บทนำ
เธอ…คนที่โลกใบนี้ไม่เคยใจดีด้วย ในชีวิตท่องจำแค่คำว่า “งานคือเงิน” และบางครั้งเงิน…ก็ต้องมาก่อนศักดิ์ศรี
เขา…ศัลยแพทย์ผู้หลงใหลในเซ็กซ์พอๆกับการผ่าตัด สำหรับเขา 'ความสุข' ซื้อได้ด้วยเงิน
“ถอดออก ผมจะดูที่เหลือเอง” มือน้อย ๆ กอบกำเข้าหากันแน่น สายตาที่มองมาเหมือนกำลังเปลื้องผ้าเธอออกทีละชิ้น ๆ ร่างกายหญิงสาวร้อนผ่าวเหมือนถอดออกไปทุกชิ้นแล้วทั้งที่ยังอยู่ครบ
“ถอดสิ หรือว่าจะให้ผมเป็นคนถอด?” คุณหมอผู้วางสีหน้าเรียบนิ่งในวันที่เธอพาประสิทธิ์ไปโรงพยาบาลเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เป็นคนละคน แม้ยังวางตัวได้เป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ต่างจากราชสีห์ที่พร้อมตะครุบเหยื่อทุกเมื่อ
“ไม่ต้อง” ยกมือขึ้นห้ามอย่างไว อัจจิมาสูดหายใจเข้าลึก ความปรารถนาที่คุกรุ่นของศัลยแพทย์หนุ่มทำลายความเหนียมอายลงไปหลายส่วน หลังจากลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เธอก็จัดการถอดเดรสสั้น แก้มเนียนขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเนื้อตัวเย็นเฉียบเหมือนมีน้ำแข็งเกาะกุม ไม่คิดว่าในชีวิตเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้
“สองชิ้นนั้นด้วย” น้ำเสียงดุจพญามัจจุราชสั่งให้อัจจิมาขยับร่างกาย ส่งมือไปด้านหลังเพื่อจัดการปลดตะขอบราเซีย บางส่วนของเรือนผมนุ่มสลวยหล่นลงบดบังปลายถันเรื่อสีเรื่อ ลมหายใจเกิดติดขัดแทบจะหายใจไม่ออกในตอนที่เธอใช้มือรูดชิ้นล่างลงจากสะโพก
ทรวงอกอวบอิ่มและเนินโหนกผืนน้อยที่มีหย่อมหญ้าบาง ๆ ขึ้นคลุมปรากฏแก่สายตาชายหนุ่มอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าของร่างบางยืนขาเบียดชิดตามสัญชาตญาณ หากแต่รูปร่างของเธอก็งดงามได้สัดส่วนจนท่ายืนไม่มีผลต่อการสำรวจสินค้า
อัจจิมาเบือนหน้าหนีดวงตาคมกริบ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือไม่พอใจที่ถูกจ้องมองแต่รู้สึกประหม่ามากกว่า
เผลอกลั้นลมหายใจเมื่อกายสูงใหญ่กำยำลุกขึ้นยืน ท่อนขายาวก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ อัจจิมาเกร็งตัวอย่างตื่นตะหนกเมื่อใบหน้าหล่อเหลาพุ่งเข้ามาใกล้ซอกคอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ทว่าพิธาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ได้สัมผัสตัวเธอ มีเพียงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดผิวกาย ก่อนที่ริมฝีปากหยักหนาจะยกยิ้มขึ้น ราวกับรู้ทันว่าเธอกำลังหวาดกลัวเขาอยู่
“กดเลขบัญชีของคุณ” เขายื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เธอ
“คะ?” เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะยอมจ่ายให้ก่อน เงินแค่หนึ่งล้านบาทคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขากระดิกสินะ
หญิงสาวก้มหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาบดบังร่างกายก่อนจะรับมือถือมาแล้วทำการกดตัวเลขลงไปจนครบ
ไม่กี่วินาทีเธอก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของเธอ พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเธอก็เห็นยอดเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทโชว์หราอยู่หน้าจอ
เป็นใครก็ต้องอึ้ง เขายอมจ่ายให้เธอง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ?
แต่ทำไมเขาถึงโอนเงินให้เธอก่อน ไม่ใช่ว่าเธอต้องทดลองงานก่อนหรือไง?
การที่เธอยอมนอนกับผู้ชายเพื่อแลกกับเงินมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายและดูไร้ค่าหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
แต่แล้วยังไงล่ะ
ในเมื่อความรัก ความไว้ใจและความซื่อสัตย์พวกนั้นสุดท้ายมันก็เหลือให้เธอแค่ความโง่เขลาไม่ใช่หรือไง
มอบหัวใจใช้ร่างกายกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก แล้วผลตอบแทนเป็นเช่นไร
ถ้าเขาไม่ได้โกหกเรื่องสถานภาพในขณะที่เธอก็เพิ่งโสดหมาด ๆ มันคงไม่ผิดอะไรถ้าเธอเลือกจะเป็นคู่นอนของใครสักคน
แต่ไม่มีทางที่เธอจะเอาใจลงไปเล่น โดยเฉพาะกับผู้ชายที่มีอาชีพเป็นหมอ
เพราะพวกหมอ...ไว้ใจไม่ได้
บทที่ 1
“ชุดนักศึกษาเมย์ล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้รีดไว้” น้ำเสียงไม่พอใจที่ดังเข้ามาในห้องปลุกให้อัจจิมาต้องฝืนลืมตาขึ้นมา
“พี่รีดไว้แล้วแต่ลืมเอาไปให้” คนซึ่งล้มตัวลงนอนไม่กี่ชั่วโมงลุกขึ้นเดินไปหยิบชุดนักศึกษาด้วยความงัวเงีย
“คราวหลังรีดแล้วก็เอาไปไว้ที่ห้องสิไม่ใช่ให้เมย์ต้องเดินมาเอาเอง”
เมธาวี เป็นน้องสาวต่างมารดากับเธอ รสนิยมสูง ใช้ของแบรนด์เนมแต่งตัวเหมือนลูกคุณหนูทั้งที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย นิสัยเอาแต่ใจตัวเองเพราะมีแม่คอยให้ท้ายมาตั้งแต่เด็ก
“แม่ฉันกับพ่อออกไปข้างนอกนะ แล้วแม่ก็บอกให้พี่จี๊ดลงไปทำกับข้าวให้ฉันกินด้วย” สิ้นน้ำเสียงออกคำสั่งเมธาวีก็ถือชุดนักศึกษาลงบันไดบ้านไป
อัจจิมาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะรีบเข้าไปอาบน้ำให้ตัวเองหายจากความง่วง ถึงจะไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันออกมาแต่เพราะคำว่าหนี้บุญคุณทำให้อัจจิมาต้องคอยทำนั่นทำนี่ให้เมธาวีกับแม่เลี้ยงของเธอไม่ต่างจากคนรับใช้ในบ้าน
ไม่กี่นาทีต่อมาอัจจิมาก็นำอาหารมาเสิร์ฟให้เมธาวีที่โต๊ะ
“กะเพราเนี่ยนะ อี๋…! เมย์ไม่กินหรอกไปทำมาใหม่เลย” ปัดจานอาหารออก คิดยังไงถึงทำเมนูสิ้นคิดให้เธอกิน
“ในตู้เย็นมีแค่นี้กินไปก่อน” เธอพยายามใจเย็น
“พี่จี๊ดก็รู้นี่ว่าเมย์ต้องทานข้าวเช้าก่อนไปเรียนทำไมไม่รู้จักซื้ออะไรมาไว้” ชักสีหน้าไม่พอใจ
“ตอนนี้พี่ไม่มีเงิน เงินเดือนยังไม่ออก”
“เมย์รู้ว่าอาชีพพนักงานบริษัทเล็กๆ อย่างพี่จี๊ดได้เงินเดือนน้อยแต่มันเป็นความรับผิดชอบของพี่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่รู้จักจัดการบริหารให้ดี” เมธาวีมักจะพูดจาดูถูกอาชีพของเธอแบบนี้เป็นประจำ ทั้งที่เธอเป็นเสาหลัก ต้องหาเงินจุนเจือทุกคนในบ้านไม่พอเธอยังต้องจ่ายค่าเทอมให้เมธาวี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณที่ เพ็ญพักตร์ แม่ของเมธาวีเคยช่วยเหลือเธอกับพ่อ
ยี่สิบกว่าปีก่อน บังอร แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตได้ไม่ถึงปี ประสิทธิ์ ก็พาเพ็ญพักตร์เข้ามาอยู่ในบ้านแทนที่แม่ของเธอ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะอายุห้าขวบ ทุกอย่างในบ้านรวมถึงการดูแลเธอจึงเป็นหน้าที่ของเพ็ญพักตร์เสียส่วนใหญ่ เพราะประสิทธิ์ต้องออกไปทำงานข้างนอกทุกวัน
ไม่นานเพ็ญพักตร์ก็แสดงธาตแท้ อยู่ต่อหน้าประสิทธิ์เพ็ญพักตร์ดูรักและเอ็นดูเธอเหมือนลูก แต่พอพ่อของเธอออกไปทำงานเธอก็จะถูกเพ็ญพักตร์ใช้ให้ทำงานบ้านสารพัด
อัจจิมาเคยเล่าเรื่องแม่เลี้ยงให้ประสิทธิ์ฟัง หากแต่ผู้เป็นพ่อกลับได้แต่บอกให้เธอทำตามคำสั่งของภรรยาใหม่ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เธอไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไหร่
ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บังอร นำโฉนดบ้านไปกู้หนี้ยืมสินกับคนรู้จักเพื่อมาลงทุนค้าขาย
แต่หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิต ประสิทธิ์ก็ไม่มีเงินไปจ่ายแม้กระทั่งดอก ด้วยความที่ไม่อยากเสียบ้านไปประสิทธิ์เลยขอให้เพ็ญพักตร์ช่วยจ่ายหนี้ก้อนนั้นให้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพ็ญพักตร์เลยมีบุญคุณกับสองพ่อลูก ซึ่งผลจากการช่วยเหลือครั้งนั้นทำให้เมธาวีได้รับอนิสงส์ไปด้วย
“เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะไปตลาดซื้อของมาเพิ่มแล้วกัน”
“ตลาดเนี่ยนะ? เมย์ไม่เข้าใจเลยว่าสถานที่สกปรกๆ แบบนั้นไปเดินได้ไง” เมธาวีในชุดนักศึกษารัดติ้วกวาดสายตามองพี่สาวต่างแม่ด้วยความดูแคลน ก่อนจะลุกออกไปจากโต๊ะโดยไม่คิดจะแตะต้องอาหารที่เธออุตส่าห์ตื่นมาทำให้กิน
วานนี้หัวหน้ามอบหมายให้เธอไปส่งเอกสารให้กับลูกค้า กว่าจะเดินทางมาถึงบริษัทก็ล่วงเลยเวลาเข้างานไปพอสมควร ทว่ายังไม่ทันถึงแผนกเสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังเธอ“มาแล้วเหรอนังตัวดี” พอหันไปมองก็เห็นภรรยาของเจ้าของบริษัทยืนอยู่พนักงานในบริษัทมองอัจจิมาด้วยสายตาเดียวกัน และเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานอยากบอกอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด“คุณปานวาดคุยกับดิฉันเหรอคะ”“ฉันจะคุยกับใครได้ถ้าไม่ใช่แมวขโมยกินของคนอื่นอย่างเธอ”“คุณปานวาดพูดเรื่องอะไรคะดิฉันไม่เข้าใจ” อัจจิมาไม่เข้าใจว่าภรรยาของเจ้านายเธอพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคนหน้าด้านอย่างเธอถ้าไม่มีหลักฐานก็คงจะไม่ยอมรับ งั้นก็เอานี่ไปดู” อัจจิมาก้มหยิบรูปถ่ายที่เพิ่งจะถูกอีกฝ่ายปามาใส่ ดวงตาเรียวรีเบิกกว้าง เมื่อคนในภาพเห็นใบหน้าชัดเจนว่าเป็นเธอกับปกรณ์ที่กำลังเดินเคียงข้างเข้าไปในโรงแรมด้วยกันแต่ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังเข้าใจ“คุณปานวาดกำลังเข้าใจฉันผิดนะคะ” เธอพยายามจะอธิบายแต่คนซึ่งถูกความหึงหวงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวของเธอ“หลักฐานชัดขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแก้ตัวอีก เธอคงอยากได้ผัวคนอื่นมากสินะ” กำลังจ
หลายวันก่อนปกรณ์เรียกให้เธอเข้าไปพบในห้องทำงาน ตอนแรกเธอก็นึกแปลกใจเพราะโดยปกติจะไม่ได้สั่งงานกับเธอโดยตรง หลังจากที่เจ้าของห้องต้อนรับเธอด้วยกาแฟอย่างดีอัจจิมาก็ได้ทราบถึงจุดประสงค์ที่ถูกเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัวปกรณ์บอกกับเธอว่าลูกสาวของเขาตั้งท้องกับแฟนหนุ่มที่แอบคบหากันแต่ฝ่ายชายปฏิเสธความรับผิดชอบ ครั้นจะบอกผู้เป็นแม่ลูกก็ไม่กล้า คนอย่างปานวาดถ้ารู้ว่าลูกมีเรื่องงามหน้าจะต้องโกรธและรับไม่ได้ที่ลูกสาวเพียงคนเดียวทำอับอายขายขี้หน้า ส่วนปกรณ์ก็ถนัดเลี้ยงดูลูกด้วยเงินไม่เคยใส่ใจให้ความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก พอเกิดปัญหาขึ้นเลยมีเส้นบาง ๆ ขวางกั้นตัดสินใจนำเรื่องในบ้านเล่าให้คนนอกอย่างเธอฟังเป็นเพราะปกรณ์แอบได้ยินลูกสาวคุยโทรศัพท์ทำนองจะแอบไป ‘ทำแท้ง’ด้วยความที่อัจจิมาทำงานให้เขาตั้งแต่เรียนจบ เลยพอรู้จักนิสัยใจคอไว้ในใจระดับหนึ่งว่าเธอจะไม่นำเรื่องในครอบครัวไปเล่าต่อ ประกอบกับที่อัจจิมารู้จักกับลูกของเขาเห็นพูดคุยกันถูกคอ เมื่อหมดหนทาง สุดท้ายเลยต้องมาขอให้เธอไปช่วยพูดจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคคลในภาพถ่ายคือเธอกับเจ้านายหนุ่มเคียงคู่เข้าโรงแรมไปด้วยกัน หากแต่โรงแรมนั้นเป็นลูกของเจ้านายเธอท
อัจจิมาทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นไม้บาเก้ในห้องนอน ปล่อยน้ำตาที่อัดแน่นในอกให้ไหลทะลักออกมากับความไม่ยุติธรรมของชีวิตจู่ ๆ เธอก็กลายเป็นคนตกงาน เงินเก็บก่อนสุดท้ายหมดไปกับการชดใช้บุญคุณที่ไม่รู้จะจบสิ้นวันไหนมือทั้งสองกุมใบหน้าที่เปียกชุ่ม แม้จะถูกปัญหารุมเร้าหนักแต่เธอก็ต้องกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองดังออกไปข้างนอก ถ้าตอนนี้ ‘บังอร’ แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ หากประสิทธิ์ไม่พาเพ็ญพักตร์เข้ามาอยู่ในบ้านชีวิตของเธอจะดีกว่านี้ไหม สวรรค์ต้องทดสอบเธออีกสักแค่ไหน ความสุขเลือนรางถึงจะมากองอยู่ตรงหน้าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ในใจได้ไม่นาน อัจจิมาก็ต้องดึงสติให้กลับมา ไม่มีประโยชน์อันใดที่เธอจะมัวมาอ่อนแอ เรียกร้องหาความยุติธรรมหรือความใจดีจากฟ้าจากสวรรค์ที่ไหนร่างบางพยุงตัวเองให้ลุกยืนใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ เข้าไปอาบน้ำชำระล้างให้เนื้อตัวสะอาดสดชื่น เมื่อเธอยังต้องออกไปรับบททดสอบของชีวิตเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเร่งรีบอัจจิมาจึงไม่ได้พิถีพิถันในการอาบน้ำ ร่างบางที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวมัดอกนั่งลงหน้ากระจกได้ก็จัดการใช้ไดร์ผมให้แห้ง ก่อนจะเขียนคิ้วทาปากแค่พอดูได้ เสร็จแล้
กระเป๋าใบเล็กวางลงบนเก้าอี้ข้างลำตัว อัจจิมาหันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ หยิบเครื่องประทินโฉมออกมาจัดการเติมหน้าทาปาก ไม่สนใจจะเข้าร่วมวงสนทนากับเพื่อนร่วมงานที่กำลังคุยจ้อถึงลูกค้ากระเป๋าหนักรายหนึ่ง“พี่รี่วันนี้คุณโจ้จะมาเหรอ”“ก็ใช่น่ะสิ วันนี้ถึงต้องสวยเป็นพิเศษไง” เชอร์รี่ สาวอกอึ๋มในชุดเดรสผ่ายาวถึงกลางหลังหยิบแท่งลิปสติกสีเลือดนกทาปากอย่างประณีตอรรถนพ เป็นหนุ่มนักธุรกิจ คนในสังคมเรียกว่า คุณโจ้ แวะเวียนมาแต่ละครั้งแทบไม่ต้องเชียร์ดริ๊งให้ลูกค้าคนอื่น“งั้นหมวยเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า ชุดนี้ยังไม่น่ากินเท่าไหร่” สาวตัวเล็กในวัยยี่สิบปีต้น ๆ บอกด้วยท่าทางระริกระรี้“อย่างเธอไม่ใช่สเปคคุณโจ้หรอกเสนอหน้าไปก็เท่านั้น”“พี่รี่อ่ะ” ทำปากย่นใส่รุ่นพี่คนสนิทอย่างเถียงไม่ออก เมื่อความจริงเป็นอย่างว่า“นั่นสิ ขนาดบางคนขยันไปอ่อยทุกครั้งแต่ไม่ยักเห็นคุณโจ้จะเรียกไปนั่งด้วย” มิลลิ หนึ่งในตัวท็อปของบรรดาสาวสวย พูดขึ้นลอย ๆ หากแต่มันก็ชัดเจนว่าตั้งใจจะเหน็บใคร เชอร์รีเลยสวนขึ้นทันที“ว่าให้ใคร”“ใครอยากรับก็รับไปสิ”“นี่…!”“ทำไม…!” ทั้งสองคนลุกจากเก้าอี้ง้างฝ่ามือเตรียมฉะกับอีกฝ่าย แต่ในตอนนั้น ร
ภาพตรงหน้าทำให้อัจจิมายืนมองด้วยหัวใจไหวสะท้าน ในหัวหนักอึ้ง มือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อระหว่างยืนมองดูนิรุทจูบกับผู้หญิงคนนั้น“รุท…” คนถูกขานชื่อหันมามอง เขาหน้าซีดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่คือใครอัจจิมาไม่ได้เป็นแฟนของนิรุทคนเดียว พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือเขามีโลกสองใบ กับอัจจิมาคบหากันมาได้สามปี แต่นิรุทก็ยังไม่เคยพาไปแนะนำให้ครอบครัวรู้จักลูกสาวเจ้าของโรงแรมหรูระดับประเทศคือโลกอีกใบของแพทย์หนุ่มฐาจะฐานะทางบ้าน สังคม รสนิยม เหนือกว่าอัจจิมาทุกอย่าง สองครอบครัวรู้จักกันเป็นอย่างดี และทั้งคู่ก็วางแผนจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้แต่ปัญหามันอยู่ที่…อัจจิมาไม่เคยรู้หรือระแคะระคายมาก่อนว่าตลอดเวลาที่คบหากัน นิรุทยังมีใครอีกคน“ใครเหรอคะ” ไฮโซสาวหันไปถามแฟนหนุ่ม สิ่งที่คนอย่าง โสรยา เกลียดที่สุด คือการที่มีคนทำให้เธอขายขี้หน้า“เอ่อ คือ…” นิรุทอ้ำอึ้งเหมือนกำลังอมอะไรอยู่ในปาก หากก็มีคำตอบในใจอยู่แล้วถ้าตัดเรื่องเงินทองออกไป อัจจิมาถือว่าเป็นผู้หญิงตรงตามสเปคทุกประการ แต่เธอไม่คู่ควรกับเขา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาไม่เคยพาอัจจิมาออกสังคม“แล้วคุณเป็นใครคะ”“ฉันเ
ต่อให้เธอจะทำตัวเข้มแข็งยังไง แต่เมื่อหันหลังออกมาน้ำตาก็ไหลรื้นเป็นทางอย่างห้ามไม่ได้ อัจจิมาอยากจะร้องไห้โฮให้กับความโง่งมของตัวเอง แต่ผู้ชายเลว ๆ พรรค์นั้นไม่มีค่าพอให้เธอเสียน้ำตาให้หลังมือเล็กปาดคราบน้ำตาออกอย่างลวก ๆ เพราะเธอไม่มีเวลาให้มานั่งฟูมฟาย จัดการเติมหน้าทาปากปกปิดความเรียบร้อยก็พร้อมจะกลับไปทำงาน แต่ไปถึงเธอก็พบว่าอรรถนพลูกค้าหนุ่มกลับไปแล้วปกติเธอคงจะรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ทำงานลุล่วงไปแล้วครึ่งทาง ทว่าหัวใจมันกลับหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับอยู่ อัจจิมาพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องของนิรุท พยายามจะไม่คิดถึงความรักเฮงซวยที่ตายจากไปแล้ว แต่มองไปทางไหนก็เจอแต่คำว่าเสียใจเต็มไปหมด“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่าดูสีหน้าไม่ค่อยดี” รุ้งรวีสังเกตเห็นความผิดปกติจากใบหน้าของลูกน้อง แต่เธอไม่ได้ตอบคำถาม หันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์หนุ่ม“เอาแรงๆ มาแก้วนึงพี่วันนี้จี๊ดจะเมา”“นึกยังไงถึงอยากดื่ม แล้วไม่ต้องรีบกลับเหรอ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานไม่ใช่เหรอ” แค่ที่ลูกค้าให้ดื่มเป็นเพื่อนเธอก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว อีกอย่าง…รุ้งรวีก็ไม่เคยเห็นเธอจะมานั่งดื่มแบบนี้“ถูกไล่ออกแล้วน่ะค่ะ” ย
“คุณไม่ได้ซื้อตรงนี้ไว้ไม่ใช่เหรอ” แม้จะอยู่ในอาการมึนศีรษะแต่อัจจิมาก็มีสติพอรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะกวนประสาทเธอ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ เหมือนประโยคที่เธอเพิ่งพูดได้เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาเรียบร้อย“ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจะทำความรู้จักใคร” เธอพยายามพูดกับเขาดี ๆ ทำไมวันนี้เธอถึงเจอแต่ผู้ชายแย่ ๆ ก็ไม่รู้“ผมพูดตอนไหนว่าอยากรู้จักคุณ” สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยและเยือกเย็นเกินกว่าจะบอกว่าเข้ามาจีบเธอ และคนอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าหาผู้หญิงเพราะแค่อยากทำความรู้จัก แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น มันก็ไม่แน่“งั้นก็ช่วยอยู่เงียบๆ โอเค๊!” เธอบอกกับเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ทว่าน้ำเสียงยานยาวเป็นขบวนรถไฟก็ไม่ได้ทำให้เขาคิดจะทำตาม ก่อนจะหยิบยกบทความอะไรสักอย่างมาร่ายยาว“เหตุผลในการดื่มของคนเราแตกต่างกันออกไป บางคนดื่มเพราะตกงาน บางคนดื่มเพราะมีปัญหากับที่บ้าน บางคนดื่มเพราะชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ซึ่งเหตุผลพวกนี้ยังพอเข้าใจได้ แต่คนที่ใช้เหล้าแก้ปัญหาแค่เพราะตัวเองไม่ใช่คนที่ถูกเลือก มันไม่เป็นการดูถูกตัวเองเหรอ” นาทีนั้นชายหนุ่มหันมามองใบหน้าของอัจจิมานิ่งทว่าทุกประโยคจากคนแปลกหน้า เ
“ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่โง่” แม้จะมีจุดประสงค์ในการจะเข้าหาแต่เขาก็ตอบโดยไม่ลังเล“ใช่ไหมล๊า…เขามันโง่ โง่ที่สุด” วิสกี้รสชาติร้อนแรงหมดในคราวเดียว มาถึงตอนนี้อะไรก็ไม่สามารถหยุดการฉลองความโสดในรอบสามปีของเธอได้อัจจิมาไม่สนว่าผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เป็นใคร จะเข้าหาเธอเพราะอยากมีเพื่อนคุยหรือมากกว่านั้น และเธอก็ไม่ได้คิดจะดื่มอย่างไร้สติเพราะผู้ชายเลวทรามพรรค์นั้นชีวิตมันเป็นของเธอ ดังนั้นเธอจะทำอะไรกับใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของเธอ เพราะขนาดว่าเธอเลือกดีแล้ว สุดท้ายมันก็ยังเป็นแค่ความรักที่เฮงซวยทั้งคู่นั่งดื่มต่อพักใหญ่ปริมาณแอลกอฮอล์ก็ทำให้อัจจิมาอยากไปเข้าห้องน้ำ ร่างบางในชุดเดรสรัดรูปพยุงตัวเองมาถึงห้องน้ำได้สำเร็จ ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเธอก็กลับออกมา แต่เพราะดื่มไปเยอะทำให้ตอนนี้เธอแทบจะประคองตัวไม่อยู่ทว่าสายตาที่เริ่มจะพร่ามัวก็หันไปเห็นคนที่เข้ามานั่งกับเธอ รูปร่างสูงโปร่งราวกับดาราแถบเอเชีย องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าของชายหนุ่มดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ประจวบกับค็อกเทลที่เธอดื่มเข้าไปเริ่มจะออกฤทธิ์“คืนนี้คุณมีคนออกไปต่อที่อื่นด้วยรึยัง” ปกติสายตาของอัจจิมาก็ดึงดูดให้ผู้ชายเข้าหาอยู่แล
“ถ้าฉันท้องล่ะคะจะเกิดอะไรขึ้น” ก่อนหน้านี้เขาเคยขอเธอเรื่องที่จะไม่ใช้ถุงยางอนามัยเวลาที่มีอะไรกัน แถมยังสั่งไม่ให้เธอกินยาคุมกำเนิด แต่ที่เธอถามออกไปแบบนี้ เพราะเธอยังไม่ได้รับการยอมรับจากคุณนิพนธ์ จึงกลัวว่าถ้าเกิดตั้งท้องขึ้นมาอาจจะเพิ่มปัญหาให้เขา“ผมก็พาคุณไปฝากครรภ์ไง”“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย” เธอมองค้อนที่เหมือนเขาเห็นเรื่องตั้งครรภ์เป็นเรื่องเล็ก ทั้งที่มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับลูกผู้หญิง“คุณกลัวผมจะไม่รับผิดชอบเหรอ” สายตาคมเข้มจริงจังขึ้นมาทันทีเธอหลุบสายตามองต่ำ ถ้าบอกว่าเธอไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้ก็ดูจะเป็นการโกหก ถ้าเธอต้องปล่อยให้ตัวเองท้องเธอก็ต้องแน่ใจในอะไรหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือเขาเธออยากรู้ว่าเขาพร้อมจะเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วเหรอ เพราะการจะเป็นพ่อคน ไม่ใช่ต้องการแค่เงินทอง แต่ยังต้องมีความรับผิดชอบสูง พร้อมเสียสละเวลาส่วนตัว และพร้อมที่จะดูแลอีกหนึ่งชีวิตด้วยหัวใจ“คุณฟังผมนะ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว แล้วผมก็ไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบ ที่ผมบอกว่าอยากมีลูกก็แปลว่าผมพร้อม แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง แต่ผมพร้อมจะเป็นพ่อคนแล้วจริงๆ ผมอยากมีเด็กวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน อ
“ผมชอบที่คุณพูดแบบนี้ ฟังแล้วมันได้อารมณ์” เสียงของชายหนุ่มต่ำพร่าลง นัยน์ตาวาววับแต่ไม่ได้เยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อนก้มลงลิ้มเลียยอดถันข้างที่เหลือ บีบคลำเต้าทรวงผ่องในอุ้งมืออย่างคนตะกละตะกลามอัจจิมาครางไม่เป็นภาษาอยู่บนโต๊ะทานข้าวตัวหรู ท่อนขาเรียวงามโอบรัดสะโพกอีกฝ่าย ก่อนจะแอ่นเอวเข้าหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เสียดสีกึ่งกลางลำตัวกับหน้าขากำยำท่อนเนื้อที่บดเบียดกับเนินนุ่มของหญิงสาวผ่านกางเกงเนื้อดีเริ่มแข็งขึงขึ้นมา ไม่รู้เป็นเพราะท่าทางยั่วยวนของเธอหรือเป็นเพราะอารมณ์ดิบในตัวของเขาเอง ที่ทำให้อารมณ์ใคร่ปรารถนาของเขาพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็วเมื่อก่อนในโลกนี้สำหรับเขาสำคัญอยู่แค่สองเรื่อง นั่นคือเซ็กซ์กับมีดผ่าตัดแต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป แม้ว่าการมีเซ็กซ์จะยังจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเขา แต่หากเขาไม่มีเธออยู่ข้างกาย ชีวิตต่อจากนี้ของเขาก็ไม่ต่างจากสิ่งของไร้ค่าชายหนุ่มขยับออกมายืนข้างโต๊ะทานข้าวเรียบหรู ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกอย่างใจเย็นแล้วรวบเอวดึงร่างขาวผ่องของหญิงสาวคนรักให้ขยับมาที่ขอบโต๊ะ เลื่อนมือไปลูบไล้กลีบอิ่มนูน หยาดน้ำที่เอ่อล้นออกมาฉ่ำเยิ้มจนมองเห็นความเปียกชุ่ม
อัจจิมารู้สึกตัวเพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามากระทบเปลือกตาในช่วงสาย ศีรษะและร่างกายของเธอหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงทับด้วยภูเขาหิน ลำคอแห้งผาก กว่าจะขยับตัวได้ก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งพอลืมตาสิ่งแรกที่เห็นคือปลายคางแข็งแรงมองเห็นเป็นปื้นสีเขียวจางของศัลยแพทย์หนุ่ม ซึ่งเธอกำลังนอนแนบชิดซบอยู่ที่อกอุ่น ท่อนแขนข้างหนึ่งของเขาโอบเอวเธอไว้หลวม ๆ มือใหญ่วางอยู่บนบั้นท้ายเปลือยเปล่าจากการร่วมรักกันเมื่อคืนนี้ทุกคนที่บริษัทเข้าใจว่าเมื่อวานนี้เธอได้หยุดพักผ่อนหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นวันลาพักผ่อนที่สูบเอาเรี่ยวแรงของเธอไปจนแทบจะไม่หลงเหลือถ้าเธอรู้ว่าเขาจะเป็นคนกระหายในรักได้ทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ เธอคงจะไม่หลวมตัวคบคุณหมอ ‘เซ็กซ์จัด’ เป็นแฟนอย่างแน่นอนคิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากได้รูปก็ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวที่รุ้งรวีเล่าให้ฟังไม่กี่วันมานี้‘พิธาพึงพอใจในตัวเธอมานานแล้ว’ นี่คือประโยคแรกที่รุ้งรวีบอกเล่า สิ่งที่เขาทำให้เธอก็คงเป็นอย่างที่ใครหลายคนอาจเรียกว่า ‘ปิดทองหลังพระ’ เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ครั้งนี้หัวใจเธอเลือกรักคนไม่ผิดอัจจิมาไม่ได้
“ออกไประเบียงดีกว่า ตรงนี้ผมจับคุณฉีดยาไม่ถนัด” เหมือนเธอจะฟังไม่ชัดเจนระเบียงเนี่ยนะไม่ทันที่เธอจะทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น พิธาก็ถอนแก่นกายออกมาด้วยความรวดเร็ว ช้อนเธอให้อยู่ในอ้อมอก ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไปข้างนอก ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพล่อแหลมแต่ร่างกายของเธอก็ยังมีชุดนอนตัวบางปกปิด ส่วนเขาก็ยังสวมใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้น“ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ เราจะทำกันตรงนั้นจริงๆ เหรอ” เขาเคยบอกว่าความพิเศษของระเบียงที่เหมือนยกห้องนั่งเล่นกลางแจ้งขึ้นมาไว้บนชั้นสูงเฉียดฟ้าสร้างความตื่นเต้นให้เธอกับเขาได้ในยามที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ตอนนั้นเธอไม่คิดว่าเขาจะเอาจริงถึงมันจะมีความเป็นส่วนตัวด้วยมีกระจกที่สั่งทำขึ้นพิเศษเป็นกำแพงรอบด้าน แต่เธอก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้อยู่ดี ต่อให้ไม่มีคนมองมาเห็น ก็อาจมีมดมีแมลงสักตัวเห็นก็ได้“วันนี้ผมอยากเอาคุณที่ระเบียง” ใบหน้าของอัจจิมาร้อนผะผ่าว เขาก้าวขายาวๆ ออกไปยังพื้นที่ด้านนอกของเพนท์เฮาส์ในทันทีตอนนี้พายุหน้าฝนสงบลงแล้วแต่พื้นส่วนหนึ่งที่ไม่มีหลังคาปกคลุมยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนเขาค่อยๆ วางเธอลงบนพื้น ใกล้กับกระจกสูงเท่าสองตัวคนยืนต่อกันเห็นจะได้“กระจกนี้ผมสั่งทำพิเศ
“คุณหมายถึงเรื่องอะไร” เสียงทุ้มดังขึ้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนที่ลิ้นสากจะกวัดรัดรึงยอดทรวงชูชันของเธออีกครั้ง“อ๊ะ! กะ…ก็ที่คุณไม่ระ…รับข้อเสนอของพ่อคุณงะ…งายคะ ซี้ดด” ลิ้นที่ตวัดยอดปทุมถันของเธอไม่หยุดสร้างความซ่านเสียวจนอัจจิมาแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำเรื่องที่พิธาปฏิเสธการแต่งงานกับลูกสาวรัฐมนตรีเกรียงไกรต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายกลายเป็นประเด็นใหญ่ในวงการแพทย์ตลอดหลายวันมานี้ทั้งสองตระกูลหมายมั่นจะเป็นทองแผ่นเดียวกันเพราะเหตุผลทางธุรกิจ แต่ทุกอย่างก็ต้องถูกยกเลิกเพราะการกระทำของพิธาบนเวทีในวันนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวหมางใจกันจนเป็นเหตุให้คุณนิพนธ์เรียกให้พิธาไปพบในวันต่อมาวันนั้นเขาพาเธอไปด้วย เพราะอยากแนะนำเธอให้คุณนิพนธ์รู้จักอย่างเป็นทางการ เธอยังจดจำสายตาที่คุณนิพนธ์มองเธอได้ดีท่านมองเธอตั้งแต่ศีรษะลงไป แม้จะไม่ใช่สายตารังเกียจเดียดฉันท์แต่เธอก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาด้วยความเอ็นดูบรรยากาศภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลขณะนั้นเต็มไปด้วยมวลอากาศแห่งความอึดอัดกระจายอยู่เต็มห้อง ตึงเครียดตั้งแต่บทสนทนาแรกเริ่มขึ้น“ฉันจำได้ว่าไม่ได้บอกให้แกพาคนอื่นมาด้วย” คุณนิพนธ์ปรายต
อัจจิมาลืมตาขึ้นมาในเพนท์เฮาส์หรูในวันที่ฝนโปรยปรายลงมาแต่เช้ามืด เมื่อคืนนี้เธอตั้งใจว่าจะกลับไปนอนที่บ้านแต่เป็นพิธาที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอกลับ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ออกคำสั่งกับเธอแล้วแต่ความเอาแต่ใจของเขาก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง แต่กลับเพิ่มขึ้นทุกวัน“คุณภิม อยู่ไหนคะ” อัจจิมาไม่เห็นชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียงจึงเดินออกมาดูข้างนอก ไม่รู้ว่าคนเป็นหมอเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงนอนตื่นแต่เช้าได้ ทั้งที่เมื่อคืนนี้กว่าจะกลับมาจากโรงพยาบาลก็ดึกดื่น แถมกลับมาถึงเขายังแสดงความรักต่อเธอจนทั้งเธอและเขาต่างก็เสียน้ำกันหลายรอบเห็นพิธานั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เบื้องหน้ามีเอกสารวางอยู่ แต่สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก“ทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะคะ น่าจะนอนต่ออีกหน่อย”“ผมนอนพอแล้ว คุณเถอะ ทำไมรีบตื่นน่าจะนอนต่ออีกหน่อย”“ฉันถามคุณนะคะไม่ใช่ให้คุณมาย้อนถาม” อัจจิมาแกล้งทำหน้างอน เห็นเธอเป็นแบบนี้เขาจึงดึงคนตัวเล็กลงมานั่งที่ตักก่อนจะหาเรื่องรังแกเธอแต่เช้า“โทษฐานที่ผมทำให้คุณโกรธแต่เช้า งั้นวันนี้ผมจะอยู่กับคุณทั้งวันเลยดีไหม”“วันนี้ฉันต้องไปทำงาน”“ไม่ต้องไป ผมลางานให้คุณเรียบร้อยแล้ว” ยิ้มกรุ้มกริ่ม“ลางาน ลาทำไมค
หรือว่าลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลที่ทุกคนพูดถึง ก็คือพิธา“ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบโดยพร้อมเพรียงกันว่า ลูกชายของผมกับหนูอรจีราลูกสาวของคุณเกรียงไกรกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกสองเดือนข้างหน้านี้ครับ” ทุกคนต่างปรบมมือร่วมแสดงความยินดีกับทั้งสองครอบครัวที่กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน คงมีเพียงแค่อัจจิมาที่ต่างไปจากทุกคนเรื่องที่เพิ่งได้ยินส่งผลให้สมองของอัจจิมาหยุดการทำงานชั่วขณะ เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น!ตอนตกลงรับงานนี้เธอรู้เพียงว่าตัวเองต้องมาเป็นพิธีกรในงานประชุมสัมมนาที่จัดขึ้นโดยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข รายละเอียดปลีกย่อยนอกเหนือจากนี้แอมมี่เพิ่งจะแจ้งเธอตอนที่มาถึงหน้างานแต่ข้อมูลที่แอมมี่บอกให้เธอรู้ตอนบรีพงานก็ไม่ได้ลงลึกว่าในงานมีใครมาบ้าง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของโรงพยาบาลที่ทุกคนพูดถึงคือคุณนิพนธ์แม้แต่ตอนที่เธอได้ยินว่าจะมีงานวิวาห์ ระหว่างบุตรสาวของรัฐมนตรีกับลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล เธอก็ไม่ได้เอะใจสักนิดว่าทายาทคนนั้นจะเป็นพิธา เพราะตอนที่เธอบอกเขาว่ารับเป็นพิธีกรในงาน ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และยังบอกอีกว่าเขาไม่ได้ถูกเชิญให้มางานนี้แปลว่าเขาจงใจป
ภายในห้องรับรองโรงแรมแห่งหนึ่ง อดีตนายแพทย์นิพนธ์ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล ‘วิวัฒเวช’ นั่งจิบกาแฟก่อนจะรับฟังรายงานจากเลขาคนสนิท"จากที่ท่านให้ผมไปสืบ ตอนนี้คุณพิธากำลังคบหาอยู่กับผู้หญิงคนนึงครับ ชื่อจี๊ด อายุยี่สิบเจ็ดปี เรียนจบคณะบัญชีมหาฯลัยXX เคยเป็นพนักงานในบริษัทของคุณปกรณ์แต่ถูกไล่ออกเมื่อสองเดือนที่แล้วเพราะคุณปานวาดเข้าใจว่าเธอเป็นเมียน้อยคุณปกรณ์ แต่ความจริงเมียน้อยคุณปกรณ์คือน้องสาวต่างแม่ ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณาของเพื่อนคุณพิธาครับ กลางคืนเธอทำงานที่ฟลาวเวอร์ไนต์คลับในตำแหน่งรับแขกวีไอพีครับ”“มีอะไรอีกก็ว่ามา” คุณนิพนธ์สังเกตเห็นว่าเลขาคนสนิทยังรายงานเรื่องที่รู้มาไม่หมด“ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของคนไข้โรคหัวใจที่รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลของเราครับ ชื่อประสิทธิ์ยุห้าสิบหกปี คนไข้รายนี้คุณพิธาออกค่าใช้จ่ายให้ห้าสิบเปอร์เซนต์ของค่ารักษาในแต่ละครั้ง แต่คุณพิธาปกปิดเรื่องนี้กับผู้หญิงและครอบครัวของผู้หญิงครับ ส่วนนี่เป็นข้อมูลของคนไข้รายนั้นครับ” คุณนิพนธ์เปิดดูข้อมูลส่วนตัวของอัจจิมารวมทั้งรูปถ่ายประกอบการรายงานจากเลขาไปด้วย ก่อนจะหยิบประวัติการรักษาของ
“ผมไม่ได้ยุ่งเรื่องของสองคนนั้น คนที่ผมยุ่งด้วยคือคุณต่างหาก”สายตาของชายหนุ่มจริงจังขึ้นมาก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ผมจะยอมให้คุณถูกคนอื่นรังแกได้ยังไง” จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยหวังให้เธอมองเห็นความจริงใจที่เขามีให้“คุณชอบฉันอะไรในตัวฉันเหรอคะ” คราวนี้เป็นอัจจิมาที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมบ้าง สายตาของเธอจริงจังไม่ต่างกัน“การที่เราจะรักใครสักคนมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” เขาถามในสิ่งที่เฝ้าถามตัวเองมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ“ก็ต้องมีสิคะ”“เหรอ งั้นคุณล่ะ ชอบอะไรในตัวผม” อัจจิมาอึ้งไปอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าจะถูกเขาย้อนถามเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบอะไรในตัวเขา เขาเข้ามาอยู่ในหัวใจของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาชัดเจนกับสถานะคู่นอนระหว่างเธอกับเขามาโดยตลอด แต่หัวใจเธอก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิด“ว่าไง” เขาจ้องเธอก่อนจะไล่ต้อนให้จนมุมว่า “คุณตอบไม่ได้ใช่ไหม”“ตอบได้สิ ข้อแรกเลย ฉันชอบที่คุณรวยมาก ชอบที่คุณเป็นหมอ แล้วก็ชอบหน้าหล่อๆ ของคุณ ชอบร่างกายแน่นๆ ของคุณด้วย” อัจจิมาแค่อยากเอาชนะ ไม่คิดว่าพิธาจะตอบกลับมาอย่างหน้าตาเฉยว่า“งั้นผมคงต้องภูมิใจสินะ เพรา