยิบเงินออกมาถุงหนึ่งยื่นออกไป
“จี้เจิน..ข้าจ้างเจ้าเป็นผู้นำทาง...พาข้าไปหาท่านแม่ที”
จี้เจินเบิกตามองถุงเงินอย่างดีใจ
“ได้ ๆ พี่เว่ยซินตามข้ามาเลย”
คนสกุลหวังแม้ตอนนี้จะรู้สึกเสียหน้าแต่กระนั้นก็พากันเดินตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
ตอนที่ 11 เข้าใจผิด หวังเว่ยซินออกมาโรงน้ำชาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางกระจ่างใจดี ในตอนนี้หวังอี้หยางไม่สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เด็กชายต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษ นางจึงต้องจำเป็นหาอาจารย์ไปสอนที่เรือนเท่านั้น เดินเล่นไปสักพักก็มาถึงเรือนเสียงพูดคุยของคนข้างใน ผุดความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้จิตใจของนางสงบลง “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” จือซือหันมายิ้มให้บุตรสาวแล้วพูดขึ้น “แม่กำลังจะปลูกผัก อย่างไรก็อยู่ว่าง ๆ” หวังเว่ยซินพยักหน้ารับทราบหันไปมองดู หวังอี้หยางกับโจวชุนที่กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นมากพลางคิดในใจ “หากซื้อที่ดินสักหลายแปลงให้พวกเขาทำไร่ทำนาจะดีกว่าไหมนะ” นางนั่งเล่นพูดคุยกับพวกเขาสักพักก็ขอตัวไปพักผ่อน บางอย่างคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด เมื่อเข้ามาในห้องก็หยิบกระดาษออก วาดรูปแบบโรงเตี๊ยมที่ต้องการคร่าว ๆ พอใกล้ถึงมื้อเย็น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูจากนั้นก็ได้ยินเสียง“พี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” โจวชุนเอ่ยถาม “เข้ามาสิ”
ตอนที่ 12 ได้เริ่มต้นแล้วรุ่งเช้าหวังเว่ยซินก็ไปปรากฏกายที่ร้านเครื่องเขียน“จางฮูหยินหรือขอรับ?” เด็กในร้านทวนวาจาของหวังเว่ยซิน“ใช่...ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนาง” “ได้ ๆ ขอรับ...” หลังจากได้ที่อยู่สักพัก หวังเว่ยซินก็มาปรากฏกายอยู่หน้าเรือนของสกุลจาง เรือนหลังเล็กค่อนข้างทรุดโทรม ประตูเรือนถูกปิดเอาไว้ไม่ได้ใส่กุญแจไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้าไปขโมยของ เด็กสาวแต่งกายงดงามโดดเด่นเพื่อนบ้านที่ชะโงก มองดูนางยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนมาบอก“คุณหนู..สกุลจาง... ไม่มีผู้ใดอยู่หรอก พวกเขาออกไปทำงานกันหมดแล้ว” หวังเว่ยซินหันไป ถามต่อ “ท่านป้าพอทราบหรือไม่ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไร”“ลูกชายกับลูกสาวออกไปรับจ้างทำนา คงมืดค่ำจึงจะได้กลับ ส่วนจางฮูหยินออกไปขายขนม ขายหมดเมื่อไรก็กลับมาเมื่อนั้น”ไม่มีคนอยู่เรือน หวังเว่ยซินตะโกนขอบคุณกลับ แล้วเดินออกมา ในเมื่อรู้ที่พักแล้วเย็นนี้ค่อยกลับมาเจอพวกเขา จากนั้นนางก็เร้นกายออกไปยังชานเมืองหาโรงน้ำชาเงียบสงบสักที่ ออกแบบโรงเตี๊ยมของนางต่อ เสร็จแล้วจะได้หาผู้รับเหมาก่อสร้างเสียทีทว่า บรรยากาศโรงน้ำชานอกเมืองหาได้เงียบสงบดั่งใจคิด กลุ่มคนเดินทาง
ตอนที่ 12 ได้เริ่มต้นแล้วรุ่งเช้าหวังเว่ยซินก็ไปปรากฏกายที่ร้านเครื่องเขียน“จางฮูหยินหรือขอรับ?” เด็กในร้านทวนวาจาของหวังเว่ยซิน“ใช่...ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนาง” “ได้ ๆ ขอรับ...” หลังจากได้ที่อยู่สักพัก หวังเว่ยซินก็มาปรากฏกายอยู่หน้าเรือนของสกุลจาง เรือนหลังเล็กค่อนข้างทรุดโทรม ประตูเรือนถูกปิดเอาไว้ไม่ได้ใส่กุญแจไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้าไปขโมยของ เด็กสาวแต่งกายงดงามโดดเด่นเพื่อนบ้านที่ชะโงก มองดูนางยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ตะโกนมาบอก“คุณหนู..สกุลจาง... ไม่มีผู้ใดอยู่หรอก พวกเขาออกไปทำงานกันหมดแล้ว” หวังเว่ยซินหันไป ถามต่อ “ท่านป้าพอทราบหรือไม่ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไร”“ลูกชายกับลูกสาวออกไปรับจ้างทำนา คงมืดค่ำจึงจะได้กลับ ส่วนจางฮูหยินออกไปขายขนม ขายหมดเมื่อไรก็กลับมาเมื่อนั้น”ไม่มีคนอยู่เรือน หวังเว่ยซินตะโกนขอบคุณกลับ แล้วเดินออกมา ในเมื่อรู้ที่พักแล้วเย็นนี้ค่อยกลับมาเจอพวกเขา จากนั้นนางก็เร้นกายออกไปยังชานเมืองหาโรงน้ำชาเงียบสงบสักที่ ออกแบบโรงเตี๊ยมของนางต่อ เสร็จแล้วจะได้หาผู้รับเหมาก่อสร้างเสียทีทว่า บรรยากาศโรงน้ำชานอกเมืองหาได้เงียบสงบดั่งใจคิด กลุ่มคนเดินทาง
ตอนที่ 11 เข้าใจผิด หวังเว่ยซินออกมาโรงน้ำชาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางกระจ่างใจดี ในตอนนี้หวังอี้หยางไม่สามารถเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่นได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่เด็กชายต้องได้รับการขัดเกลาเป็นพิเศษ นางจึงต้องจำเป็นหาอาจารย์ไปสอนที่เรือนเท่านั้น เดินเล่นไปสักพักก็มาถึงเรือนเสียงพูดคุยของคนข้างใน ผุดความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้จิตใจของนางสงบลง “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” จือซือหันมายิ้มให้บุตรสาวแล้วพูดขึ้น “แม่กำลังจะปลูกผัก อย่างไรก็อยู่ว่าง ๆ” หวังเว่ยซินพยักหน้ารับทราบหันไปมองดู หวังอี้หยางกับโจวชุนที่กำลังช่วยกันขุดดินทำแปลงอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีสีหน้าดีขึ้นมากพลางคิดในใจ “หากซื้อที่ดินสักหลายแปลงให้พวกเขาทำไร่ทำนาจะดีกว่าไหมนะ” นางนั่งเล่นพูดคุยกับพวกเขาสักพักก็ขอตัวไปพักผ่อน บางอย่างคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิด เมื่อเข้ามาในห้องก็หยิบกระดาษออก วาดรูปแบบโรงเตี๊ยมที่ต้องการคร่าว ๆ พอใกล้ถึงมื้อเย็น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูจากนั้นก็ได้ยินเสียง“พี่สาว ข้าเข้าไปได้หรือไม่” โจวชุนเอ่ยถาม “เข้ามาสิ”
ตอนที่ 10 ปฏิเสธและไม่ปฏิเสธ บนระเบียงชั้นสองโรงน้ำชา หวังเว่ยซินยกชาดื่มรวดเดียวหมดอย่างรู้สึกคับแค้นใจ พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ “ขออภัยคุณหนูหวัง ท่านก็ทราบว่าการรับศิษย์ของข้านั้นค่อนข้างเข้มงวด ข้าต้องเสียมารยาทต่อท่านแล้ว”“ขออภัยคุณหนู ข้ามิอาจรับน้องชายของท่านได้จริงๆ” “ขออภัย...นักเรียนของข้าเต็มแล้ว” “ขออภัย...” “ขออภัย......” มือเรียวขาวจับก้อนถ่ายขีดรายชื่อ เหล่าอาจารย์ที่ได้มาจากเด็กที่ร้านหนังสือถูกขีดทิ้งจนหมดสิ้น เด็กสาวเอนกายพิงเสาพลางคิด “หากเอากระบี่พาดคอคนพวกนั้น จะยอมรับหวังอี้หยางเป็นศิษย์หรือเปล่านะ” ในขณะนั้นนางก็เห็นชายเสื้อสีดำลายไก่ฟ้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของชายหนุ่มมันแฝงประกายเย้ยหยัน มุมปากหล่อเหลายกยิ้มเอ่ย “ท่าทางของคุณหนูหวัง เหนื่อยล้ายิ่งนัก” หวังเว่ยซินเบ้ปากเบือนหน้าหนี นางพอรู้สาเหตุแล้ว บุรุษผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่มีทางปล่อยให้นางล่อเล่นด้วยง่าย ๆ แต่นางเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ และนางอุตสาช่วยเหลือให้การสืบข่า
ตอนที่ 9 มันก็ใช่ว่าจะง่าย หลังจากดื่มน้ำชาทานมื้อเที่ยงเสร็จ หวังเว่ยซินก็ไปดูที่ดินที่ตนเองซื้อเอาไว้ นางกระโดนขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงจุดประจำทอดสายตามองผืนแผ่นดินกว้างด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม พลางมองพลางวางแผนหลายอย่างในใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเร้นกายออกไป หลังจากนั้นก็ ปรากฏบุรุษสวมชุดสีดำลายไก่ฟ้ามายืนแทนที่พลางทอดสายตามองตามร่างอรชนที่เพียงพริบตาก็หายไปร้านเครื่องเขียน “คุณหนูข้าจัดเตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสิบห้าตำลึงขอรับ” หวังเว่ยซินหยิบเงินออกมาจ่าย เด็กในร้านรีบจัดการห่ออุปกรณ์เครื่องเขียนทันที ในขณะที่รอนางก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง “...ถ้าอย่างนั้นข้าขอกระดาษสักห้าแผ่นก็พอ” “อ่า...จางฮูหยินเช่นนั้นข้าแถมให้ท่านอีกแผ่นละกัน เห็นแก่ความตั้งใจของท่าน” “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่” “..มิกล้า มิกล้า เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ” หวังเว่ยซินปรายสายตามองดูหญิงคนนั้นเดินออกจากร้านไป มือที่ถือห่อกระดาษประคับประคองยิ่ง คล้ายมันแบกความฝันของนางเอาไว้ เด็กที่ร้านเห็นนางมองดูพลางขม
ตอนที่ 8 ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวทุกคนยังอยู่อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางหวังเว่ยซินจึงจัดมื้อเย็นง่ายในโรงเตี๊ยม กระนั้นก็สร้างความตื่นเต้นประหม่าให้กับพวกเขา “ที่ตรงนั้นเป็นหอสุราหรือเจ้าค่ะ” “แล้วตรงนั้น เป็นเรือสำราญใช่ไหมเจ้าค่ะ” เสียงโจวชุนเอ่ยถามไม่หยุด โชคดีที่เสี่ยวเอ้อก็ตอบยิ้มแย้มตอบคำถามไม่หยุดเหมือนกัน ตอนแรกหวังอี้หยางไม่กล้าเอ่ยวาจาครั้งเห็นโจวชุนพาเจรจาไม่หยุด ก็เอ่ยปากถามบ้าง เกิดเป็นความครื้นเครงขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว อาหารมาแล้วมาทานข้าวกันเสียก่อน” จือซือเอ่ยเรียกคนทั้งสอง “ขอรับ/เจ้าค่ะ” “น่ากินทั้งเลย ข้าทานนะเจ้าค่ะ” “ทั้งหมดนี้ คือให้พวกเราทานหรือขอรับ” หวังเว่ยซินยิ้มละมุนตอบ “ใช่ เจ้าทานเยอะ ๆ อย่าให้เหลือเชียว” “ซินเอ๋อร์ มื้อหน้าอย่าสั่งมาเยอะขนาดนี้เลย” “ท่านแม่...พูดเช่นนี้พี่เว่ยซินน้อยใจแย่นะเจ้าคะ” จือซือพลันรู้สึกตกใจรีบพูด “แม่ไม่ได้ตำหนิ เจ้านะ เพียงแต่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เจ้าก็รู้แม่ทานอะไรก็ได้” หวังเว่ยซินเข้าใจดี แต
ตอนที่ 7 ครอบครัวใหม่พี่น้องใหม่ “อะไรนะ” จือซือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจระคนแปลกใจ “ท่านแม่ฟังไม่ผิด ข้ารับเด็กสาวคนนี้ โจวชุน เป็นน้องสาวบุญธรรม ท่านแม่ได้โปรดเมตตานางด้วย” จือซือปรายสายตาขอความเห็นจากหวังอี้หยาง ทั้งที่ไม่ควรไว้ใจคนส่งเดช ทว่าทั้งสองก็ไม่กล่าวขัดขวางอันใด “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เจ้าว่าเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น” โจวชุนเบิกตากว้างอย่างยินดี นางเดินไปคุกเข่าเบื้องหน้าจือซือพร้อมกล่าวเสียงปนสะอื้น “ข้า ข้าขอคารวะท่านแม่” “เอ่อ...” จือซือตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่ายทำไมดูไม่เคอะเขินลื่นไหลขนาดนี้ และนี่หมายความว่านางต้องรับเด็กคนนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมด้วยหรือ แต่พอมองสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว มันสะกิดใจจนนางไม่กล้าทักท้วง กล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ลุกขึ้น ๆ ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะคุกเข่าทำไม” “ท่านแม่...” โจวชุนกลืนก้อนสะอื้นในคอจากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมา แล้วพูดสิ่งที่ต้องทำ“พี่สาวให้ข้าเตรียมชุดมาเปลี่ยนให้ท่านก่อนเดินทาง..” จากนั้นหวังเว่ย
ตอนที่ 6 ข้านี่ล่ะ หวังเว่ยซิน หลังจากจัดการดูแลให้หวังเว่ยซินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อย ลู่เมิ่งก็เร้นกายออกไป ชั่วพริบตาเขาก็มาปรากฏกายนั่งอยู่เบื้องหน้าของบุรุษองอาจผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นรินสุราให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าว “ต้องรบกวนเวลางานของนายน้อยลู่ เกรงใจยิ่งนัก” “ให้ท่านผู้บัญชาการหลีต้องรอ ข้าเองก็รู้สึกผิด” แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าของลู่เมิ่งหาได้หมายความเช่นนั้น “มิกล้า มิกล้า ทว่าการที่ได้เจอนายน้อยลู่หานที่นี่..ช่างนับได้ว่าเป็นวาสนา” ลู่หานที่อยู่ในนามลู่เมิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางกล่าว “ข้าก็เช่นกัน” จางเคอรู้สึกเหนื่อยใจกับวาจาทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก เขาหวังว่าการสนทนานี้จะจบลงด้วยดีไม่มีการชักกระบี่ออกมา“นายน้อย ลงมือสืบข่าวด้วยตนเองคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่หมู่บ้านอี้จือกระมัง” สิ้นวาจาของหลีเซียวหยวน พลันลู่หานก็คล้ายกระจ่างใจบางอย่าง“อ่า...” จอกสุราในมือของหลีเซียวหยวนหยุดชะงัก หรี่ตามองแววตาประกายเต็มไปด้วยนัยแฝงของลู่หาน“มีอะไร”“หึ ท่านเองก็คงตามคุณหนูหวังเว่ยซินมากระมัง”
ตอนที่ 5 ชั่วสม่ำเสมอ ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นก็ตามรถม้าของหวังเว่ยซินไป ในขณะที่คนในรถม้ากำลังครุ่นคิดยิ้มมุมปาก นับได้ว่าความชั่วสม่ำเสมอของสกุลหวังทำให้นางประหยัดทั้งเวลาและเงินขึ้นไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมารดากับน้องชายเสียอีก และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พลังเจรจาแค่ไหน ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อถูกขับออกมาแล้วจะไปที่ใดก็ล้วนง่ายเมื่อเข้าไปใกล้เรือน จี้เจินก็ตะโกนเรียกส่งเสียงออกไปก่อน“อี้หยาง อี้หยาง พี่เว่ยซินกลับมาแล้ว” ปัก! ปัก! เสียงผ่าฟืนของหวังอี้หยางถูกเสียงร้องเรียกของจี้เจินขัดจังหวะ จือซือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าจากอาการป่วย “นั่นไม่ใช่เสียงของจี้เจินหรือ ไปดูเสียหน่อยเถอะ” “ขอรับท่านแม่”หวังอี้หวางวางขวานลง จากนั้นก็เดินไปยังประตูภาพใบหน้ายิ้มแป้นแววตาระยิบระยับของของจี้เจินทำให้เด็กชายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยถามสายตาก็มองไปเห็นรถม้าที่กำลังเลื่อนมายังประตูและผู้คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังตามมา เมื่อหวังอี้หยางมองเห็นคนเหล่านั้นชัดเจนใบหน้าก็ซีดขึ้น“พวกท่านปู่ท่านย่ามาทำอะไร” จี้เจินไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าของสหายได้ยินคำถามก็รีบตอบทันที“พวก
ตอนที่ 4 คุกเข่าคารวะ ขบวนเดินทางของหวังเว่ยซินเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อตะวันคล้อยบ่ายก็มาถึงประตูเมืองหลงไป๋ หัวหน้าลู่เมิงผู้นำในการเดินทางครั้งนี้ ควบม้ามาใกล้รถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูหวังขอรับ ตอนนี้เรากำลังจะเข้าเมืองหลงไป๋ อีกประมาณสองเค่อ ก็จะถึงหมู่บ้านอี้จือ” หวังเว่ยซินได้ยินเช่นนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้น ชโงกหัวออกมาเล็กน้อยพูดขึ้น “รบกวนท่านลู่ให้คนไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมสักสามห้องให้ข้า ด้วยคืนนี้เราจะพักในตัวเมือง..และช่วยพาไปยังร้านอาภรณ์กับเครื่องประดับเสียก่อน” ลู่เมิ่งเอ่ยตอบ “ขอรับ..ข้าจะให้คนไปจัดการตอนนี้” เห็นอีกฝ่ายไม่ขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยถาม หวังเว่ยซินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะปิดผ้าม่านลง พอจะต้องเจอกับครอบครัวของเจ้าของร่างนางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เตือนสติตนเอง ต้องอดทนให้มากจุดประสงค์ของนางคือมารับมารดากับน้องชายไปอยู่ด้วย ห้ามทำให้มากเรื่องเด็ดขาด แต่ว่าจะกลับแบบธรรมดาก็ดูจะง่ายไป รถม้าหยุดอยู่ร้านผ้าแพรร้านที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเข้าไปในร้านหวังเว่ยซินก็เอ่ยบอกสิ่ง