เธอตัวสั่นและเงยหน้าขึ้นอย่างคนหัวรั้น มองคนตรงหน้าเธอ ดวงตาสีดำที่เปียกชื้นของเธอค่อย ๆ โฟกัส“จิน นายช่วยฉันตามหาเหลียนอีได้ไหม?” เธอรีบกล่าวหลังจากรู้สึกตัว “ตำรวจเพิ่งรับคดี พวกเขาจะส่งคนไปตามหาเธอ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะตามเธอเจอเมื่อไหร่ ถ้าฉันจำป้ายทะเบียนได้... ทำไมฉันไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้นะ?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิดอี้ จิ่นหลี จ้องมองไปที่หลิง อี้หราน เขาเคยเห็นเธอเป็นกังวลมากเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับยายของเธอยายของเธอเป็นญาติของเธอ แต่ชิน เหลียนอี? เป็นแค่คนหนึ่งที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเธอ แต่เธอกลับเป็นกังวลอย่างมากคลื่นแห่งความหึงหวงผุดขึ้นในใจของเขา เขาอิจฉาที่เธอเป็นห่วงชิน เหลียนอี มาก แล้วเขาล่ะ? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เธอจะเป็นห่วงเขาบ้างไหม?“กลับบ้านก่อนนะ ที่นี้อากาศเย็นมาก” เขากล่าว “ดูสิว่ามือของพี่เย็นขนาดไหน”หนาวไหม? เธอไม่รู้สึกอะไรเลย สิ่งที่เธอคิดอย่างเดียวคือจะหาเหลียนอีได้ยังไง“นายจะ… จะช่วยฉันตามหาเหลียนอีได้ไหม?” เธอถามเพื่ออยากได้คำตอบที่ชัดเจน เธอทำได้แค่รอตำรวจ แต่... ถ้าเขาเต็มใจที่จะช่วย พวกเขาคงจะพบเหลียนอีในไม่ช้าเขามีทั้งคนรู้จั
ตอนนี้ลมหายใจของเขาเหมือนติดอยู่กลางหน้าอก เขาไม่สามารถเอามันออกมาหรือสูดลมหายใจกลับเข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเธอเป็นกังวลและกลัว? ดูเหมือนเธอจะเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นอี้ จิ่นหลี ถอนหายใจราวกับว่าต้องการประนีประนอมอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรออก “ช่วยฉันหาใครสักคนหน่อย ฉันอยากรู้ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเธอจะปลอดภัยหรือไม่... ชื่อของเธอคือชิน เหลียนอี เธอถูกรถคันนี้ลักพาตัวไปเมื่อตอนบ่าย รถคือ...”อี้ จิ่นหลี กล่าวและยื่นโทรศัพท์ให้หลิง อี้หราน เขากวักมือเรียกเธอมาคุยหลิง อี้หราน ตัวสั่นและรีบกล่าวว่า “รถยนต์คันสีดำ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มายบัค หมายเลขทะเบียนคือ...”เธอรีบบอกตัวเลขที่เธอจำได้ ที่อยู่ที่จอดรถ เวลาที่เกิดเหตุ และรายละเอียดอื่น ๆหลังจากหลิง อี้หราน พูดจบ อี้ จิ่นหลี ก็พูดกับอีกฝ่ายที่อยู่ในสายว่า “นั่นคือทั้งหมดที่ฉันอยากรู้ว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน โดยด่วนที่สุด!”หลังจากวางสาย อี้ จิ่นหลี มองไปที่หลิง อี้หราน “เอาล่ะ เรากลับกันได้แล้วใช่ไหม?”เธอจึงเดินไปขึ้นรถกับเขา เขาเปิดประตูที่นั่งโดยสารและเมื่อเธอเข้าไปนั่งในร
อี้ จิ่นหลี ไม่พูดอะไรอีก เขาปิดประตูรถและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับจากนั้นสตาร์รถ หลิง อี้หราน แปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นอี้ จิ่นหลี ขับรถ เพราะปกติแล้วต้องเป็นหน้าที่ของคนขับรถ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่า เขากำลังขับรถอยู่ เธอจึงมองเห็นด้านข้างใบหน้าของเขา เมื่อเธอสังเกตจากด้านข้าง เธอดูเหมือนจะเห็นได้ชัดขึ้นว่า โครงหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นของเขาและสันจมูกที่ตรงได้รูของเขา อีกทั้งริมฝีปากบาง ๆ ที่แสนจะเซ็กซี่ แต่ในตอนนี้ ผมของเขายุ่งกว่าปกติ มีเส้นผมสองสามเส้นพาดผ่านหน้าผากของเขา เขาดูเหมือน จิน คนที่เธอเคยรู้จักมากขึ้น จิน... การนึกถึงชื่อนี้ ทำให้เธอรู้สึกสับสน เมื่อกี้เธอเรียกเขาว่า ‘จิน’ เพราะจิตใต้สำนึกของเธอ คิดเพียงว่ามีแค่ ‘จิน’ เท่านั้นที่จะคอยช่วยเธอ ไม่ใช่ อี้ จิ่นหลี ไม่ใช่เหรอ? แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจินหรืออี้ จิ่นหลี มันก็คือเขาอยู่ดี และในตอนนี้ เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เธอจะสามารถขอความช่วยเหลือได้ แม้ว่าตำรวจจะกำลังตามหาเหลียนอี แต่... เธอก็ยังต้องการคนช่วยกันตามหาเพิ่มขึ้น เพราะมันจะดีที่สุด ถ้าพวกเขาหาตัวเหลียนอีได้เร็วขึ้น เมื่อรถจอดติดไฟแดง
เขาต้องการให้เธอมีเขาเพียงคนเดียวในสายตาเธอ “ถ้าพี่อยากจะรู้จริง ๆ พี่ก็คงต้องรอไปพร้อม ๆ กับผม ถ้าคนของผมพบว่า ชิน เหลียนอี อยู่ที่ไหน พวกเขาจะรีบแจ้งผมทันที” อี้ จิ่นหลี กล่าว นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิง อี้หราน แต่... เดี๋ยวนะ? เธอต้องรอกับเขาที่ไหน? หลิง อี้หราน กระพริบตา และ 5 นาทีต่อมา ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่า เธอต้องรอที่ไหน ในห้องของอี้ จิ่นหลี นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้ามาในห้องของเขา แต่มันเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาทางประตูหน้าห้อง แทนที่จะเข้าผ่านประตูทางเชื่อมของห้องพวกเขา เมื่อเข้ามาข้างใน อี้ จิ่นหลี ก็ถอดเสื้อ โค้ทออกแล้วเอาโทรศัพท์มาถือออกมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟ หลิง อี้หราน ถึงกับตกใจที่ได้เห็นโทรศัพท์เครื่องนั้น มันเป็นเครื่องเดิมที่เธอเคยซื้อให้กับเขาในราคา 1,500 ดอลลาร์ โดยคนทั่วไปอาจจะมีโทรศัพท์ที่ดีกว่าเครื่องนี้ด้วยซ้ำ เขายังเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ตลอดเลยเหรอ? ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เธอจะติดต่อเขาได้ทันทีที่เธอโทรมาได้ยังไง? แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะเลิกสงสัยถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือ เธอก็ได้เห็นเขาถอดเสื้ผ้าอีก หลิง อี้หราน หน้าแดงทันที “ทำไม... ทำไม
เขา... โป๊ตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไป “คุณ...” หน้าของเธอแดงพร้อมกับหลับตา เธอไม่กล้าลืมตา เพราะกลัวว่าจะเห็นอะไรที่เธอไม่ควรจะเห็นมัน “พี่จะไม่ลืมตาของพี่ใช่ไหมครับ?” ลมหายใจของเขา กลิ่นเหมือนกับกล้วยไม้ และเสียงของเขาเหมือนดั่งกับเวทมนตร์สะกด หลิง อีหราน ยังคงหลับตาและหน้าแดง พร้อมกับพูดขอร้อง “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!” “ผมอยากให้พี่มองมาที่ผม” เขาพูด “วันนี้ผมทำให้พี่พอใจ ไม่อยากมองผมเหรอ พี่สาว?” หลิง อี้หราน ตัวแข็งทื่อ เธอกัดปากตัวองโดยไม่รู้ตัว เธอสงเสียงร้องออกมาเบา ๆ ขณะที่เธอไปสัมผัสได้ถึงจุดที่เขากัดเธอ เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นในหูของเธอ และเธอก็รู้สึกว่า นิ้วของเขากำลังสัมผัสที่ปากของเธอ “พี่รู้อะไรไหม? เมื่อกี้พี่ดูน่ารักมากเลยนะ” น่ารัก? ก่อนที่เธอจะมีเวลาได้ตอบโต้ เธอดันรู้สึกกดดันที่ริมฝีปากของเธอ มันนุ่มนวลด้วยการสัมผัสที่อบอุ่น มันคือ... ริมฝีปากของเขา! เขาจูบเธอ! หลิง อี้หราน ลืมตาแล้วจ้องไปที่ใบหน้าที่อยู่หน้าเธอ พวกเขาใกล้กันมากจนเธอมองไม่เห็นหน้าเขาได้ทั้งหมด เธอเห็นแค่เพียงดวงตาใส ๆ ของเขา ที่เหมือนกับดอกพีชที่เบิกบาน ตาคู่นั้นดูงดงามจน
อย่างไรก็ตาม เขาทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาจ้องไปที่เธอแล้วพูดขึ้นว่า “พี่จะทำให้ผมเจ็บเหรอ พี่สาว?” ตัวของเธอสั่นในขณะที่เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ที่คอ มันมีบางคำที่ติดอยู่ในนั้น สายตาของเขาจ้องมองเธอราวกับว่ากำลังจะมองทะลุผ่านตัวเธอเลยด้วยซ้ำ “มันเป็นคำถามที่ยากเกินไปอย้างนั้นเหรอ?” หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาพึมพำ “ไม่เป็นไร ถ้าพี่ไม่อยากตอบ แต่ผมขอเตือนพี่ไว้เลยนะ...” เขาก้มลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่ริมฝีปากของเขา อยู่ใกล้ ๆ หูของเธอ และเขาก็กระซิบว่า “อย่าทำให้ผมเจ็บนะ เข้าใจไหม?” ตราบใจที่เธอไม่ทำให้เขาเจ็บ เขาก็จะเทิดทูนเธอเหนือแผ่นดินและท้องฟ้าและรักเธอที่สุดในโลกใบนี้ จะคอยปกป้องเธอ ทำให้เธอมีความสุข และปลอดภัยไปตลอดชีวิตของเธอ ตราบใดที่เธอไม่คิดจทำให้เขาเจ็บ ...ในห้องขนาดใหญ่นี้ หลิง อี้หราน กระวนกระวายและดูนาฬิกาที่มือถือของเธอบ่อยครั้ง และคำนวณเวลา ว่ามันนานแค่ไหนแล้ว ก่อนที่เธอจะได้ยินข่าวของเพื่อนสนิทของเธอ ในทางกลับกัน อี้ จิ่นหลี ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองและนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับดูรายงานจากผู้เชี่ยวชาญ อี้ จินหลี มีท่านั่งที่สง่างาม หลิง อี้หราน ไ
“เขาเป็นประธานของ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป เป็นคนปกครองตระกูลไป๋” อี้ จิ่นหลี กล่าวแล้วมองไปที่หลิง อี้หราน แบบสงสัย “พี่ไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นใคร? ไม่เคยได้ยิน ชิน เหลียนอี พูดถึงมาก่อนเลยเหรอ?” หลิง อี้หราน ได้ยินถึงกับตกใจ เธอมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อ ไป๋ ทิงซิน จากเพื่อนสนิทของเธอเลย แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่า ไป๋ เฟิง กรุ๊ป ต้องไม่ใช่องค์กรที่ธรรมดาอย่างแน่นอน พวกเขามีบริษัท อยู่ในเมือง เฉิน และเป็นบริษัทการส่งออกที่มีชื่อเสียง ทำไมเหลียนอีถึงไปเกี่ยวข้องกับ ไป๋ ทิงซิน? สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งสับสน คือชายคนเมื่อกี้บอกว่า ไป๋ ทิงซิน เป็นคนจับตัวเธอไปเอง นั้นหมายความว่า ไป๋ ทิงซิน อยู่ที่ Maybach ที่เธอเห็นวันนี้ จริง ๆ เหรอ? เธอคิดว่าเพื่อนของเธอถูกลักพาตัว แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น “ถ้าอย้างนั้น... ฉันจะไปตามหาเธอ!” หลิง อี้หราน หันอย่างรวดเร็วที่จะไปตามหาเพื่อนสนิทของเธอ ตามที่อยู่ที่เธอได้ยินเมื่อกี้ “พี่คิดว่าพี่จะเข้าไปในนั้นได้เหรอ?” อี้ จิ่นหลี พูดออกมาเบา ๆ “...” หลิง อี้หราน หยุดเดินทันที และลังเลก่อนที่เธอจะพูดว่า “งั้นฉัน... จะไปคุยกับตำรวจก่อน แล
เธอไม่มีเงินเลย สำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่เธอได้เรียนรู้มาหลายปีที่ผ่านมา พวกนั้นก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเลย ทีมทนายใน อี้ กรุ๊ป ก็มีประสมการณ์มากกว่าเธอ สิ่งเดียวที่เธอมีในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ตัวเธอเอง ตัวตนที่สิ้นหวังของเธอ นั้นคือทั้งหมดที่เธอมี หลิง อี้หราน หลุบตาลง และเธอก็คุกเข่าลงต่อหน้าอี้ จิ่นหลี “ฉันขอร้องล่ะ พาฉันไปเจอกับ ไป๋ ทิงซิน เถอะนะ ฉันอยากเจอเหลียนอี ด้วยตาของฉันเอง” ดวงตาสีดำของเขาจ้องไปที่เธอ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและ... ความโกรธ “พี่รู้ไหมว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่?” เขาจ้องมองไปที่เธอ และในใจของเขาสั่นมาก เขารู้ดีว่าเธอมีทิฐิในในตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะต้องถูกเยาะเย้ย แต่เธอยังต้องรักษาศักดิ์ศรีเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอที่ต้องถูกเหยียบย่ำ ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่ปฏิเสธเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอเต็มใจที่จะคุกเข่าก็เพื่อชิน เหลียนอี เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ชิน เหลียนอี มีความสำคัญมากเกินกว่าศักดิ์ศรีของเธอใช่ไหม? “ใช่” เธอพูดออกมาอย่างไม่ลังเล ขณะที่ก้มหัวลงไป “ถ้าคุณพาฉันไปหาเหลียนอี และแน่ใจว่า เหลียนอีปลอดภัยดี ฉันจะยอมทำทุกอย่างตามที่คุณต้องก
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค