เมืองเหิงเตี้ยน
Hengdian World Studios
โรงถ่ายทำที่เมืองเหิงเตี้ยนถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ย้อนยุคใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและในโลกเลยก็ว่าได้ สถานที่ถ่ายทำในเมืองเหิงเตี้ยนนั้นกว้างใหญ่เท่ากับเมืองหนึ่งในยุคอดีต แต่ละสถานที่ใช้เวลานานนับสัปดาห์กว่าจะไปครบทุกจุด ซึ่งภายในนั้นจะสร้างเป็นเมืองในยุคโบราณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนของผู้คนในสมัยโบราณ
ทั้งนี้เพื่อสะท้อนการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในยุคอดีต ตลอดจนถึงพระราชวังหลวงในสมัยโบราณ วังหลังซึ่งแยกเป็นตำหนักต่างๆ อุทยานหลวง จวนของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้ร่ำรวย ตลอดจนถึงสร้างเมืองในยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ก็อยู่ในโรงถ่ายนี้ด้วยเช่นกัน ทุกอย่างเหมือนจริงดั่งเช่นยุคโบราณไม่มีผิดเพี้ยน
และสถานที่ถ่ายทำเหิงเตี้ยนก็ได้เปิดเมืองเพื่อต้อนรับการถ่ายทำซีรีส์เรื่องยาว “นางมารร้ายตำหนักบูรพา” ฝีมือผู้กำกับชื่อดังเกาหยวนจาง ซึ่งได้ฉายาว่าผู้กำกับหมื่นล้าน เพราะลงมือกำกับเรื่องไหนเรื่องนั้นดังเป็นพลุแตก มียอดวิวในระดับหมื่นล้านวิวทุกเรื่อง ส่งผลให้ทัพดารานักแสดงจนถึงตัวประกอบต่างโด่งดังกันทั่วหน้า
กองทัพนักข่าวต่างเฝ้ารอทำข่าวซีรีส์เรื่องนี้กันตั้งแต่เช้า ภายหลังจากทำพิธีบวงสรวงและเปิดกล้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อสามวันก่อน และวันนี้เป็นการถ่ายทำครั้งแรก ซึ่งนักแสดงที่มีคิวถ่ายทำต่างเดินทางมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และนักแสดงหลักๆ ซึ่งมีคิวถ่ายทำในวันนี้กำลังพากันนั่งแต่งตัวตามห้องที่ถูกจัดเอาไว้ และเฉินวาวาก็กำลังรอช่างแต่งหน้ามารับช่วงต่อหลังจากช่างทำผมจัดการกับทรงผมที่จะต้องถ่ายทำฉากในวันนี้
ดวงตาคู่สวยไร้สิ้นเครื่องสำอาง เปิดเปลือยผิวขาวอมชมพูนวลเนียน ดวงหน้าเงางาม คิ้วโก่งได้รูปสวยมิต้องเสียเวลาวาดแต่งเติมแม้แต่น้อย ริมฝีปากเรียวอวบอิ่มสีแดงอมชมพูไม่ต้องแต่งคนสวยยังไงก็เอาอยู่ ดวงหน้างามสะท้อนอยู่บนกระจกเงาบานใหญ่ในห้องแต่งตัวเพื่อเพ่งพิศตัวเอง
“เหยียนเหยียน ฉากวันนี้ที่จะต้องถ่ายทำเป็นพิธีแต่งงานในสมัยโบราณ ต้องเกล้าผมสูงขนาดนี้เลยเหรอทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆ จังเลยกับการเกล้าผมแบบนี้” หญิงสาวเอ่ยกับเพื่อนรัก
“แกนี่ถ้าจะบ้าแล้ววาวา นี่เป็นซีรีส์จีนโบราณเรื่องแรกของแกที่จะต้องเกล้าผมเพื่อสวมมงกุฎเจ้าสาว เรื่องอื่นที่เคยเล่นมามีพิธีแต่งงานแบบนี้ด้วยเหรอ นึกให้ดีสิเพิ่งจะเป็นดาราแค่สองสามปีเอง มีซีรีส์โบราณกี่เรื่องยะที่เคยเล่นและสวมชุดแต่งงาน” ชิงเหยียนเอ่ยทบทวนความจำให้เพื่อนสนิทได้ล่วงรู้
“แหม...ถามนิดเดียวแม่ตอบยาวเป็นประเทศเลย ก็แค่คุ้นๆ ก็เลยถาม” หญิงสาวกล่าวพลางก้มหน้าก้มตาอ่านบทที่จะต้องเข้าฉากถ่ายทำในวันนี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อช่างแต่งหน้าและฝ่ายจัดเสื้อผ้าก้าวเข้ามาในห้อง
“คุณวาวาแต่งหน้าเจ้าสาวก่อนนะคะ แล้วค่อยสวมชุดเข้าฉาก” เจ้าหน้าที่กองถ่ายบอกกับเธอ
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตรเมื่อช่างแต่งหน้าเริ่มเข้ามาทำหน้าที่ของตน
เวลาผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ใบหน้างามลึกล้ำถูกเนรมิตด้วยฝีมือช่างแต่งหน้าจนหญิงสาวต้องกะพริบตาติดต่อกันเมื่อเห็นตัวเองในกระจกเงา กับใบหน้างามอย่างมีมิติเพื่อให้รับกับชุดเจ้าสาว
“สวยไม่มีที่ติเลยค่ะคุณวาวา บอกตรงๆ ว่าคุณเป็นนางร้ายที่สวยกว่านางเอกของเรื่องเชียวนะ” ช่างแต่งหน้าซึ่งเป็นอาจารย์จากสถาบันการสอนเทคนิคแต่งหน้าการละครกล่าวอย่างชื่นชม
“มันต้องแน่นอนอยู่แล้วละค่ะ นางร้ายหน้าสวยโคตรๆ ต้องยกให้เฉินวาวา บทนางเอกนางไม่เล่นเพราะนางเล่นแต่บทร้ายและตีแตกกระจุย จนกวาดรางวัลมานับไม่ถ้วนเลย” ชิงเหยียนกล่าวเสริมยกยอเพื่อนตัวเอง
“พอเหอะเหยียนเหยียน! พูดดังเดี๋ยวก็โดนคนอื่นเขม่น เกิดมีประเด็นดราม่าขึ้นมาฉันขี้เกียจจะมาตอบคำถามนักข่าวแทนแกที่ขยันสร้างเรื่องรู้ไหม” หญิงสาวปรามเพื่อนรัก
ยังมิทันที่อู๋ชิงเหยียนจะตอบโต้เพื่อนสาว ฝ่ายคัดสรรเสื้อผ้าก็เดินถือชุดเจ้าสาวพร้อมเครื่องประดับเข้ามาภายในห้องพลางส่งยิ้มหวานให้
“ชุดเจ้าสาวสำหรับเข้าฉากแต่งงานมาแล้วค่ะ ตัดเย็บรับกับรูปร่างของคุณวาวาไม่ต้องกลัวว่าจะสวมไม่พอดีนะคะ” ฝ่ายเสื้อผ้ากล่าวอธิบายพร้อมกับชุดคลุมของเจ้าสาวเข็นเข้ามาในห้อง
ดวงตากลมโตมองชุดคลุมเจ้าสาวสีขาวประกายมุก ปักลวดลายหงส์กางปีกผงาด พร้อมหันไปมองตัวชุดด้านในซึ่งเป็นสีขาวเช่นกัน กำลังเตรียมจะสวมบนร่างระหงของเธอ
“ดะ...เดี๋ยว...นี่ชุดเจ้าสาวอย่างนั้นเหรอ!” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง
และคำถามของเธอทำให้ทุกคนต่างหันกลับมามองหน้ากันด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ชุดเจ้าสาวก็ต้องเป็นแบบนี้แหละค่ะคุณวาวา สงสัยอะไรเหรอคะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายงานเสื้อผ้านักแสดงถามกลับไปด้วยความงุนงง
“อะ... เอ่อ... มะ... ไม่ใช่สีแดงหรอกเหรอ ปกติพิธีแต่งงานของจีนโบราณสวมชุดสีแดงทั้งนั้น” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ
และนั่นทำให้ฝ่ายออกแบบเสื้อผ้าต้องอธิบายให้กับนักแสดงสาวตัวแม่ให้ล่วงรู้ข้อมูลเบื้องต้น
“อ่อ! คุณวาวาคงจะยังไม่ได้รับบทละครฉบับปรับปรุง เรื่องการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ตอนแรกทางผู้กำกับจะให้เป็นสีแดงแต่ทางเจ้าของบทประพันธ์มีความเห็นแย้งในเรื่องนี้ ก็เลยต้องปรับเปลี่ยนกะทันหัน ทางเจ้าของบทประพันธ์ต้องการให้เหมือนจริงตามท้องเรื่องซึ่งเป็นยุคสมัยที่มีกษัตริย์ปกครองแต่ละแคว้น ในสมัยนั้นพิธีสมรสนิยมใช้สีขาวเข้าพิธีแต่งงานค่ะ”
ใบหน้างามพยักขึ้นลงติดต่อกันเมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น
“อ่อ... อย่างนั้นเหรอคะ วาวาก็เพิ่งรู้จากคุณนี่แหละว่ายุคสมัยนั้นใช้สีขาว นึกว่าสวมชุดสีแดงตั้งแต่โบราณมาเลย” หญิงสาวตอบกลับไปในสิ่งที่เธอล่วงรู้มา ทำให้ฝ่ายเสื้อผ้าได้แต่ยืนอมยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะอธิบายกลับไป
“ในช่วงต้นๆ ของยุคโบราณนับตั้งแต่ราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ซาง จะใช้สีดำสลับแดงในพิธีแต่งงาน ซึ่งสีดำในสมัยนั้นหมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ ต่อมาในราชวงศ์โจวตะวันตกจะใช้สีดำสำหรับเข้าพิธี แต่พอมาถึงยุคโจวตะวันออกใช้สีขาวในพิธีแต่งงาน และใช้สีขาวเรื่อยมามาจนถึงยุคชุนชิวและยุคจ้านกว๋อค่ะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสื้อผ้าอธิบายเสียยืดยาว
ใบหน้างามลึกล้ำส่งยิ้มแหยๆ กลับไปเมื่อได้ยินคำอธิบาย
“แหะๆ ... วาวาขอบคุณมากนะคะที่อธิบายเกร็ดประวัติศาสตร์ให้รู้ แย่มากๆ เลยเป็นลูกหลานเชื้อสายจีนเสียเปล่า แต่กลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบรรพบุรุษ”
“คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดค่ะ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็คิดเหมือนกับคุณวาวาเช่นกัน ยิ่งเกิดและโตในต่างประเทศแบบคุณด้วยแล้วยากที่จะทราบนอกจากจะศึกษาประวัติศาสตร์เป็นการส่วนตัว หรือเรียนทางด้านประวัติศาสตร์มา” เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลเสื้อผ้าส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวสำทับตามติดมา
“รีบสวมชุดแต่งงานเถอะค่ะ เดี๋ยวจะต้องเดินทางไปถ่ายทำฉากแรกแล้ว” กล่าวพร้อมรีบหยิบชุดเจ้าสาวโบราณคลี่ออกกว้างเพื่อสวมบนร่างงามอย่างรวดเร็ว
ชุดเจ้าสาวในสมัยโบราณสวมใส่ถึงแปดชั้นเลยทีเดียวเล่นเอาเฉินวาวารู้สึกหนักและอึดอัดไปทั้งตัว เมื่อชั้นสุดท้ายเป็นชุดคลุมปักลวดลายหงส์กางปีกผงาดสีทองอร่ามลงบนเนื้อผ้าสีขาวประกายมุกถูกสวมลงบนเรือนร่างงาม และนั่นทำให้ร่างระหงโดดเด่นสวยงามอลังการ พร้อมมงกุฎหงส์เครื่องหมายของภรรยาเอกในยุคสมัยนั้นค่อยๆ บรรจงวางลงบนเส้นผมที่เกล้าเอาไว้
มงกุฎหงส์ทำมาจากทองคำแท้ ลวดลายวิจิตรประณีตด้วยฝีมือของช่างสมัยใหม่ที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษจนสร้างสรรค์เครื่องประดับในยุคโบราณได้สมตามความตั้งใจ
“โอ้โฮ!มงกุฎหงส์ทำไมหนักจังเลยคะ ใส่ไปนานๆ คอจะหักไหม” หญิงสาวบ่นรำพึงออกมาทันที เมื่อมงกุฎหงส์ถูกสวมลงบนศีรษะของเธอที่เกล้าสูงรองรับเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
“อย่าบ่นเลยวาวา... ตรงกันข้ามแกโคตรสวยเลยว่ะ ขนาดฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ เห็นแกอยู่ในชุดแบบนี้อยากแต่งงานด้วยขึ้นมาทันที ไม่ต้องบอกนะว่า พ่อพระเอกเรื่องนี้พอเห็นแกแล้วจะไม่ตะลึงตาค้าง เห็นว่ากำลังดังมาแรงแซงทางโค้งเลยไม่ใช่เหรอ อายุก็เพิ่งจะยี่สิบห้าเองมันน่า...” ชิงเหยียนกล่าวยังไม่ทันจบก็ต้องเงียบเสียงลงไปทันที เมื่อถูกสายตาพิฆาตของเพื่อนรักกำราบเธอจนดวงตากลมโตแทบจะถลนออกมาเลยทีเดียว ก่อนจะได้ยินเสียงของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวแทรกขึ้น “คุณวาวาจะไม่หนักได้ยังไงล่ะคะ ก็ในเมื่อมงกุฎหงส์ทำมาจากทองคำแท้ๆ เครื่องประดับของตัวละครหลักของเรื่องนี้โดยเฉพาะวังหลัง มีสปอนเซอร์สนับสนุนเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับตลอดทั้งเรื่อง และเครื่องประดับทุกชิ้นที่อยู่บนตัวคุณวาวาได้รับการออกแบบและถูกจัดส่งมาจาก JCS GOLD MASTER บริษัทจิวเอลรียักษ์ใหญ่ที่อยู่ในเครือของ JCS โพรดักชันค่ะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลเสื้อผ้านักแสดงบอกเธอก่อนจะเอี้ยวตัวพร้อมเปิดกล่องกำมะหยี่หยิบป้ายหยกสีเขียวมรกตยื่นส่งให้หญิงสาว “ป้ายหยกที่จะต้องใช้เข้าฉากค่ะ เป็นหยกจักรพรรดิของแท้นะคะรักษาให้ดี สลักชื่อตัวละครที่คุณวาวาสวมบทบาท สนับสนุ
บริเวณสถานที่เกิดเหตุรถกู้ภัยและรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมทีมค้นหาต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่งเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถตกเขาในครั้งนี้ ซึ่งรถของทีมงานถ่ายทำเป็นรถตู้วิ่งตามหลังมาจึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้มีการแจ้งทีมกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างรวดเร็ว และผลจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตสองศพ เป็นคนขับรถ SUV คนดังกล่าวและบอดี้การ์ดซึ่งนั่งคู่กับคนขับมีผู้รอดชีวิตสามราย ซึ่งล้วนแล้วแต่บาดเจ็บสาหัสและหายสาบสูญหนึ่งรายซึ่งผู้สาบสูญเป็นดาราระดับซูเปอร์สตาร์จากประเทศสิงคโปร์และยังเป็นนักแสดงนำในซีรีส์เรื่องดังที่ทุ่มทุนสร้างกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน ร่างของอู๋ชิงเหยียนค่อยๆ ถูกช่วยขึ้นมาจากชะง่อนผา นำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของทีมกู้ภัยที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ทีมกู้ภัยใช้เวลาในการค้นหาสามวันจึงพบจุดที่รถตกลงไป ทันทีที่พบซากรถและมีผู้รอดชีวิตทางการจีนระดมเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างรวดเร็วและสามารถนำผู้รอดชีวิตขึ้นมาจากชะง่อนผาดังกล่าวได้ภายในวันที่สองหลังจากค้นพบ อุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศและสะเทือนวงการบันเ
ในเวลาต่อมาเวลาผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง กิ่งไม้แห้งอยู่เต็มอ้อมแขนของหญิงสาว ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางกลับไปยังจุดเดิมที่เธอตกลงมา ด้วยกลัวว่าหากทีมค้นหาลงมาช่วยจะสามารถพบได้อย่างง่ายดายไม่ต้องเดินหาแต่อย่างใด แต่แล้วในเวลานี้เธอรู้สึกว่ายิ่งเดินทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนไม่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เดินไปไหนไกลจากจุดเดิมแม้แต่น้อย ก่อนจะแหงนหน้ามองเบื้องบนเมื่อความมืดเข้ามาเยือน “จะมืดแล้วทำไงดีล่ะฉัน จะไปปักหลักอยู่ตรงไหนทำไมยิ่งเดินเหมือนยิ่งห่างไกลจากจุดเดิมด้วยนะ แปลกจัง” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะเหลือบไปเห็นชะง่อนผาที่ยื่นออกมาพอที่จะเข้าไปหลบได้ ใบหน้างามคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจออกมาทันที เมื่อเห็นสถานที่พอจะใช้หลบและหลับนอนได้ในคืนนี้ “เข้าไปหลบในนี้ก่อนแล้วกัน!” หญิงสาวกล่าวพร้อมเดินตรงไปเบื้องหน้าทันที เพียงไม่นานกองไฟก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ ทั่วบริเวณมืดสนิทไม่สามารถมองเห็นแม้แต่เงาของต้นไม้ด้านนอกแม้แต่น้อย แสงสว่างจากกองไฟสะท้อนเงาของเฉินวาวาในชุดเจ้าสาวทาบทับลงบนผนังหินผา ในขณะที่เจ้าตัวนั่งสัปหงกอยู่ที่พื้นด้วยความเหนื่อย “โฮกกก
ฉับพลัน! หินศิลารูปไฟอัคคีหลุดติดมือของหญิงสาวออกมาทันใด “เฮ้ยยย!!!” วาวาอุทานออกมาได้เพียงแค่นั้นหินศิลารูปไฟอัคคีหลุดตกมาอยู่ในอุ้งมือของหญิงสาว ก่อนจะพุ่งทะยานตรงเข้าสถิตกลางหน้าผากของเธอโดยพลัน เปล่งแสงสว่างสีแดงสาดแสงอยู่บนกลางหน้าผาก ก่อนจะเลือนหายไปเพียงชั่วพริบตา เหลือเพียงรอยปานคล้ายหยดน้ำเข้ามาแทนที่ พร้อมการเปลี่ยนแปลงปรากฏขึ้นกับเฉินวาวาใบหน้างามลึกล้ำปรากฏเส้นเลือดสีแดงแผ่ขยายดังเถาวัลย์ป่าเลื้อยขึ้นเต็มดวงหน้างามเต็มไปหมด ก่อนจะลามเลียลงไปถึงลำคอขาวผ่องและค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วเรือนร่างงาม มองแล้วช่างน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร เป็นผลจากไฟอัคคีย้ายไปสถิตอยู่ภายในร่างของเธอ ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว ร่างระหงถูกตรึงอยู่กับที่มิอาจขยับเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย ในขณะที่หินศิลาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนต่อหน้าต่อตาให้เธอได้เห็นจากก้อนหินตั้งโดดเดี่ยวค่อยๆ กลับกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมาโดยพลัน หินศาลาค่อยๆ มลายเลือนหายไปอย่างช้าๆ พร้อมร่างบุรุษเข้ามาแทนที่ อาภรณ์สีนิลกาฬพร้อมเกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยายเริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อยและคืนสภาพกลับมาเป็นมนุษย์ดั่งเดิม
แคว้นเทียนโจวรัชสมัยโจวเฉินกงฮ่องเต้อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยที่ราบลุ่ม สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างดี พื้นดินอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็ออกดอกผลมากมาย เทือกเขาน้อยใหญ่เต็มไปด้วยป่าดงดิบ แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเป็นภูมิประเทศที่ถือได้ว่าหายากอย่างยิ่งยวด เป็นพื้นที่มหามงคลเพราะด้วยมังกรทั้งตัวสถิตอยู่ในแคว้นเทียนโจว ก่อให้เกิดพื้นที่สวยงามและสภาพอากาศที่เหมาะสม อากาศหนาวจัดด้วยหิมะปกคลุมก็มีระยะเวลาเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้นไม่ยาวนานดั่งเช่นแคว้นอื่นๆ พากันประสบและด้วยเพราะความสมบูรณ์ของแคว้นเทียนโจว จึงเป็นสาเหตุทำให้แคว้นน้อยใหญ่ต้องการยึดครองเอามาเป็นของตน พืชผลมหาศาล พื้นที่ทางการเกษตรเป็นอู่ข่าวอู่น้ำเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกชั้นดี ความสมบูรณ์ของแคว้นกลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้เผชิญปัญหากับสงครามที่แคว้นอื่นต้องการแย่งชิงดินแดนแคว้นเทียนโจวในเวลานี้ถูกแคว้นฉู่ที่เป็นแคว้นพื้นบ้าน บุกประชิดชายแดนตีเมืองในอาณาเขตของแคว้นเทียนโจวไปแล้วถึงห้า เมือง โจวเฉินกงฮ่องเต้ มีพระบัญช
ดาบปีศาจของจอมมารชินซาง ที่สถิตอยู่ในดินแดนปีศาจถูกดึงออกจากแท่นหินด้วยตัวเองก่อนจะลอยละลิ่วขึ้นสู่ผืนฟ้าเบื้องบน จากดินแดนปีศาจผ่านดินแดนน้อยใหญ่ พุ่งแหวกว่ายกลางอากาศลงมาพร้อมสายฟ้าฟาดตรงเข้ามาหาจอมมารผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้น พระหัตถ์ยกขึ้นรับดาบปีศาจของพระองค์อย่างรวดเร็ว พระวรกายสูงใหญ่หมุนไปโดยรอบพร้อมตวัดดาบปีศาจกวัดแกว่งไปมา จอมมารกระชับอาวุธประจำพระองค์เสด็จพระดำเนินตรงมาหาเฉินกงฮ่องเต้พร้อมใช้พระวรกายสูงใหญ่ทะมึน ยืนบังฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเอาไว้ ท่อนพระกรใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้าพลางยกพระหัตถ์ขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปที่พระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่พลางขยับนิ้วพระหัตถ์ขึ้นลงเป็นสัญญาณเรียกให้เข้ามาหา ท่ามกลางพระอาการตกตะลึงของเฉินกงฮ่องเต้ ครั้นเมื่อทรงได้ทอดพระเนตรบุรุษอาภรณ์สีนิลกาฬในระยะใกล้ชิด พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนทรงยืนบังฮ่องเต้แคว้นเทียนโจวได้อย่างมิดชิดยิ่งนัก ในขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ทอดพระเนตรการกระทำของบุรุษปริศนาที่หาญกล้าแสดงอาการท้าทายพระองค์อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ในขณะที่กองทัพของพระองค์โอบล้อมทัพต้าโจวเอาไว้รอบด้าน “หาคนมาช
ทหารต้าฉู่ที่รอดชีวิตต่างพร้อมใจพากันทิ้งอาวุธอย่างพร้อมเพรียง ทุกชีวิตทรุดกายลงนั่งคุกเข่าพร้อมส่งเสียงขานรับพระบัญชาของจอมมารออกมาทันที“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! นับตั้งแต่นี้ต่อไปแคว้นต้าฉู่ยินดีสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเทียนโจวตลอดไป ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”เหล่าทหารแคว้นต้าฉู่เปล่งถ้อยคำออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันครั้นจอมมารชินซางได้ยินคำกล่าวของบรรดาทหารต้าฉู่เอ่ยออกมาเช่นนั้น พระองค์หันพระวรกายกลับไปทอดพระเนตรเฉินกงฮ่องเต้ พระวรกายสูงทะมึนเสด็จพระดำเนินก้าวเข้าไปหาบุรุษที่เหมือนพระบิดาของพระองค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย“ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว ที่จะจัดการเยี่ยงไรต่อไป ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถจัดการได้ออกมาเป็นอย่างดี” รับสั่งสุรเสียงเรียบเฉย พร้อมพระดำเนินออกไปจากบริเวณนั้นครั้นเฉินกงฮ่องเต้หายจากพระอาการตกตะลึงและทอดพระเนตรบุรุษปริศนากำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ พระองค์ทรงรีบมีรับสั่งทักท้วงออกไปทันที“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม!” สุรเสียงรับสั่งรั้งจอมมารพระวรกายสูงทะมึนทรงหยุดพระดำเนินเมื่อเฉิ
ชายแดนแคว้นฉู่ “พรึ่บ!” ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ หญิงสาวนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บริเวณชายป่าเขตแดนแคว้นฉู่ ซึ่งเดิมทีเป็นของแคว้นฉู่ทั้งหมด ภายหลังต้องแบ่งสิทธิในการดูแลและครอบครองเมืองแถบชายแดนของแคว้นฉู่ทั้งหมดให้กับแคว้นเทียนโจวคนละครึ่งช่วยกันปกครอง เพื่อทางเทียนโจวสามารถสอดส่องและส่งกองทหารมาตรึงตามชายแดน มิให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้นมาได้อีก ด้วยผลจากการพ่ายแพ้สงครามในศึกเหิงไห่เมื่อห้าปีก่อน ทำให้แคว้นฉู่จำต้องยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งดีกว่าจะต้องเสียแคว้นให้อยู่ใต้การปกครองของเทียนโจวตลอดไป และการก้าวเดินถอยหลังของวาวาถึงห้าก้าวในเขตแดนปีศาจเข้าสู่ภพมนุษย์ทำให้เธอกลับมาในยุคอดีตภายหลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างแคว้นเทียนโจวและแคว้นฉู่เสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลานานถึงห้าปี ในขณะที่จอมมารชินซางทรงสวมกอดนางเอาไว้แนบอกตลอดเวลาจึงทำให้พระองค์หวนกลับคืนสู่อดีตกาลเช่นเดียวกัน แต่ทรงกลับมาเพียงลำพังโดยไร้สิ้นนางในอ้อมกอด ด้วยเพราะเฉินวาวาก้าวถอยหลังถึงห้าก้าวทำให้กลับมาช้ากว่าพระองค์ห้
ฟางหยางฮ่องเต้ทรงคิดหาวิธีที่จะทดสอบความจงรักภักดีของพระอนุชาขึ้นมาทันที ก่อนจะนึกวิธีทดสอบที่พระองค์เคยมองข้ามนั่นก็คือสมรสพระราชทานนั่นเอง เป็นวิธีที่สามารถทำให้พระองค์หยั่งรู้ว่าพระอนุชาจงรักภักดีด้วยใจจริงหรือไม่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ไหนๆ ก็พำนักอยู่ในวังหลวง อีกทั้งเจ้าเองก็อายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเก้าแล้ว จนถึงป่านนี้ยังไม่ยอมอภิเษกสมรสมีพระชายาเสียที มิสู้ให้ข้าช่วยจัดการหาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่เดินทางมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึกให้เจ้าได้มีพระชายาดั่งเช่นผู้อื่นบ้างมิดีหรือไร เจ้ามัวแต่ทำศึกสงครามจะหาเวลาใดพึงใจสตรีได้จริงหรือไม่” ฟางหยางฮ่องเต้เริ่มต้นแผนการทันที “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา ตอนนี้หลานๆ ทั้งหมดของพระองค์ที่ถึงวัยแต่งงานต้องรับพระราชทานองค์หญิงเหล่านั้นมาเป็นพระชายา จนตอนนี้ตำหนักแน่นไปหมดแล้ว เสด็จอามาประทับอยู่เช่นนี้มิสู้รับองค์หญิงจากต่างแคว้นไปเป็นพระชายาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เป็นการแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อไปพร้อมกันด้วย” องค์รัชทายาทรับสั่งสนับสนุนตามประสาซื่อโดยมิล่วงรู้อะไรแม้แต่น้อย และถ้อยรับสั่งขององค์รัชทายาทสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่ฟางหยางฮ่องเ
พระราชวังหลวงเทียนฮุยภายในท้องพระโรง ท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นและออกแบบอย่างสวยงาม เป็นหน้าเป็นตาของแคว้นเทียนโจว เหมืองแร่ทองคำและเหมืองหยก ทำให้เทียนโจวมั่งคั่งและร่ำรวยกว่าแคว้นอื่นๆ การสรรสร้างพระตำหนักต่างๆ จึงเต็มไปด้วยศิลปะเฉพาะของแคว้น ทองคำและหยกสูงค่าจึงถูกนำมาประดับประดาภายในท้องพระโรงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ที่ต่างแคว้นล้วนริษยาในความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของเทียนโจวเป็นยิ่งนัก ในยามนี้เป็นเวลาที่โจวฟางหยางฮ่องเต้ ทรงออกว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้หนุ่มฉกรรจ์ในพระชนมายุสี่สิบพรรษา ยังคงหนุ่มแน่นและมีพระสิริโฉมคมคายถอดแบบมาจากหวงไทเฮาพระมารดา ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ประสูติจากฮองเฮา และมีพระอนุชาต่างพระมารดาประสูติจากพระสนมระดับฟูเหรินด้วยกันอีกสี่พระองค์ ซึ่งเดิมทีพระอนุชาทั้งสี่ คือองค์ชายรอง องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายห้าเพิ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อห้าปีก่อน ส่วนองค์ชายสี่โจวชินซางหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดาตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงหกเดือน แต่แล้วจู่ๆ องค
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย “ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต “ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา “มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว” “หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของเธอไปโดยรอบ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถสะท้อนเงาแทนกระจกสัมฤทธิ์และสิ่งที่มาแทน
5 วันผ่านไปเมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพันเฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว“ทำไมจะต้องคิ
โรงเตี๊ยมอาชาตัวมหึมาห้อตะบึงมาอย่างสุดฝีเท้า ติดตามด้วยกองทหารอารักขานับสิบนาย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มมาตลอดเส้นทางสายหลักเมื่อม้าจำนวนหลายสิบตัวกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางถนนใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลลอยโคมประทีปที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดให้บริการในขณะนั้นพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารเสด็จลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พระพักตร์หล่อเหลาปราศจากหน้ากากทองคำปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ด้วยทรงรีบร้อนเสด็จออกมาจากจวนเพื่อติดตามเยว่วาวาของพระองค์ พระวรกายใหญ่พระดำเนินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวในขณะที่ชั้นล่างยังเต็มไปด้วยชาวเมืองที่มาเปิดห้องพักค้างคืนและดื่มกินอาหารอยู่ชั้นล่างเต็มทุกโต๊ะ“ชินอ๋องเสด็จ!!!” เสียงทหารอารักขาตะโกนออกมาเป็นทอดๆ ก่อนจะกระจายกำลังแยกย้ายกันค้นหาไปทั่วพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมดังกล่าวทันที ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองเทียนจิ้นและต่างแคว้นที่ได้มีโอกาสพานพบพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างกันทุกคนก่อนจะรีบพากันลงนั่งคุก
ยามห้ายบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมร่างสูงตระหง่านของจอมมารหนุ่มกับหนุ่มน้อยเสี่ยววาวา บัดนี้มาหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้าของโรงเตี๊ยม ภายหลังที่ทั้งสองเดินเที่ยวชมงานจนย่างเข้าสู่ยามห้ายใกล้จะถึงเวลาที่งานเทศกาลจะจบสิ้นลง ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะกล่าวคำอำลาจริงๆ คนที่รู้สึกใจหายกลับเป็นองค์จอมมารที่ยืนทอดพระเนตรหนุ่มน้อยสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักอยู่ในขณะนี้“ถ้าหากเจ้าไม่รีบกลับพรุ่งนี้ข้าจะมาหาที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งเจ้าเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัย” รับสั่งด้วยความเป็นห่วงพร้อมยื่นบางอย่างส่งให้เฉินวาวาท่ามกลางความแปลกใจของเธอก่อนจะยื่นมือรับเอาไว้อย่างงงๆป้ายทองสลักตัวอักษรนำหน้าว่า ชิน ของพระองค์ยื่นส่งให้หญิงสาวเก็บไว้ติดตัว“นี่คือของที่ระลึกจากข้าเก็บเอาไว้ติดตัว ยามใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้แสดงป้ายทองนี้ออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือจากข้าและคนของข้าทันที” รับสั่งอธิบายกลับไป“โอ้โฮ! ของสำคัญขนาดนี้ท่านให้ข้าเก็บติดตัวไว้ทำไม เหตุใดจึงไม่เก็บไว้กับตัวเองล่ะพี่ชาย”
เพียงครู่จอมมารชินซางและเฉินวาวามาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ อันเป็นสถานที่ซึ่งนิยมพากันมาปล่อยโคมประทีปที่แม่น้ำ เพื่อขอพรได้สมดั่งใจหวัง อีกทั้งเห็นพระจันทร์กลมโตได้อย่างชัดเจน โคมประทีปค่อยๆ ถูกจุดจากอุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมกับโคมประทีปเตรียมพร้อมที่จะปล่อยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน“พี่ชายอธิษฐานเลยสิ! ท่านกำลังตามหาคนรักอยู่มิใช่เหรอ อธิษฐานแล้วท่านจะได้ปล่อยโคมออกไป” หญิงสาวบอกจอมมารที่ทรงยืนฟังเธอด้วยความแปลกพระทัย“เจ้าซื้อโคมประทีปนี้ให้ข้าอธิษฐานอย่างนั้นเหรอเสี่ยววาวา ข้านึกว่าเจ้าจะปล่อยเองเสียอีก” รับสั่งถามกลับไป“โคมประทีปนี้เป็นของท่าน ข้าแค่อำนวยความสะดวกและมาเป็นเพื่อนเฉยๆ รู้ไหมอธิษฐานเรื่องความรักและลอยโคมประทีปไปด้วยต่อหน้าพระจันทร์ คำอธิษฐานเป็นจริงนะพี่ชาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หญิงสาวใช้คำปัจจุบันสอดแทรกออกมาตลอดจอมมารทรงยืนทอดพระเนตรเด็กหนุ่มตรงพระพักตร์สลับทอดพระเนตรโคมประทีป ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์จับมือเรียวสวยของสหายน้อยให้จับโคมประทีปพร้อมกับพระองค์“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากับข้ามาอธิษฐานพร้อมกันเถอะหลังจากนั้นจะได้
พระองค์ส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กันพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ กับท่าทางดังกล่าวของสหายน้อยมือเรียวของหญิงสาววางถ้วยชาลงทันทีพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะร่วนเลยทีเดียว“แหม... พี่ชายท่านช่างมีอามรณ์ขันเสียจริง ปกติคนเราไม่ว่าสตรีหรือบุรุษถ้าไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าจะปิดบังอำพรางความงดงามหรือความหล่อเหลาของตนเอาไว้ทำไมจริงไหม คนที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าตัวเองก็มีอยู่แค่สองประเภทเท่านั้นแหละ” เฉินวาวากล่าวแสดงความคิดเห็น“อย่างไรรึ! เจ้าคาดเดาออกอย่างนั้นหรือว่าข้ามีสาเหตุอื่นอีกที่ใช้หน้ากากปิดบังอำพรางใบหน้าของตัวเอง” รับสั่งถามหยั่งเชิงกลับไป“ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ บ้างหรอกนะพี่ชาย ประเภทแรกคืออัปลักษณ์ ขี้เหร่เกินคำบรรยายไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามทีเถอะเช่นข้าเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอำพรางใบหน้าของตัวเองเพื่อมิให้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง” หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ“และกับอีกประเภทยกตัวอย่างพี่ชายก็แล้วกัน สาเหตุที่ท่านสวมหน้ากากนอกจากต้องการปิดบังความหล่อเหลาดั่งคำที่ท่านว่าแล้ว ซึ่งเป็นไป
ในขณะที่ใบหน้าซีกซ้ายถูกหญิงสาวนำเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันที่ติดตัวมาด้วยทาหน้าจนสีเข้มขึ้นจากผิวจริง พร้อมทำรอยจุดด่างดำไปทั่วบริเวณราวกับว่าเป็นช่างเมกอัปมืออาชีพที่สามารถสรรสร้างใบหน้าให้ออกมาแบบไหนก็ได้ ผิวหน้านวลเนียนขาวอมชมพูของวัยสาวมลายหายไปสิ้นคงเหลือเพียงใบหน้าที่มีแต่รอยจุดด่างดำเต็มไปหมด รวมไปถึงบริเวณลำคอที่มีรอยไฟอัคคีก็ถูกหญิงสาวใช้ครีมรองพื้นในยุคปัจจุบันทาทับกลบจนไม่เห็นร่องรอยแต่อย่างใดไม่สามารถปรากฏร่องรอยให้จอมมารชินซางได้ทอดพระเนตรแม้แต่น้อยพระเนตรสีนิลกาฬชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางสวมหน้ากากทองคำซ่อนเร้นใบหน้าอันแท้จริงเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ จอมมารเฝ้าทอดพระเนตรเสี่ยววาวาหนุ่มน้อยที่พระองค์ทรงเพิ่งรู้จักด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรหน้ากากทองคำที่มีลักษณะเดียวกับพระองค์แตกต่างตรงที่ลวดลายสลักเท่านั้นสายพระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของเสี่ยววาวาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ตรงหน้าด้วยความหิวโหย ชนิดที่ว่าไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย หากเธอแหงนหน้ามองขึ้นมาสักนิดจะต้องพบสายพระเนตรที่กำลังทอดพระเนตรเธอด้วยความแ