หลิง อี้หรานนึกถึงข่าวและคดีลักพาตัวเด็กที่เธอเคยเห็นในอดีต ทันใดนั้นสมองของเธอก็สับสนมากขึ้นถ้าอาหยันน้อยถูกลักพาตัวไปจริง ๆ เธอจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง!แต่ยิ่งเธอวิตกกังวลมากเท่าไร จิตใจของเธอก็ยิ่งว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น เธอต้องการตามหาอาหยันน้อยให้เจอโดยเร็วที่สุด แต่เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนทันใดนั้นก็มีคนคว้าแขนของเธอเอาไว้ เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหูของเธอ “ใจเย็น ๆ”คำง่าย ๆ สองสามคำที่ทำให้หลิง อี้หรานรู้สึกหมดหนทาง“ฉันใจเย็นอะไรได้? อาหยันน้อยหายไปแล้ว!” เธอสำลักเสียงของตัวเอง ดวงตาของเธอก็เปียกโปนไปด้วยน้ำตา “มันเป็นความผิดของฉัน ฉันควรจะไปห้องน้ำกับอาหยันน้อยด้วยตัวเอง ถ้าฉันไปกับเขา เขาคงไม่หายตัวไป”“มันเป็นความผิดของผมเองที่ขอให้พนักงานไปกับเขา แต่พี่มั่นใจได้ว่าเราจะหาเขาเจอ ผมจะสั่งปิดหอประชุมทันทีและค้นหาเขา” อี้ จิ่นหลีกล่าว“แต่... ถ้าคนที่ลักพาตัวหยันน้อยพาเขาออกไปนอกหอประชุแล้วล่ะ?” หลิง อี้หรานนึกถึงความเป็นไปได้“ถ้าอย่างนั้นผมจะปิดเมือง ผมจะปิดเมืองภายในสิบนาที เขาไม่สามารถไปที่ทางออกทางหลวงได้ภายในสิบนาทีถ้าปิดเมืองแล้ว แม้แต่คนลักพาตัวก
หลิง อี้หรานมองดูเด็กน้อยนิ่งเงียบและทำท่าทางอีกสัญญาณหนึ่ง เด็กน้อยยื่นมือของเขาพร้อมกับประสาทหูเทียมในฝ่ามือของเขา จริง ๆ แล้วประสาทหูเทียมซึ่งควรจะติดอยู่กับหูของเขา‘อาหยันน้อยทำประสาทหูเทียมหาย?’ หลิง อี้หรานคิด เธอเริ่มสื่อสารกับหยันน้อยในภาษามือหลังจากพูดคุยภาษามือกันเล็กน้อย หลิง อี้หรานก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าหยันน้อยสูญเสียประสาทหูเทียมของเขาไป เมื่อเขากลับมาได้ครึ่งทาง เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย พอเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ เขาจึงรีบกลับไปที่ห้องน้ำเพื่อค้นหาประสาทหูเทียมเด็กน้อยวิ่งเข้าไปหาลุงคนหนึ่งในห้องน้ำ แต่เด็กน้อยไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้เพราะเขาไม่รู้ภาษามือแต่หยันน้อยฉลาด เขาจุ่มนิ้วลงในน้ำแล้วเขียนบนเคาน์เตอร์บอกลุงว่าอยากกลับห้องไปหาใครซักคนชายคนนั้นขอให้หยันน้อยนำทางและบอกว่าจะพาเขากลับไปที่ห้องหลิง อี้หรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่หยันน้อยได้พบกับคนดี หากเขาพบใครที่มีเจตนาไม่ดี เขาอาจถูกลักพาตัวไปและขายให้กับพวกค้ามนุษย์หลิง อี้หรานยืดตัวขึ้นและกล่าวกับชายที่ยืนอยู่ข้างหยันน้อย “ขอบคุณนะคะ คุณ...”ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอก็ขาดหายไป
“เด็กคนนี้คือ…” เย่ เหวินหมิงถาม“เขาคือ... ลูกของเพื่อนค่ะ” หลิง อี้หรานพึมพำ เธอไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของโจว เชียนหยุน “ขอบคุณที่พาเด็กน้อยกลับมานะคะ”“ยินดีครับ” เย่ เหวินหมิงกล่าว ดวงตาของเขาอดไม่ได้ที่จะมองดูเด็กน้อยที่เกาะขาของหลิง อี้หรานเขาเห็นคือเด็กคนนี้อยู่ในห้องน้ำ ดูเหมือนเด็กน้อยกำลังค้นหาบางอย่างอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาประหม่า วิตกกังวล และกลัวมาก เย่ เหวินหมิงอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักและมองดูเขาน่าแปลกที่ปกติแล้วเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อเขาเห็นเด็กน้อย เขาก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการหาสาเหตุที่ทำให้เด็กน้อยรู้สึกประหม่าได้เขารับรู้เด็กน้อยไม่ได้ยินอะไรเลย เจ้าตัวเล็กมีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กน้อยพูดพล่ามบางคำหลังจากรู้สึกถึงความยากลำบาก แต่เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กน้อยพูดเมื่อเขาคิดว่าไม่สามารถสื่อสารกับเด็กได้ เด็กน้อยก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้สามารถเขียนได้เขาไม่เพียงแค่เขียนคำง่าย ๆ เช่น ‘หนึ่ง’, ‘สอง’ หรือ ‘สาม’ แต่เขาสามารถเขียนคำที่ซับซ้อนกว่านี้และเขียนเพื่อแสดงอะไรบางอย่างได้เขารู้สึกประหลาดใจกับเด็กน้อยและ
คง จื่ออินยิ้มและกล่าวว่า “สวัสดีค่ะ ฉันคือคง จื่ออินเป็นคู่หมั้นของเหวินหมิง”“เอาล่ะ คุณอี้ ผมมีบางอย่างที่ต้องจัดการ ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ” เย่ เหวินหมิงกล่าว“ได้ครับ” อี้ จิ่นหลีตอบด้วยรอยยิ้มมุมปากเมื่อเย่ เหวินหมิงและคู่ของเขาจากไป อี้ จิ่นหลีก็หันไปหาหลิง อี้หรานและกล่าวว่า “เราหาหยันน้อยเจอแล้ว ทำไมพี่ยังดูกังวลอยู่ล่ะ?”“ชายคนนั้นคือเย่ เหวินหมิง” หลิง อี้หรานกล่าว“แล้วยังไง?” อี้ จิ่นหลีถามเบา “อาหยันน้อยเป็นลูกของเขา แต่เขากลับไม่รู้ว่าเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา” หลิง อี้หรานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าเธอเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของอาหยันน้อยกับเย่ เหวินหมิงอย่างรอบคอบ เธอพบว่าอาหยันน้อยกับเย่ เหวินหมิงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน“อย่าอารมณ์เสียกับเรื่องของคนอื่นเลย นี่เป็นเรื่องระหว่างเย่ เหวินหมิงกับโจว เชียนหยุน เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” อี้ จิ่นหลีกล่าวหลิง อี้หรานพยักหน้าและมองลงไปที่อาหยันน้อย ประสาทหูเทียมของหยันน้อยหลุดออกมาและเขาไม่ได้ยิน ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลว่าหยันน้อยจะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงทั้งสามคนกลับไปที
หลิง อี้หรานทำตามคำแนะนำบนอินเทอร์เน็ตและสั่งอาหารเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ไม่เพียงแต่อาหารของเด็ก ๆ เท่านั้นที่ได้ทำเป็นตัวการ์ตูนน่ารักแต่ยังรวมถึงอาหารของผู้ใหญ่ด้วยหลิง อี้หรานมองอี้ จิ่นหลีที่อยู่ข้าง ๆ เธอ วันนี้เขาแต่งตัวในชุดสูทและเสยผมไว้ เขาดูเหมือนคนชนชั้นสูงทางสังคมทั่วไปที่พร้อมจะไปงานปาร์ตี้และการประชุมทุกเมื่อตรงหน้าเขาคือชุดอาหารรูปตัวการ์ตูน มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก หลิง อี้หรานอดหัวเราะไม่ได้“ตลกอะไรขนาดนั้นเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถาม“ไม่มีอะไร แค่... เอ่อ ฉันไม่เคยเห็นคุณกินข้าวรูปตัวการ์ตูนมาก่อน และอีกอย่างหมูสีชมพูในอาหารที่คุณกำลังกินคือ Peppa Pig” หลิง อี้หรานอธิบายอี้ จิ่นหลีหัวเราะคิกคัก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลยเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาเคยเห็นอาหารรูปตัวการ์ตูนคล้าย ๆ กับในตอนนี้ ตอนนั้นเขาเดินผ่านร้านอาหารกับพ่อแม่ของเขา เขาอยากกินที่นั่น แต่ครอบครัวของเขายากจนมาก เขาจึงไม่สามารถกินอาหารแบบนี้ได้ในตอนนั้นราคาอาหารมื้อนี้หนักเกินกว่าที่ครอบครัวจะจ่ายไหวแม้ว่าเขาจะสามารถซื้อมันได้ในตอนนี้ แต่เขาไม่เคยคิดที่จะกินมัน ถ้าเข
แต่มันกลับกลายเป็นความคาดหวังที่มากเกินไปหลังจากที่ทั้งสองเล่นกันไปประมาณครึ่งชั่วโมง หลิง อี้หรานก็นึกขึ้นได้ถึงเวลาที่ต้องไปส่งอาหยันน้อยกลับบ้านแล้ว เธอจับมือเด็กน้อยและเดินไปหาเขา“เสร็จแล้วเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถามพลางเลิกคิ้วขึ้น“อืม เราต้องรีบไปส่งอาหยันน้อย เพราะว่ามันดึกแล้ว พี่โจวจะเป็นห่วงเขา” หลิง อี้หรานกล่าว จากนั้นเธอก็มองไปที่ใบหน้าแดงก่ำของหยันน้อย เธอทำสัญญาลักษณ์มือและกล่าวว่า “อาหยันน้อย ชอบที่นี่ไหมจ๊ะ?”คนตัวเล็กพยักหน้าตอบรับ“ถ้าหนูชอบ ครั้งหน้าน้าจะพาหนูมาที่นี่อีกนะ” หลิง อี้หรานกล่าวคนตัวเล็กพยักหน้าอีกครั้ง เขาส่งยิ้มหวานให้หลิง อี้หราน แขนเล็กของเขาโอบรอบเอวของเธอ ในขณะที่หัวเล็ก ๆ ของเขากำลังไถไปมาบริเวณหน้าท้องของเธอ ราวกับว่าเขาต้องการแสดงความรักอี้ จิ่นหลีขมวดคิ้วและยกมือขึ้นเพื่ออุ้มเด็กน้อยให้แยกจากจากหลิง อี้หราน และปล่อยเด็กน้อยไว้อีกด้านหนึ่ง “ไปกันเถอะ”เขาไม่ชอบให้ใครมาทำตัวสนิทสนมกับเธอมากเกินไป!หลิง อี้หรานไม่รู้ว่าเธอควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กับการกระทำของอี้ จิ่นหลีดีหลังจากที่ที่งสามคนขึ้นรถแล้ว อาหยันน้อยผู้เหนื่อยล้าจากการเล่นสนุ
โจว เชียนหยุนดึงสติของตัวเองกลับมา เธอก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับลูกชายของเธอจากอ้อมแขนของอี้ จิ่นหลีและกล่าวว่า “ขอบคุณนะคะ ฉันจะพาอาหยันน้อยไปที่ห้องนอนเอง”โจว เชียนหยุนจึงรับและอุ้มหยันน้อยไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่ห้องด้านที่อยู่หลังของร้านอาหารเมื่อหลิง อี้หรานเห็น เธอจึงกล่าวกับอี้ จิ่นหลีว่า “ขอฉันคุยกับพี่โจวสักครู่นะ” จากนั้นเธอก็เดินตามพี่โจวไปที่ห้องด้านหลังเมื่อหลิง อี้หรานเข้ามาในห้อง เธอเห็นโจว เชียนหยุนกำลังวางหยันน้อยลงบนเตียงและดึงผ้าห่มมาห่มเด็กน้อย“ขอบคุณที่ช่วยดูแลอาหยันน้อยในวันนี้นะ อี้หราน” โจว เชียนหยุนกล่าวขอบคุณเธอหลิง อี้หรานเม้มฝีปากเล็กน้อยและมองตรงไปที่โจว เชียนหยุน เธอกล่าวว่า “พี่โจว วันนี้ฉันเจอกับ เย่ เหวินหมิงด้วยค่ะ”ชื่อของ ‘เย่ เหวินหมิง’ ทำให้ร่างของโจว เชียนหยุนแข็งทื่อทันที ใบหน้าของเธอซีดลง “เขา...” เธอพยายามพูดบางอย่างแต่กลับเงียบลงเป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรหรือจะถามอย่างไร ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความตึงเครียดหลิง อี้หรานกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด “มันเรื่องบังเอิญค่ะ เพราะอาหยันน้อยทำประสาทหู
เมื่อหลิง อี้หรานจากไป โจว เชียนหยุนก็เฝ้ามองลูกชายของเธอที่ยังคงหลับอยู่ เธอยกมือขึ้นและสัมผัสใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกขมขื่นเธอนึกถึงตอนที่ลูกถามว่าพ่อของเขาอยู่ที่ไหนเธอเพียงโกหกออกไป ‘บนสวรรค์’เธอไม่รู้ว่าเธอจะโกหกได้นานแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถบอกความจริงกับอาหยันน้อยได้ว่าพ่อที่แท้จริงของเขาอยู่ที่ไหนเธอควรบอกลูกอย่างไร? บอกเขาว่าพ่อของเขาจงใจเข้าหาเธอด้วยความอาฆาตพยาบาทตั้งแต่แรก? บอกเขาว่าเธอตะโกนใส่พ่อของเขาว่า ‘ถ้าฉันกำลังตั้งครรภ์ลูกของคุณล่ะ?’แต่ชายคนนั้นกลับพูดอย่างเย็นชาว่า ‘ไปทำแท้งซะ! เธอเป็นใครถึงจะมาให้กำเนิดลูกของฉัน?’หยันน้อยจะเสียใจไหม ถ้าเขารู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้ต้องการเขาตั้งแต่แรก?ผู้ชายคนนั้นไม่เคยรักเธอเลย มันเป็นเพียงความปรารถนาของเธอเท่านั้น เธอโง่เองที่หลงคิดว่าเขารักเธอ หลังจากที่เธอเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเขาแล้ว ชีวิตของเธอก็จบลงอย่างน่าสลดใจเธอคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการติดคุกได้ ถ้าไม่มีคนตัวเล็กคนนี้ในที่สุดวันนี้อาหยันน้อยก็ได้พบกับพ่อของเขาแล้ว เธอพยายามป้องกันไม่ให้พ่อและลูกชายพบกัน เธอย้ายออกจากเมืองเดิมที่เคยอยู่และไม่คาดคิดว่าพ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค