ชิน เหลียนอี แทบจะสำลักคำพูดของเขา นอกใจ? ห่าอะไร! ฉันไม่ได้นอกใจ!แต่ต่อหน้าไป๋ ทิงซิน เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและอธิบายว่า “อืม... แม่ของฉันบังคับให้ฉันไปนัดดูตัว เธอจะไม่ยอมถ้าฉันไม่ทำ ฉันพยายามบอกเขาว่าฉันมีแฟนแล้ว แต่เขาขัดจังหวะฉันตลอด”เธอไม่ได้โกหก“แม่ของคุณบังคับให้คุณไปนัดดูตัวเหรอ?” เขาถามขณะเลิกคิ้ว"ใช่ ใช่!" เธอยิ้มอย่างอ่อนล้า ช่วงนี้แม่ของเธอบีบบังคับเธอมาก เพื่อให้เธอไปนัดดูตัว เธอเป็นคนที่ถูกทรมาณ“คุณไม่ได้บอกครอบครัวว่ามีแฟนเหรอ?” เขาถามด้วยแววตาที่ประกายไปด้วยความอันตรายชิน เหลียนอี รู้สึกผิดทันที บอกพ่อกับแม่งั้นเหรอ? เธอควรจะบอกพวกเขายังไง? แค่ตัวตนของไป๋ ทิงซิน ก็อาจทำให้แม่และพ่อของเธอหวาดกลัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ… เธอกับไป๋ ทิงซิน ยังไม่ลงรอยกัน พวกราแค่แสร้งทำเป็นคู่รักเท่านั้น“เราเริ่มออกเดทกันอย่างกะทันหัน มันอาจจะทำให้พ่อแม่ของฉันตกใจถ้าฉันบอกพวกเขาว่ามีแฟนแล้ว ฉันคิดจะหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อคุยกับพวกเขาในภายหลัง” ชิน เหลียนอี พยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ว่าเธอจะตั้งใจไม่บอกพวกเขาเลยก็ตาม“คุณจะบอกพวกเขาไหม?” ไป๋ ทิงซิน หรี่ตา“ฉันส
เธอดูเหมือนลูกหมูจอมตะกละแม้ว่าไป๋ ทิงซิน จะไม่รู้ว่าร้านอาหารร้านไหนมีรสชาตดีในย่านนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะชิน เหลียนอี จะพาไปร้านที่เธอชอบ“ร้านนี้เสิร์ฟอาหารจานพิเศษ บางอย่างหาไม่ได้จากร้านอาหารอื่น มีที่นี่เท่านั้นนะ” เมื่อพวกเขาอยู่ในร้านอาหาร ชิน เหลียนอี หยิบเมนูและเริ่มสั่งอาหารอย่างกระตือรือร้นเธอเริ่มแนะนำอาหารที่เธอสั่งให้เขาฟัว เมื่อเธอแนะนำไปได้ครึ่งทาง เธอกลับพบว่าไป๋ ทิงซิน จ้องมองเธออย่างเศร้าโศก“เอ่อ ขอโทษ ฉันพูดมากเกินไปหน่อย” เธอกล่าว“ไม่เป็นไร คุณแนะนำต่อเลย ผมจะฟัง” ไป๋ ทิงซิน กล่าวเสียงเบาชิน เหลียนอี แตะจมูกของเธอ เธอไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อ ทันใดนั้น “ก็... ทำไมวันนี้คุณมาที่นี่?” เธอถามขณะที่เธอไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร แต่จากนั้นเธออยากจะกัดลิ้นตัวเองทันทีที่ถามจบไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะผ่านพ้นปัญหาจากการนัดดูตัว และตอนนี้เธอกำลังพูดถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกครั้งแน่นอนว่าเขามองมาที่เธอและกล่าวว่า “ถ้าผมไม่มา คุณจะทานอาหารเย็นกับผู้ชายคนนั้นไหม?”ใบหน้าของเธอแดงจากการสำลักกับคำพูดของเขา “จะเป็น… ไปได้ยังไง?” อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยกับคำตอบขอ
“คิด...” จู่ ๆ เธอก็ตัวสั่น ดวงตาของเธอจ้องตรงไปที่คนตรงหน้าเธอ ลองคิดดูตอนนี้ไป๋ ทิงซิน หัวหน้าของตระกูล ไป๋ แน่นอนว่าเขามีคนรู้จักในวงกว้าง ถ้าไป๋ ทิงซิน ช่วยเธอสืบคดีของอี้หรานก็จะง่ายที่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าด้วยเหตุนี้ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้น เธอมองไปที่ไป๋ ทิงซิน เหมือนกำลังมองขนมปังที่อบสดใหม่“อืม... ฉันรู้ว่าฉันทำผิดและฉันยอมรับทุกสิ่งที่คุณพูด ฉันสัญญาว่าฉันจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ แต่... คุณช่วยอะไรฉันนิดหน่อยได้ไหมในขณะที่เรากำลังออกเดทกัน?” ชิน เหลียนอี มองไปที่เขาอย่างคาดหวัง“ช่วยเหลือ?” ไป๋ ทิงซิน ประหลาดใจเล็กน้อย “อะไรคือ ‘ช่วยนิดหน่อย’ ที่คุณต้องการให้ผมช่วย?" เมื่อพิจารณาจากท่าท่างประจบสอพลอของเธอแล้ว น่าจะไม่นิดหน่อย“เอ่อ เพื่อนของฉัน อี้หราน คนที่มาหาฉันกับอี้ จิ่นหลี เมื่อวันก่อน… เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาชญากรรมและใช้เวลาสามปีในคุก แต่จริง ๆ แล้วเธอถูกเข้าใจผิด เราไม่เคยพบหลักฐานที่จะช่วยเหลือเธอได้เลย แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เราพบเบาะแสบางอย่าง คุณช่วยติดตามดูเบาะแสและดูว่ามีอะไรช่วยทำให้คดีพลิกได้บ้าง ได้ไหม?” ชิน เหลียนอี กล่าวไป๋ ทิงซิน
เขามองไปที่มือของเธออย่างแน่วแน่ ตอนนี้มือของเธอจับเขาราวกับว่ามือคู่นั้นกำลังแสดงความดีใจเขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของเธอ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเพราะรอยยิ้มของเธอไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะหลิง อี้หรานเห็นได้ชัดว่าหลิง อี้หราน มีความสำคัญกับเธอมากกว่าเขามาก!...กู้ ลี่เฉิน เอนหลังพิงเบาะและลูบขมับเบา ๆ อยู่ภายในรถเลขาของเขาซึ่งอยู่ในรถด้วยกล่าวกับ กู้ ลี่เฉิน หลังจากได้รับโทรศัพท์ว่า “คุณกู้คะ ชุดเครื่องประดับที่คุณหลิงเลือกที่ร้านขายเครื่องประดับ มีมูลค่ายี่สิบล้านดอลลาร์ คุณต้องการให้คุณหลิงเอาไปเลยไหมคะ?”ยี่สิบล้านดอลลาร์มีราคาค่อนข้างแพง เจ้าของร้านขายเครื่องประดับจึงโทรมาสอบถามเรื่องนี้กู้ ลี่เฉิน กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เมื่อเธอเลือกแล้ว ก็ให้เธอเอาไป”“ได้ค่ะ” เลขาตอบ จากนั้นเขาจึงตอบกลับเจ้าของร้านขายเครื่องประดับตามคำสั่งเจ้านาย อย่างไรก็ตาม เขาแอบรู้สึกว่าคุณหลิงเป็นคนคิดตื้น ๆ เกินไป พวกเขาเพิ่งจะออกเดทในช่วงเวลาสั้น ๆ และเธอแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าร่วมสังคมชั้นสูง เมื่อไม่นานมานี้ เธอไปร้านอัญมณีและร้านค้าหรูหรา ดูเหมือนว่าเธอจะพยาย
มาลองคิดดู เขาเคยคิดว่าหลิง ลั่วอิน เป็นตัวแทนของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เขาพบเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ริมฝีปากของเธอเหมือนกับริมฝีปากของเด็กหญิงที่เขาจำได้แต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ บางครั้งเมื่อเขาอารมณ์เสีย ราวกับว่าเขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพียงแค่ฟังเรื่องที่หลิง ลั่วอิน พูดถึงหลิง อี้หรานเห็นได้ชัดว่าหลิง อี้หราน ไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยชีวิตเขาในตอนนั้นอาจเป็นเพราะหลิง อี้หราน ดูคล้ายกับเด็กผู้หญิงคนนั้น นั่นคือเหตุผลที่เขาปฏิบัติกับเธอแตกต่างไป เมื่อเขาเห็นเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะอยากอยู่ใกล้เธออย่างไรก็ตาม... จิ่นหลีต้องการผู้หญิงคนนั้น และไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องทำให้จิ่นหลีขุ่นเคืองกับผู้หญิงคนนั้น ท้ายที่สุดแล้ว… เธอคงไม่ใช่คนที่เขาตามหาขณะที่รถแล่นข้ามถนน กู้ ลี่เฉิน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ถนน เขามองไปที่ผู้คนในเครื่องแบบพนักงานบริการสุขาภิบาลโดยไม่รู้ตัวหลิง อี้หราน รับผิดชอบในการกวาดถนนนี้!แต่เขากลับไม่เห็นหลิง อี้หราน แม้ว่ารถจะขับออกจากบริเวณนั้นไปแล้วมีแววของความผิดหวังในดวงตาฟีนิกซ์ของเขาเป็นวันหยุดของเธอหรือเปล่า? หรือมีอะไรเกิดขึ้น เธ
...หลิง ลั่วอิน ดูมีความสุขมาก เมื่อกำลังสวมสร้อยคอราคายี่สิบล้านดอลลาร์ เธอรู้สึกว่าเธอมีค่าพอ ๆ กับเครื่องประดับราคายี่สิบล้านดอลลาร์ เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาอีกต่อไปตอนนี้เธออยู่ในกองทีมงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่เธอแสดงเป็นนักแสดงนำหญิง แม้ว่าทีมงานฝ่ายผลิตและผู้กำกับจะมีความสามารถไม่มากเท่าคนก่อน ๆ แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ได้แย่ และเธอยังเป็นนักแสดงนำหญิงด้วย ดังนั้นหลิง ลั่วอิน จึงพอใจมากกับบทการแสดงที่กู้ ลี่เฉิน มอบให้เธอตราบใดที่เธอยังจับลี่เฉินได้ เธอก็ไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับบทแสดงแย่ ๆ ในอนาคตแต่เธอรู้สึกไม่พอใจ เมื่อใดก็ตามที่ลี่เฉินถามเธอ เขาจะขอให้เธอพูดถึงหลิง อี้หราน อยู่เรื่อย เธอเพิ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลิง อี้หราน ให้เขาฟังบางครั้งเธอรู้สึกราวกับว่าลี่เฉินเพียงแค่ปล่อยให้เธอยึดติดกับตำแหน่งแฟนสาวของเขา เพียงเพื่อฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหลิง อี้หราน สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่หลิง อี้หราน ตัวติดกับอี้ จิ่นหลี ลี่เฉินก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิง อี้หราน อีกเธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ลี่เฉินเป็นคนที่พิถีพิถันในการเลือกคบกับแฟนสาว ผู้หญิงจะต้องไ
ผู้หญิงเหล่านั้นที่พยายามดึงดูดความสนใจของกู้ ลี่เฉิน ก็มองไปที่สร้อยคอที่คอของหลิง ลั่วอิน หลังจากที่พวกเธอได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายด้วยความหึงหวงและอิจฉา จากนั้นพวกเธอก็เดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์หลิง ลั่วอิน ยิ้ม เธอรู้ว่าเธอบรรลุเป้าหมายแล้วหลิง ลั่วอิน พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากที่ทุกคนจากไป “ลี่เฉิน คุณจะต่อว่าฉันไหมที่อยากได้สร้อยคอราคาแพงขนาดนี้?” เธอดูเหมือนผู้หญิงบอบบางและอ่อนแอ เธอกัดริมฝีปากล่างเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสารและตัวเล็กในฐานะนักแสดง เธอรู้วิธีทำให้ตัวเองดูน่าสงสารมากขึ้นด้วยการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ “ฉันแค่อยากจะเหมาะกับคุณมากกว่านี้ ฉันไม่อยากทำให้คุณอับอายเมื่อฉันยืนอยู่ข้าง ๆ คุณ”กู้ ลี่เฉิน มองไปที่ผู้หญิงอย่างเฉื่อยชา เหมาะสมเหรอ? เธอคิดว่าเธอจะเหมาะกับเขามากขึ้นด้วยการประดับประดาตัวเองด้วยเครื่องประดับและสินค้าที่มีราคาแพงอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงมีผู้หญิงอีกหลายล้านคนที่เหมาะสมกับเขานอกเหนือจากริมฝีปากของเธอแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขานึกถึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในความทรงจำของเขาได้เลย“คุณซื้อมาแล้ว อย่าโทษต
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ หลิง ลั่วอิน ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น ๆทันใดนั้น นิ้วของเธอก็ไปรูดเข้ากับอะไรบางอย่างอย่างหนัก เธอมองไปที่มันและเห็นว่ามันเป็นสร้อยข้อมือสีเงินที่เขามักจะสวมใส่อยู่เสมอสร้อยข้อมือนั้น… หลิง ลั่วอิน จ้องไปที่สร้อยข้อมือเงินที่อยู่บนหน้าอกของเขา มันเป็นเพียงสร้อยข้อมือธรรมดา ทำไมเขาถึงใส่มันอยู่บ่อย ๆ? เขาปฏิบัติกับมัน ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าบางอย่างหลิง ลั่วอิน หยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาดูใกล้ ๆในวินาทีต่อมา มีมือคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ข้อมือของเธอ เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปล่อยสร้อยข้อมือหลิง ลั่วอิน คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเธอสบเข้ากับดวงตาใสคู่หนึ่งเขาเมา ในขณะนี้ดวงตาของเขากลับไม่ได้ขุ่นมัวจากความมึนเมา แต่กลับสว่างและชัดเจนจนเขาดูน่ากลัว“คุณไม่สามารถแตะต้องสิ่งนี้ได้” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นจนเสียดแทงถึงกระดูก“ฉัน… ฉันจะไม่ทำอีก ฉันแค่อยากช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อให้คุณสบายตัวขึ้น ฉะ-ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะแตะต้อง ลี่เฉิน ได้โปรด… ได้โปรด ปล่อย…” หลิง ลั่วอิน รู้สึกเจ็บปวดมากจนเหงื่อออกบนหน้าผากของเธอ เธ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค